ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
สมถะวิปัสสนา
นิวรณ์เปรียบเหมือนความมืด
เปรียบเหมือน คนตาบอด
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นิวรณ์ ๕ เหล่านี้ กระทำให้มืด กระทำไม่ให้มีจักษุ กระทำไม่ให้มีญาณ เป็นที่ตั้งแห่งความดับปัญญา เป็นไปในฝักฝ่ายแห่งความคับแค้น ไม่เป็นไปเพื่อนิพพาน นิวรณ์ ๕ เป็นไฉน กามฉันท์ พยาบาท ถีนมิทธ อุทธัจจกุกกุจจะ และ วิจิกิจฉา เหล่านี้กระทำให้มืด กระทำไม่ให้มีจักษุ กระทำไม่ให้มีญาณ เป็นที่ตั้งแห่งความดับปัญญา เป็นไปในฝักฝ่ายแห่งความคับแค้น ไม่เป็นไปเพื่อนิพพาน
พระภิกษุทราบชัดซึ่งนิวรณ์ธรรมเป็นสมัย (เวลา) ที่ใคร ๆ ควรเข้าพบ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมัยที่ควรเข้าไปพบพระภิกษุที่เจริญทางใจ มี ๖ ประการ ๖ ประการเป็นไฉน ดูก่อนภิกษุ สมัยใดภิกษุในธรรมวินัยนี้มีใจถูกราคะกลุ้มรุม มีใจถูกราคะครอบงำอยู่ และเธอย่อมไม่ทราบชัดตามความเป็นจริงซึ่งอุบายเป็นเครื่องสลัดออกแห่งกามราคุที่เกิดขึ้นแล้ว สมัยนั้น ภิกษุนั้น ควรเข้าไปหาภิกษุที่เจริญภาวนาทางใจ และกล่าวอย่างนี้ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ผมมีใจถูกราคะกลุ้มรุม ถูกกามราคะครอบงำอยู่ และไม่ทราบชัดตามความเป็นจริง ซึ่งอุบายเป็นเครื่องสลัดออกแห่งกามราคะที่เกิดขึ้นแล้ว ดีแล้ว ขอท่านผู้มีอายุจงแสดงธรรมเพื่อละกามราคะแก่ผม ภิกษุผู้เจริญภาวนาทางใจ ย่อมแสดงธรรมเพื่อละกามราคะแก่เธอ ดูก่อนภิกษุ นี่เป็นสมัยที่ควรเข้าพบภิกษุผู้เจริญทางใจ
อีกประการหนึ่ง สมัยใด ภิกษุมีใจถูกพยาบาทกลุ้มรุม มีใจถูกพยาบาทครอบงำ และเธอไม่ทราบชัดตามความเป็นจริง ซึ่งอุบายเป็นเครื่องสลัดออกแห่งพยาบาทที่เกิดขึ้นแล้ว สมัยนั้นภิกษุนั้นควรเข้าไปหาภิกษุผู้เจริญทางใจ และกล่าวอย่างนี้ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ผมมีใจถูกพยาบาทกลุ้มรุม ถูกพยาบาทเข้าครอบงำอยู่ และไม่ทราบชัดตามความเป็นจริง ซึ่งอุบายเป็นเครื่องสลัดออกแห่งพยาบาทที่เกิดขึ้นแล้ว ดีแล้ว ขอท่านผู้มีอายุจงแสดงธรรมเพื่อละพยาบาทแก่ผม ภิกษุผู้เจริญทางใจ ย่อมแสดงธรรมเพื่อละพยาบาทแก่เธอ ดูก่อนภิกษุนี่เป็นสมัยที่ ๒ ที่ควรเพื่อเข้าพบภิกษุผู้เจริญภาวนาทางใจ
อีกประการหนึ่งสมัยใด ภิกษุมีใจถูกถีนมิทธะกลุ้มรุม ถูกถีนมิทธะครอบงำ และเธอย่อมไม่ทราบชัดตามความเป็นจริง ซึ่งอุบายเป็นเครื่องสลัดออกแห่งถีนมิทธะที่เกิดขึ้นแล้ว สมัยนั้นภิกษุนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุผู้เจริญภาวนาทางใจ แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ผมมีใจอันถีนมิทธะกลุ้มรุม ถูกถีนมิทธะครอบงำอยู่ และไม่ทราบชัดตามความเป็นจริง ซึ่งอุบายเป็นเครื่องสลัดออกแห่งถีนมิทธะที่เกิดขึ้นแล้ว ดีแล้ว ขอท่านผู้มีอายุจงแสดงธรรมเพื่อละถีนมิทธะแก่ผม ภิกษุผู้เจริญเมตตาทางใจย่อมแสดงธรรมเพื่อละถีนมิทธะแก่เธอ ดูก่อนภิกษุทั้งหลายนี่เป็นสมัยที่ ๓ ที่ควรเพื่อเข้าพบภิกษุที่เจริญภาวนาทางใจ
อีกประการหนึ่งสมัยใด ภิกษุมีใจถูกอุทธัจจะกุกกุจจะกลุ้มรุม ถูกอุทธัจจะกุกกุจจะครอบงำ และเธอย่อมไม่ทราบชัดตามความเป็นจริงซึ่งอุบายเป็นเครื่องสลัดออกแห่งอุทธัจจะกุกกุจจะที่เกิดขึ้นแล้ว สมัยนั้น ภิกษุนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุที่เจริญภาวนาทางใจ และกล่าวอย่างนี้ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ผมมีใจอันอุทธัจจะกุกกุจจะ กลุ้มรุม ถูกอุทธัจจะกุกกุจจะครอบงำอยู่ และไม่ทราบชัดตามความเป็นจริง ซึ่งอุบายเป็นเครื่องสลัดออกแห่งอุทธัจจะกุกกุจจะที่เกิดขึ้นแล้ว ดีแล้ว ขอท่านผู้มีอายุจงแสดงธรรมเพื่อละอุทธัจจะกุกกุจจะแก่กระผม ผู้เจริญภาวนาทางใจย่อมแสดงธรรมเพื่อละ อุทธัจจะกุกกุจจะแก่เธอ ดูก่อนภิกษุ นี่เป็นสมัยที่ ๔ ที่ควรเข้าพบภิกษุที่เจริญภาวนาทางใจ
อีกประการหนึ่งสมัยใด ภิกษุมีใจถูกวิจิกิจฉากลุ้มรุม ถูกวิจิกิจฉาครอบงำ และเธอย่อมไม่ทราบชัดตามความเป็นจริงซึ่งอุบายเป็นเครื่องสลัดออกแห่งวิจิกิจฉาที่เกิดขึ้นแล้ว สมัยนั้น ภิกษุนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุที่เจริญภาวนาทางใจ และกล่าวอย่างนี้ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ผมมีใจอันวิจิกิจฉากลุ้มรุม ถูกวิจิกิจฉาครอบงำอยู่ และไม่ทราบชัดตามความเป็นจริง ซึ่งอุบายเป็นเครื่องสลัดออกแห่งวิจิกิจฉาที่เกิดขึ้นแล้ว ดีแล้ว ขอท่านผู้มีอายุจงแสดงธรรมเพื่อละวิจิกิจฉาแก่กระผม ผู้เจริญภาวนาทางใจย่อมแสดงธรรมเพื่อละ วิจิกิจฉาแก่เธอ ดูก่อนภิกษุ นี่เป็นสมัยที่ ๕ ที่ควรเข้าพบภิกษุที่เจริญภาวนาทางใจ
อีกประการหนึ่ง ภิกษุไม่รู้ ไม่เห็น ซึ่งนิมิตเป็นที่สิ้นอาสวะโดยลำดับ ในเมื่อตนอาศัยกระทำไว้ในใจนั้น สมัยนั้นภิกษุนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุที่เจริญภาวนาทางใจ และกล่าวอย่างนี้ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ผมไม่รู้ไม่เห็น ซึ่งนิมิตเป็นที่สิ้นอาสวะโดยลำดับ ในเมื่อกระผมอาศัยกระทำไว้ในใจนั้น ดีแล้ว ขอท่านผู้มีอายุจงแสดงธรรมเพื่อความสิ้นอาสวะแก่ผม ภิกษุผู้เจริญภาวนาทางใจ ย่อมแสดงธรรมเพื่อความสิ้นอาสวะแก่เธอ ดูก่อนภิกษุทั้งหลายนี่เป็นสมัยที่ ๖ ที่ควรเพื่อเข้าไปพบภิกษุผู้เจริญภาวนาทางใจ