ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>

สมถะวิปัสสนา

บุคคล ๗ จำพวก

ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๗ จำพวกเหล่านี้มีปรากฏอยู่ในโลก ๗ จำพวกเป็นไฉนคืออุภโตภาควิมุตบุคคล ๑ ปัญญาวิมุตบุคคล ๑ กายสักขีบุคคล ๑ ทิฏฐิปัตตบุคคล ๑ สัทธาวิมุตบุคคล ๑ ธัมมานุสารีบุคคล ๑ สัทธานุสารีบุคคล ๑.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อุภโตภาควิมุตบุคคลเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ถูกต้องวิโมกข์อันละเอียด คืออรูปสมาบัติล่วงรูปสมบัติ ด้วยกายอยู่ และอาสวะทั้งหลายของผู้นั้นสิ้นไป เพราะเห็น(อริยสัจ) ด้วยปัญญา บุคคลนี้เรากล่าวว่า อุภโตภาควิมุตบุคคล ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมกล่าวว่า กิจที่ควรทำด้วยความไม่ประมาท ย่อมไม่มีแก่ภิกษุนี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะกิจที่ควรทำด้วยความไม่ประมาท ภิกษุนั้นทำเสร็จแล้ว และภิกษุนั้นเป็นผู้ไม่ควรเพื่อจะประมาท.

อุภโตภาควิมุตบุคคลเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ ถูกต้องวิโมกข์ ๘ ด้วยกายอยู่และ อาสวะทั้งหลายของผู้นั้นสิ้นไป เพราะเห็นอริยสัจธรรมนั้น ด้วยปัญญาดังนี้

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ปัญญาวิมุตบุคคลเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ไม่ได้ถูกต้องวิโมกข์อันละเอียด คืออรูปสมบัติล่วงรูปสมบัติด้วยกายอยู่ แต่อาสวะทั้งหลายของผู้นั้นสิ้นไป เพราะเห็น (อริยสัจ) ด้วยปัญญา ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลนี้เรากล่าวว่าปัญญาวิมุตบุคคล ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมกล่าวว่า กิจที่ควรทำด้วยความไม่ประมาทย่อมไม่มีแก่ภิกษุแม้นี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะกิจที่ควรทำด้วยความไม่ประมาท ภิกษุนั้นทำเสร็จแล้ว และภิกษุนั้นเป็นผู้ไม่ควรเพื่อจะประมาท.

บุคคลชื่อว่า ปัญญาวิมุต เพราะพ้นด้วยปัญญา. ปัญญาวิมุตบุคคลนั้น มี ๕ ด้วยสามารถแห่งบุคคลเหล่านี้ คือ เป็นสุกขวิปัสสก ๑ ผู้ออกจากฌาน ๔ ด้วยบรรลุพระอรหัตอีก ๔ แต่บาลีในบทนี้มาแล้วด้วยสามารถการปฏิเสธวิโมกข์ ๘. เหมือนดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ก็บุคคลนั้นแลหาได้ถูกต้องวิโมกข์ ๘ ด้วยกายอยู่ไม่. อาสวะของเขาสิ้นไปแล้วเพราะเห็นอริยสัจ-ธรรมนั้นด้วยปัญญา. บุคคลนี้เรากล่าวว่าปัญญาวิมุตบุคคล.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็กายสักขีบุคคลเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ถูกต้องวิโมกข์อันละเอียด คืออรูปสมบัติล่วงรูปสมาบัติด้วยกายอยู่ และอาสวะบางเหล่าของผู้นั้นสิ้นไป เพราะเห็น (อริยสัจ) ด้วยปัญญา บุคคลนี้เรากล่าวว่ากายสักขีบุคคลดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่า กิจที่ควรทำด้วยความไม่ประมาท ย่อมมีแก่ภิกษุนี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเราเห็นผลแห่งความไม่ประมาทของภิกษุนี้เช่นนี้ว่า ไฉนท่านผู้นี้ เมื่อเสพเสนาสนะที่สมควร คบหากัลยาณมิตร ทำอินทรีย์ให้เสมออยู่ พึงทำซึ่งที่สุดพรหมจรรย์ อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งไปกว่าที่กุลบุตรทั้งหลายออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการ ให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งเองได้ในปัจจุบัน แล้วเข้าถึงอยู่ดังนี้ เราจึงกล่าวว่า กิจที่ควรทำด้วยความไม่ประมาท ย่อมมีแก่ภิกษุนี้

บุคคลชื่อ กายสักขี เพราะทำให้แจ้งธรรมที่ถูกต้องแล้วนั้น. บุคคลใดถูกต้องผัสสะคือฌาน เป็นครั้งแรก ภายหลังจึงทำให้แจ้งนิพพานอันเป็นความดับสนิท พึงทราบบุคคลนั้นมี ๖ ตั้งต้นแต่บุคคลผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล บุคคลที่ตั้งอยู่ด้วยสกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล จนบุคคลผู้ตั้งอยู่ในอรหัตมรรค. ด้วยเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่าบุคคลบางคนในโลกนี้ถูกต้องวิโมกข์ ๘ ด้วยกายอยู่ อาสวะบางเหล่าของบุคคลนั้นสิ้นไป เพราะเห็นอริยสัจธรรมนั้นด้วยปัญญา. บุคคลนี้เรากล่าวว่ากาย-สักขีบุคคล.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทิฏฐิปัตตบุคคลเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ไม่ได้ถูกต้องวิโมกข์อันละเอียด คืออรูปสมาบัติล่วงรูปสมบัติด้วยกายอยู่ แต่อาสวะบางเหล่าของผู้นั้นสิ้นไป เพราะเห็น(อริยสัจ) ด้วยปัญญา อนึ่ง ธรรมทั้งหลายที่ตถาคตฃประกาศแล้ว เป็นธรรมอันผู้นั้นเห็นแจ้งด้วยปัญญาประพฤติดีแล้ว บุคคลนี้เรากล่าวว่า ทิฏฐิปัตตบุคคล ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่า กิจที่ควรทำด้วยความไม่ประมาท ย่อมมีแก่ภิกษุแม้นี้ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเราเห็นผลแห่งความไม่ประมาทของภิกษุนี้เช่นนี้ว่า ไฉนท่านผู้นี้เสพเสนาสนะที่สมควร คบหากัลยาณมิตร ทำอินทรีย์ให้เสมออยู่ พึงทำซึ่งที่สุดพรหมจรรย์อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งไปกว่า ที่กุลบุตรทั้งหลายออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบัน แล้วเข้าถึงอยู่ ดังนี้ เราจึงกล่าวว่า กิจที่ควรทำด้วยความไม่ประมาท ย่อมมีแก่ภิกษุนี้

บุคคลชื่อว่า ทิฏฐิปัตตะ เพราะบรรลุธรรมที่เห็นแล้วนั้น. ในบทนี้มี ลักษณะโดยสังเขปดังต่อไปนี้. ชื่อว่า ทิฏฐิปัตตบุคคล เพราะเป็นผู้รู้ เห็นรู้แจ้ง ทำให้แจ้ง ถูกต้องด้วยปัญญาว่า สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์ การดับสังขารทั้งหลายเป็นสุข ดังนี้. แต่โดยพิสดารแม้บุคคลนี้ก็มี ๖ ดุจกายสักขีบุคคล.ด้วยเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์

อนึ่ง ธรรมทั้งหลายที่ตถาคตประกาศแล้วเป็นธรรมอันผู้นั้นเห็น เห็นแจ้งแล้ว ด้วยปัญญาประพฤติดีแล้ว. บุคคลนี้เรากล่าวว่า ทิฏฐิปัตตบุคคล.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัทธาวิมุตบุคคลเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ไม่ได้ถูกต้องวิโมกข์อันละเอียด คืออรูปสมบัติล่วงรูปสมาบัติด้วยกายอยู่ แต่อาสวะบางเหล่าของผู้นั้นสิ้นไป เพราะเห็(อริยสัจ) ด้วยปัญญา อนึ่ง ความเชื่อในพระตถาคตของผู้นั้นตั้งมั่นแล้ว มีรากหยั่งลงมั่นแล้ว บุคคลนี้เรากล่าวว่าสัทธาวิมุตบุคคล ดูกรภิกษุทั้งหลายเรากล่าวว่ากิจที่ควรทำด้วยความไม่ประมาท ย่อมมีแก่ภิกษุแม้นี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเราเห็นผลแห่งความไม่ประมาทของภิกษุนี้เช่นนี้ว่า ไฉนท่านผู้นี้เสพเสนาสนะอันสมควร คบหากัลยาณมิตร ทำอินทรีย์ให้เสมออยู่ พึงทำให้แจ้งซึ่งที่สุดพรหมจรรย์ อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่าที่กุลบุตรทั้งหลายผู้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการ ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบัน แล้วเข้าถึงอยู่ ดังนี้จึงกล่าวว่า กิจที่ควรทำด้วยความไม่ประมาท ย่อมมีแก่ภิกษุนี้.

บุคคลชื่อว่า สัทธาวิมุต เพราะน้อมใจเชื่อด้วยศรัทธา. แม้สัทธา-วิมุตบุคคลนั้นก็มี ๖ ตามนัยดังกล่าวแล้วนั่นแหละ ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า บุคคลบางคนในโลกนี้ รู้ชัดตามความเป็นจริงว่านี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์. อนึ่ง ความเชื่อในพระตถาคตของผู้นั้นตั้งมั่นแล้วมีรากหยั่งลงมั่นแล้ว. บุคคลนี้เรากล่าวว่า สัทธาวิมุตบุคคล.

จริงอยู่ในบุคคลเหล่านี้ ขณะของกิเลสย่อมมีแก่สัทธาวิมุตบุคคล ดุจแก่ผู้เชื่อ ดุจแก่ผู้สำเร็จและดุจแก่ผู้น้อมใจเชื่อในขณะมรรคอันเป็นส่วนเบื้องต้น. ญาณตัดกิเลสของทิฏฐิปัตตบุคคล เป็นญาณปรารภคมเกล้า ย่อมนำไปในขณะแห่งมรรคอันเป็นส่วนเบื้องต้น. เพราะฉะนั้นเหมือนเอาดาบที่ไม่คมตัดต้นกล้วย ที่ที่ขาดย่อมไม่เกลี้ยงเกลา ดาบก็ไม่ผ่านไปฉับพลัน. ยังได้ยินเสียงจึงต้องทำความพยายามอย่างแรงฉันใด. การเจริญมรรคอันเป็นส่วนเบื้องต้นของสัทธาวิมุตบุคคลก็เห็นปานนั้น. อนึ่ง เหมือนเอาดาบที่ลับจนคมกริบตัดต้นกล้วย ที่ที่ตัดก็เกลี้ยงเกลา. ดาบก็ผ่านไปได้ฉับพลัน เสียงก็ไม่ได้ยิน ไม่ต้องพยายามอย่างแรงฉันใด. พึงทราบการเจริญมรรคอันเป็นส่วนเบื้องต้นของปัญญาวิมุตบุคคลก็ฉันนั้น.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ธัมมานุสารีบุคคลเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ไม่ได้ถูกต้องวิโมกข์อันละเอียด คืออรูปสมาบัติล่วงรูปสมาบัติด้วยกายอยู่ แต่อาสวะบางเหล่าของผู้นั้นสิ้นไป เพราะเห็น(อริยสัจ) ด้วยปัญญา อนึ่ง ธรรมทั้งหลายที่พระตถาคตประกาศแล้ว ย่อมควรซึ่งความพินิจ โดยประมาณด้วยปัญญาของผู้นั้น อีกประการหนึ่งธรรมเหล่านี้ คือ สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์ ย่อมมีแก่ผู้นั้นบุคคลนี้เรากล่าวว่า ธัมมานุสารีบุคคล. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่า กิจที่ควรทำด้วยความไม่ประมาท ย่อมมีแก่ภิกษุแม้นี้ ข้อนี้เพราะเหตุไร เพราะเราเห็นผลแห่งความไม่ประมาทของภิกษุนี้เช่นนี้ว่า ไฉนท่านผู้นี้เสพเสนาสนะที่สมควรคบหากัลยาณมิตร ทำอินทรีย์ให้เสมออยู่พึงทำให้แจ้งซึ่งที่สุดพรหมจรรย์ อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่าที่กุลบุตรทั้งหลาย ผู้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการ ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบันแล้วเข้าถึงอยู่ ดังนี้ เราจึงกล่าวว่า กิจที่ควรทำด้วยความไม่ประมาท ย่อมมีแก่ภิกษุนี้.

บุคคลชื่อว่า ธัมมานุสารี เพราะระลึกเนือง ๆ ในธรรม. บทว่าธมฺโม คือ ปัญญา. อธิบายว่า เจริญมรรคอันมีปัญญาเป็นเบื้องหน้า. อนึ่ง ในสัทธานุสารีบุคคล ก็มีนัยนี้เหมือนกัน. บุคคลทั้งสองนี้ เป็นผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติมรรคเช่นกัน. แม้ข้อนี้ท่านก็กล่าวไว้ว่า เมื่อบุคคลปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งโสดาปัตติผล อินทรีย์ย่อมมีประมาณยิ่ง. ผู้นำปัญญา ย่อมเจริญมรรคอันมีปัญญาเป็นหัวหน้า. บุคคลนี้เรากล่าวว่า ธัมมานุสารีบุคคล.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัทธานุสารีบุคคลเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ไม่ได้ถูกต้องวิโมกข์อันละเอียด คือ อรูปสมาบัติล่วงรูปสมาบัติด้วยกายอยู่แต่อาสวะบางเหล่าของผู้นั้นสิ้นไป เพราะเห็น (อริยสัจ) ด้วยปัญญา อนึ่ง ผู้นั้นมีแต่เพียงความเชื่อความรักในพระตถาคต อีกประการหนึ่ง ธรรมเหล่านี้ คือ สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์ ย่อมมีแก่ผู้นั้น บุคคลนี้เรากล่าวว่า สัทธานุสารีบุคคล

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่า กิจที่ควรทำด้วยความไม่ประมาท ย่อมมีแก่ภิกษุแม้นี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเราเห็นผลแห่งความไม่ประมาทของภิกษุนี้เช่นนี้ว่า ไฉนท่านผู้นี้เสพเสนาสนะที่สมควร คบหากัลยาณมิตร ทำอินทรีย์ให้เสมออยู่ พึงทำให้แจ้งซึ่งที่สุดพรหมจรรย์ อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า ที่กุลบุตรทั้งหลายผู้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการ ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบัน แล้วเข้าถึงอยู่ ดังนี้ จึงกล่าวว่า กิจที่ควรทำด้วยความไม่ประมาทย่อมมีแก่ภิกษุนี้.

อนึ่ง เมื่อบุคคลใดปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งโสดาปัตติผล สัทธินทรีย์ย่อมมีประมาณยิ่ง. ผู้นำศรัทธาย่อมเจริญอริยมรรคอันมีศรัทธาเป็นหัวหน้า. บุคคลนี้เรากล่าวว่า สัทธานุสารี.นี้เป็นความสังเขปในบทนี้

<< ย้อนกลับ | สารบัญ | หน้าถัดไป >>

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย