ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
สมถะวิปัสสนา
ธาตุสังยุตต์
ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ (หมายถึงพระอานนท์) สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ เชตวันมหาวิหาร อารามของท่านอนาถปิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกพระภิกษุทั้งหลาย แล้วได้ตรัสว่าดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธาตุเหล่านี้ ๗ ประการ ธาตุ ๗ ประการเป็นไฉน คือ อาภาธาตุ สุภาธาตุ อากาสาสัญจายตนะธาตุ วิญญาณัญยจายตนะธาตุ อากิญจัญยาจตนะธาตุ เนวสัญญานาสัญญาตนธาตุ ดูก่อนภิกษุทั้งหลายธาตุ ๗ ประการเหล่านี้ครั้นผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว พระภิกษุรูปหนึ่งได้ทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อาภาธาตุ สุภาธาตุ อากสนัญจายตนธาตุ วิญญาณัญจายตนะธาตุ อากิญจัญยายตนะธาตุ เนวสัญญานาสัญญาายตนะธาตุ แลสัญญาเวทยิตนิโรธธาตุ ธาตุเหล่านี้แต่ละอย่างอาศัยอะไรจึงปรากฏได้
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูก่อนภิกษุ อาภาธาตุ อาศัยความมืดจึงปรากฏได้ สุภาธาตุ อาศัยความไม่งามจึงปรากฏได้ อากาสานัญจายตนะอาศัยยรูปจึงปรากฏได้ วิญญาณัญจายตนะธาตุอาศัยอากาสานัญจายตนะจึงปรากฏได้ อากิญจัญยายตนะอาศัยวิญญาณิญจายตนะจึงปรากฏได้ เนวสัญญานาสัญญษยตนะธาตุอาศัยอากิญจัญยายตนะจึงปรากฏได้ สัญญเวทยิตนิโรธธาตุอาศัย นิโรธจึงปรากฏได้
ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อาภาธาตุ สุภาธาตุ อากสสานัญยตนะธาตุ วิญญาณยัญจายตนธาตุ อากิญจันยายตนธาติ เนวสัญญษนาสัญญายตนธาตุ สัญญาเวทยิตนิโรธธาตุ ธาตุเหล่านี้แต่ละอย่าง บุคคลพึงบรรลุเป็นสมาบัติอย่างไร
พ. ดูก่อนภิกษุ อาภาธาตุ สุภาธาตุ อากสสานัญยตนะธาตุ วิญญาณยัญจายตนธาตุ อากิญจัญยายตนธาตุ ธาตุแต่ละอย่างเหล่านี้ บุคคลพึงบรรลุเป็นสัญญยาสมาบัติ เนวสัญญษนาสัญญายตนธาตุ บุคคลพึงบรรลุเป็นสังขาราวเสสมาบัติ สัญญาเวทบิตนิโรธธาตุ บุคคลพึงบรรลุเป็นนิโรธสมาบัติ
อนิจจสูตรที่ ๑
สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ เชตวันมหาวิหาร อารามของท่านอนาถปิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกพระภิกษุทั้งหลาย แล้วได้ตรัสว่าดูก่อนภิกษุทั้งหลาย รูปไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยง สังขารไม่เที่ยง วิญญาณไม่เที่ยง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับแล้วเห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในรูป แม้ในเวทนา แม้ในสัญญา แม้ในสังขาร แม้ในวิญญาณ เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด จึงหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว อริยสาวกนั้น ย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี
ทุกข์สูตรที่ ๑
พระนครสาวัตถี ฯลฯ ณ ที่นั้นแล ฯลฯ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย รูปเป็นทุกข์ เวทนาเป็นทุกข์ สัญญาเป็นทุกข์ สังขารเป็นทุกข์ วิญญาณเป็นทุกข์ อริยวกผู้ได้สดับแล้วรู้เห็นอยู่อย่างนี้ ฯลฯ ย่อมรู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้ไม่มี
อนิจจสูตรที่๑
พระนครสาวัตถี ฯลฯ ณ ที่นั้นแล ฯลฯ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย รูปเป็นอนัตตา เวทนาเป็นอนัตตา สัญญาเป็นอนัตตา สังขารเป็นอนัตตา วิญญาณเป็นอนัตตา ดูก่อนภิกษุทั้งหลายอริยสาวกผู้ได้สดับ รู้เห็นแล้วอย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในรูป แม้ในเวทนา แม้ในสัญญา แม้ในสังขาร แม้ในวิญญาณ เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด จึงหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว อริยสาวกนั้น ย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี
ขันธสังยุตต์ มูลปัณณาสก์พระสุตันตปิฏกสังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค
อากาศสูตร
พรนครสาวัตถี ฯ ท่านพระอานนท์ได้เห็นท่านพระสารีบุตรมาแต่ไกล จึงกล่าวกะท่านพระสารีบุตรว่า อาวุโส สารีบุตร อินทรีย์ของท่านผ่องใสนัก สีหน้าของท่านหมดจด ผ่องใสวันนี้ ท่านพระสารีบุตรอยู่ด้วยวิหารธรรมอะไร ฯ
ท่านพระสารบุตรตอบว่า อาวุโส ดังเราจะบอก เราเข้าอากาสานัญจายตนฌานด้วยคำนึงว่าอากาศหาที่สุดมิได้ เพราะล่วงรูปสัญญาเสียได้ เพราะดับปฏิฆสัญญาเสียได้ เพราะไม่กระทำไว้ในใจซึ่งนานัตตสัญญาโดยประการทั้งปวงอยู่ อาวุโส เรามิได้คิดอย่างนี้ว่า เราเข้าอากาสานัญจายตนฌานอยู่ หรือว่าเราเข้าอากาสานัญจายตนฌานแล้ว หรือว่าออกจากอากาสานัญจายตนฌาน ฯลฯ
วิญญาณสูตร
พระนครสาวัตถี ฯ ท่านพระอานนท์ได้เห็นท่านพระสารีบุตรมาแต่ไกล จึงกล่าวกะท่านพระสารีบุตรว่า อาวุโส สารีบุตร อินทรีย์ของท่านผ่องใสนัก สีหน้าของท่านหมดจด ผ่องใสวันนี้ ท่านพระสารีบุตรอยู่ด้วยวิหารธรรมอะไร ฯ
ท่านพระสารีบุตรตอบว่า อาวุโส ดังเราจะบอก เราเข้าวิญญาณัญจายตนฌานด้วยคำนึงว่าวิญญาณหาที่สุดมิได้ เพราะล่วงอากาสานัญจายตนะเสียได้โดยประการทั้งปวงอยู่ อาวุโสเรานั้นมิได้คิดอย่างนี้ว่า เราเข้าวิญญาณัญจายตนฌานอยู่ หรือว่าเข้าวิญญาณัญจายตนฌานแล้ว หรือว่าออกจากวิญญาณัญจายตนฌานแล้ว ฯ
อากิญจัญญายตนสูตร
พรนครสาวัตถี ฯ ท่านพระอานนท์ได้เห็นท่านพระสารีบุตรมาแต่ไกล จึงกล่าวกะท่านพระสารีบุตรว่า อาวุโส สารีบุตร อินทรีย์ของท่านผ่องใสนัก สีหน้าของท่านหมดจด ผ่องใสวันนี้ ท่านพระสารีบุตรอยู่ด้วยวิหารธรรมอะไร ฯ
ท่านพระสารีบุตรตอบว่า อาวุโส ดังเราจะบอก เราเข้าเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน เพราะล่วงอากิญจัญญายตนฌานเสียได้โดยประการทั้งปวงอยู่ เรานั้นมิได้คิดอย่างนี้ ว่า เราเข้าเนวสัญญานาสัญญายตนฌานอยู่ หรือว่า เข้าเนวสัญญานาสัญญายตนฌานแล้ว หรือว่าออกจากเนวสัญญานายตนฌานแล้ว ฯ
นิโรธสูตร
สมัยหนึ่ง ท่านพระสารีบุตรอยู่ ณ พระเชตวันวิหาร อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ครั้งนั้นเป็นเวลาเช้า ท่านพระสารีบุตรนุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวรเข้าไปบิณฑบาตรยังพระนครสาวัตถี ครั้นเที่ยวบิณฑบาตรในพรนครสาวัตถีแล้ว กลับจากบิณฑบาติภายหลังภัต เข้าไปยังอันธวันเพื่อพักกลางวัน ถึงป่าอันธวันแล้ว นั่งพักกลางวันอยู่ที่โคนต้นไม้แห่งหนึ่ง
ครั้งนั้น เป็นเวลาเย็น ท่านพระสารีบุตรออกจากที่พักผ่อนแล้ว เข้าไปยังวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ท่านพระอานน์ได้เห็นพระสารีบุตรมาแต่ไกล จึงกล่าวกับท่านพระสารีบุตรว่า อาวุโสสารีบุตร อินทรีย์ของท่านผ่องใสนัก สีหน้าของท่านหมดจด ผ่องใสวันนี้ ท่านพระสารีบุตรอยู่ด้วยธรรมเป็นเครื่องอยู่อะไร ฯ
ท่านพระสารีบุตรตอบว่า อาวุโส ดังเราจะบอก เราเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ เพราะล่วงเนวสัญญานาสัญญายตนฌานเสียได้โดยประการทั้งปวงอยู่ อาวุโส เรามิได้มีความสำคัญอย่างนี้ว่า เราเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธอยู่ หรือว่าเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธแล้ว หรือว่าออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธแล้ว แท้จริง ท่านพระสารีบุตรถอนอหังการ มมังการ และมานสนุสัยออกได้นานแล้ว ฉะนั้น ท่านพระสารีบุตรจึงมิได้คิดอย่างนี้ว่า เราเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธอยู่ หรือว่าเข้าสัญญาเวทนิโรธแล้ว หรือว่า ออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธแล้ว ฯ