ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
สมถะวิปัสสนา
สมาธิ สูตรที่ ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก ๔ จำพวกเป็นไฉน คือ
บุคคลบางคนในโลนี้ มีปรกติได้ความสงบใจในภายใน
แต่ไม่ได้อธิปัญญาและความเห็นแจ้งในธรรมจำพวก ๑
บุคคลบางคนในโลกนี้ มีปรกติได้อธิปัญญาและความเห็นแจ้งในธรรม
แต่ไม่ได้ความสงบใจในภายในจำพวก ๑
บุคคลบางคนในโลกนี้ไม่มีปรกติได้ความสงบใจในภายในทั้งไม่ได้อธิปัญญาและความเห็นแจ้งในธรรมจำพวก
๑
บุคคลบางคนในโลกนี้ มีปรกติได้ความสงบใจในภายใน
ทั้งได้อธิปัญญาและความเห็นแจ้งในธรรมจำพวก ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก ฯ
สมาธิสูตรที่ ๒
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก๔ จำพวกเป็นไฉคือ
บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มีปรกติได้ความสงบใจในภายใน
แต่ไม่ได้อธิปัญญาและความเห็นแจ้งในธรรมจำพวก ๑
บุคคลบางคนในโลกนี้
มีปรกติได้อธิปัญญาและความเห็นแจ้งในธรรมแต่ไม่ได้ความสงบใจในภายในจำพวก๑
บุคคลบางคนในโลกนี้ไม่มีปรกติได้ความสงบใจในภายในทั้งไม่ได้อธิปัญญาและความเห็นแจ้งในธรรมจำพวก
๑
บุคคลบางคนในโลกนี้มีปรกติได้ความสงบใจในภายในทั้งได้อธิปัญญาและความเห็นแจ้งในธรรมจำพวก
๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในบุคคลเหล่านั้นบุคคลผู้มีปรกติได้ความสงบใจในภายในแต่ไม่ได้อธิปัญญาและความเห็นแจ้งในธรรม พึงตั้งอยู่ในความสงบใจในภายในกระทำความเพียรในอธิปัญญา และความเห็นแจ้งในธรรม สมัยต่อมาเขาย่อมเป็นผู้มปรกติได้ความสงบใจในภายใน ทั้งได้อธิปัญญาและความเห็นแจ้งในธรรม บุคคลผู้มีปรกติได้อธิปัญญาและความเห็นแจ้งในธรรม แต่ไม่ได้ความสงบใจในภายใน พึงตั้งอยู่ในอธิปัญญาและความเห็นแจ้งในธรรม แล้วกระทำความเพียรในความสงบแห่งใจในภายใน สมัยต่อมา เขาย่อมเป็นผู้มีปรกติได้อธิปัญญาและความเห็นแจ้งในธรรม ทั้งได้ความสงบใจในภายในบุคคลไม่มีปรกติได้ความสงบใจในภายใน ทั้งไม่ได้อธิปัญญาและความเห็นแจ้งในธรรม พึงกระทำฉันทะ ความพยายาม ความอุตสาหะ ความขะมักเขม้น ความไม่ย่อท้อ สติและสัมปชัญญะให้มีประมาณยิ่ง เพื่อได้กุศลธรรมเหล่านั้นแหละ ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลมีผ้านุ่งห่มถูกไฟไหม้หรือมีศีรษะถูกไฟไหม้ พึงกระทำฉันทะความพยายาม ความอุตสาหะ ความขะมักเขม้น ความไม่ย่อท้อ สติและสัมปชัญญะ ให้มีประมาณยิ่ง เพื่อดับไฟที่ผ้าหรือที่ศีรษะ ฉันใด บุคคลนั้นก็พึงทำฉันทะ ความพยายาม ความอุตสาหะ ความขะมักเขม้น ความไม่ย่อท้อสติและสัมปชัญญะให้มีประมาณยิ่ง เพื่อได้กุศลธรรมเหล่านั้นแหละ ฉันนั้นเหมือนกัน สมัยต่อมา เขาย่อมเป็นผู้มีปรกติ ได้ความสงบใจในภายใน ทั้งได้อธิปัญญาและความเห็นแจ้งในธรรม ดูกรภิกษุทั้งหลายบุคคลเป็นผู้มีปรกติได้ความสงบใจในภายใน ทั้งได้อธิปัญญาและความเห็นแจ้งในธรรม พึงตั้งอยู่ในกุศลธรรมเหล่านั้นแหละ แล้วกระทำความเพียรให้ยิ่ง เพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก ฯ
สมาธิสูตรที่ ๓
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก๔ จำพวกเป็นไฉนคือ
บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มีปรกติได้ความสงบใจในภายใน
แต่ไม่ได้อธิปัญญาและความเห็นแจ้งในธรรมจำพวก ๑
บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มีปรกติได้อธิปัญญาและความเห็นแจ้งในธรรม
แต่ไม่ได้ความสงบใจในภายในจำพวก ๑
บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ไม่มีปรกติได้ความสงบใจในภายใน
ทั้งไม่ได้อธิปัญญาและความเห็นแจ้งในธรรมจำพวก ๑
บุคคลบางคนในโลกนี้เป็นผู้มีปรกติได้ความสงบใจในภายใน
ทั้งได้อธิปัญญาและความเห็นแจ้งในธรรมจำพวก ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในบุคคลเหล่านั้น บุคคลผู้มีปรกติได้ความสงบใจในภายใน แต่ไม่ได้อธิปัญญาและความเห็นแจ้งในธรรมพึงเข้าไปหาบุคคลผู้มีปรกติได้อธิปัญญาและความเห็นแจ้งในธรรม แล้วถามอย่างนี้ว่า พึงเห็นสังขารอย่างไรหนอ พึงพิจารณาสังขารอย่างไร พึงเห็นแจ้งสังขารได้อย่างไรผู้ถูกถามนั้นย่อมตอบเขาตามความเห็น ความรู้ว่า พึงเห็นสังขารได้อย่างนี้แล พึงพิจารณาสังขารอย่างนี้ พึงเห็นแจ้งสังขารอย่างนี้ สมัยต่อมา เขาเป็นผู้มีปรกติได้ความสงบใจในภายใน ทั้งได้อธิปัญญาและความเห็นแจ้งในธรรม ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้มีปรกติได้อธิปัญญาและความเห็นแจ้งในธรรม แต่ไม่ได้ความสงบใจในภายใน พึงเข้าไปหาบุคคลผู้มีปรกติได้ความสงบใจในภายในแล้วถามอย่างนี้ว่า พึงตั้งจิตไว้อย่างไร พึงน้อมจิตไปอย่างไร พึงทำจิตให้มีอารมณ์เดียวเกิดขึ้นได้อย่างไร
พึงชักจูงจิตให้เป็นสมาธิได้อย่างไร ผู้ถูกถามนั้นย่อมตอบเขาตามความเห็น ความรู้ว่า พึงตั้งจิตไว้อย่างนี้พึงน้อมจิตไปอย่างนี้ พึงทำจิตให้มีอารมณ์เดียวเกิดขึ้นอย่างนี้ พึงชักจูงจิตให้เป็นสมาธิได้อย่างนี้ สมัยต่อมาเขาเป็นผู้มีปรกติได้อธิปัญญาและความเห็นแจ้งในธรรม ทั้งได้ความสงบใจในภายในดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลเป็นผู้ไม่มีปรกติได้ความสงบใจในภายใน ทั้งไม่ได้อธิปัญญาและควาเห็นแจ้งในธรรม พึงเข้าไปหาบุคคลผู้มีปรกติได้ความสงบใจในภายใน ทั้งได้อธิปัญญาและความเห็นแจ้งในธรรม แล้วถามอย่างนี้ว่า พึงตั้งจิตไว้อย่างไรหนอ พึงน้อมจิตไปอย่างไรพึงทำจิตให้มีอารมณ์เดียวเกิดขึ้นอย่างไร พึงชักจูงจิตให้เป็นสมาธิได้อย่างไรพึงเห็นสังขารนั้นได้อย่างไรพึงพิจารณาสังขารอย่างไร พึงเห็นแจ้งสังขารอย่างไรผู้ถูกถามนั้นย่อมตอบเขาตามความเห็นความรู้อย่างนี้ว่า พึงตั้งจิตไว้อย่างนี้ ฯลฯพึงเห็นแจ้งสังขารอย่างนี้ สมัยต่อมา เขาเป็นผู้มีปรกติได้ความสงบใจในภายในทั้งได้อธิปัญญาและความเห็นแจ้งในธรรม ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลเป็นผู้มีปกติได้ความสงบใจในภายใน ทั้งได้อธิปัญญาและความเห็นแจ้งในธรรม พึงตั้งอยู่ในกุศลธรรมเหล่านั้นแหละ แล้วกระทำความเพียรให้ยิ่ง เพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในโลกนี้ ฯ