เทคโนโลยี นวัตกรรม สิ่งประดิษฐ์ วิศวกรรม เกษตรศาสตร์ >>
การป้องกันและกำจัดหนู
หนู เป็นสัตว์ที่ทำลายพืชผลทางการเกษตรและทรัพย์สินให้เสียหายเป็นจำนวนมากในแต่ละปีแล้ว ยังเป็นพาหะนำโรคมาสู่มนุษย์และสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะโรคฉี่หนู ซึ่งเกิดจาเชื้อ เลปโตสไปโรซีส นับว่าเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อสัตว์เลี้ยงและคน
หนูเป็นสัตว์เลือดอุ่นขนาดเล็ก เลี้ยงลูกด้วยนม ขยายพันธุ์ได้รวดเร็วโดยเฉพาะหนูนาท้องขาวอายุเพียง 3 - 5 ครั้ง ครั้งละ 8 - 14 ตัว หรือแม้แต่หนูพุกหรือหนูแผง อายุเพียง 4 เดือนก็ผสมพันธุ์ให้ลูกได้ 2 ครั้งต่อปี ครั้งละ 8 - 14 ตัว เช่นเดียวกัน
การป้องกันและกำจัด
การป้องกันและกำจัดหนูกระทำได้หลายวิธี ดังนี้
1. วิธีกล
ควรทำในฤดูแล้ง ได้แก่ การไล่ล้อมตี ใช้กาวเหนียว การจับ การดัก การขุด
การขุดหลุมพรางดักหนู และการกำจัดหนูโดยใช้ระบบแปลงนาล่อหนู เป็นต้น
หลุมพรางดักหนู
วิธีการ
ขุดหลุมกว้าง 50 เซนติเมตร ลึกประมาณ 1 เมตร
ใช้ไม่ไผ่พาดบนปากหลุมและคลุมด้วยฟางข้าว ภายในหลุมใส่อาหารสัตว์หรือข้าวเปลือกล่อ
เมื่อหนูได้กลิ่นฟางและอาหารจะมุดเข้ากองฟางและพลัดตกลงในหลุมหรืออาจใช้ถังพลาสติกทรงสูง
ไม่ต่ำกว่า 50 ซม. ฝังในดินทำเป็นหลุมก็ได้ ในพื้นที่ 10 ไร่ ขุดหลุมพรางดักหนู 1
หลุมบริเวณใกล้แหล่งน้ำ ที่รกร้างว่างเปล่า และแหล่งอาศัยของหนู
นอกจากวิธีการนี้แล้วเกษตรกรสามารถใช้วิธีกลอื่น ๆ เช่น กับดักฟ้าผ่า ด้วงหรือแร้ว
เป็นต้น
การกำจัดหนูระบบแปลงนาล่อหนู
วิธีการ
กลุ่มเกษตรกรควรปลูกข้าวก่อนฤดูการทำนาอย่างน้อย 3 สัปดาห์ถึง 1 เดือน
ขนาดพื้นที่แปลงนา 50x50 เมตร ควรอยู่ใกล้แหล่งน้ำ ขุดร่องน้ำรอบ ๆ แปลงนา
ยกคันนาล้อมรอบแปลงแล้วใช้พลาสติกสูง 1.20 เมตร ล้อมรอบแปลงนา
ใช้กรงดักหนูทำด้วยลวดตาข่ายกว้าง x ยาว x สูง = 25 x 65 x 25 ซม.
ลักษณะคล้ายไซดักปลาแล้วเจาะพลาสติกให้มีขนาดกว้างเท่าช่องทางเข้าประตูกลกรงดัก
แล้วนำไปวางรอบ ๆ แปลงโดยห่างกัน ประมาณ 20 เมตรต่อกรง จากนั้นออกตรวจจับหนูใน
ช่วงเวลา 21.00 น.
วิธีนี้เป็นอีกวิธีหนึ่งที่สามารถกำจัดหนูได้ครั้งละหลายตัวเป็นการลดประชากรของหนูได้อีกวิธีการหนึ่งที่มีประสิทธิภาพ
2. วิธีเขตกรรม
ได้แก่ การทำลายที่อยู่อาศัย ที่รกร้างว่างเปล่า
การปรับปรุงคันนาให้เล็กหรือต่ำลง (ประมาณ 30 ซม.) ทำลายจอมปลวกหรือ ที่สูง ๆ
3. วิธีชีววิธี
เกษตรกรควบอนุรักษ์ศัตรูธรรมชาติ ซึ่งได้แก่ นกฮูก นกแสก นกเค้าแมว เหยี่ยว
งูชนิดต่าง ๆ พังพอน สุนัข แมว ฯลฯ จะโดยวิธีเลี้ยงขยายพันธุ์เพื่อนำไปปล่อยในไร่นา
ไม่ควรจับมาฆ่าทำลาย เพราะศัตรูธรรมชาติดังกล่าวสามารถช่วยกำจัดหนู
ลดประชากรของหนูได้อย่างดี
4. การใช้สารเคมี
สารเคมีที่แนะนำให้ใช้มี 2 ประเภท คือ ประเภทออกฤทธิ์เร็ว เช่น ซิงค์ฟอสไฟด์ 80%
ผสมกับอาหารหรือซิงค์ฟอสไฟต์ 2% B ที่อยู่ในรูปเหยื่อพิษสำเร็จรูป เป็นก้อน
และประเภทออกฤทธิ์ช้า เช่น คลีแรด (โบรไดฟาคูม) สะตอม (โฟลคูมาเฟน) และเส็ด
(โบรมาดิโอโลน) นำไปวางตามคันนาหรือตามร่องรอยของหนู จุดละ 1 ก้อนหรือ 1
ถุงห่างกันประมาณ 5 - 10 เมตร เป็นการลดจำนวนประชากรของหนูได้อีกวิธีการหนึ่ง
ขั้นตอนการปฏิบัติในการกำจัดหนู
เกษตรกรสามารถเลือกวิธีปฏิบัติได้ ตามความเหมาะสม 1, 2, 3 หรือ 4 ก็ได้
หนูเป็นพาหะในการแพร่เชื้อโรคเลปโตสไปโรซิส ซึ่งทำให้สัตว์หลายชนิดติดต่อได้
เช่น สุนับ แมว โค กระบือ และสุกร มักพบช่วงปลายฤดูฝนต่อฤดูหนาว
โดยเชื้อโรคอยู่ในไตของสัตว์นำโรคและออกมาทางปัสสาวะ
เชื้อสามารถเข้าสู่ร่างกายคนทางสัมผัสกับปัสสาวะโดยตรง ทางบาดแผล รอยขีดข่วน
รอยถลอกตามผิวหนัง หรือเยื่อบุตา จมูก ปาก หรือไชเข้าผิวหนังที่แช่น้ำจนอ่อนหนุ่ม
โดยเฉพาะแหล่งน้ำทุ่งนา แอ่งน้ำหรือที่ที่น้ำท่วมขัง ที่ปนเปื้อนเชื้อ
เกษตรเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้มากที่สุด อาการจะแสดงหลังจากรับเชื้อประมาณ
4 - 11 วัน จะมีไข้สูงทันทีทันใด ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดน่อง และตาแดง
ถ้าไม่ได้รับการรักษาจะมีจุดเลือดอกตามผิวหนัง ไอมีเลือดปนออกมา ตัวเหลือง ตาเหลือง
ปัสสาวะน้อย เยื่อหุ้มสมองและกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ตับและไตวาย และเสียชีวิตได้
การป้องกันโรค
- สวมรองเท้าบู๊ทยางกันน้ำ
- หากจำเป็นต้องลงแช่น้ำในคูคลองไม่ควรแช่น้ำนานจนตัวซีด เมื่อขึ้นจากน้ำแล้วต้องรีบอาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาดโดยเร็วที่สุด
- สวมรองเท้าเวลาเดินบนดินทรายชื้นแฉะ และหมั่นล้างเท้าให้สะอาด
- ปกปิดอาหารไม่ให้หนูปัสสาวะรด
- ล้างมือทุกครั้งหลังจับต้องซากสัตว์ และสัตว์