เทคโนโลยี นวัตกรรม สิ่งประดิษฐ์ วิศวกรรม เกษตรศาสตร์ >>
การปลูกบ๊วย
บ๊วยเป็นไม้ผลเมืองหนาวที่มีแหล่งกำเนิดในประเทศจีน มีปลูกในประเทศไทยนานแล้ว
โดยแพร่เข้ามาทางภาคเหนือ บ๊วยเป็นพืชที่จัดอยู่ในสกุลเดียวกับท้อ พลับ หรือลูกพรุน
ลักษณะผลกลมเมื่อยังเล็กมีสีเขียว
แต่มีผลแก่เต็มที่จะมีสีเหลืองมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2.5 เซนติเมตร
รสขมอมเปรี้ยวและมีกลิ่นหอม
ในญี่ปุ่นและไต้หวันผลจะแก่และเก็บเกี่ยวได้ในเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม
ในไทยผลบ๊วยจะแก่เก็บเกี่ยวได้ประมาณเมษายน บ๊วยอยู่ในสกุล Rosaceae
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Prunus mume
สภาพดินฟ้าอากาศที่เหมาะสม
ดิน บ๊วยชอบสภาพดินร่วน มีการระบายน้ำดี
ระดับความสูง บริเวณที่ปลูกบ๊วยส่วนมากอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 500-800
เมตร แต่ที่ดอยอ่างขางซึ่งอยู่สูง 1200-1800 เมตร และแถบลีซานในไต้หวันซึ่งสูงเกือน
2400 เมตร ก็ปลูกบ๊วยได้ดีเช่นกัน
อุณหภูมิ บ๊วยต้องการสภาพอากาศที่หนาวเย็นในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
สำหรับที่จะทำลายการพักตัวของตา ซึ่งจะแตกออกมาในฤดูใบไม้ผลิ
แต่บ๊วยไม่ต้องการอากาศที่หนาวเย็นมากนัก อุณหภูมิสำหรับการเจริย
เติบโตของบ๊วยจะอยู่ประมาณ 13-15 เซลเซียส ถ้าอุณหภูมิต่ำมาก ๆ
จะมีผลเสียต่อระบบราก ลำต้น และตาที่แตกในฤดูต่อไป
พันธุ์
พันธุ์ที่ใช้ปลูกกันในปัจจุบันนี้
เป็นพันธุ์ดั้งเดิมที่ถูกนำเข้ามาจากประเทศจีน ซึ่งไม่ทราบชื่อพันธุ์ที่แน่นอน
สำหรับที่อำเภอแม่สายและดอยอ่างขาง มีการปลูกบ๊วยพันธุ์เจียงโถและปิงติง
ซึ่งเป็นพันธุ์ที่มาจากไต้หวั
การขยายพันธุ์
บ๊วยขยายพันธุ์ได้ทั้งการเพาะด้วยเมล็ด
ซึ่งไม่นิยมนักเพราะให้ผลช้าและอาจกลายพันธุ์ได้
วิธีการที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการขยายพันธุ์บ๊วยคือ การติดตา ซึ่งทำได้ง่าย
การติดตานิยมทำในช่วงที่ต้นพักตัว เมื่อผ่านระยะการพักตัวแล้ว
ตาที่ติดไว้ก็จะแตกและเจริญเติบโตต่อไป ต้นที่ติดตาจะให้ผลใน 4-5 ปี
สำหรับการใช้ต้นตอนั้นอาจจะใช้ตอบ๊วยด้วยกันหรือต้นตอท้อก็ได้
แต่ถ้าใช้ต้นตอบ๊วยพันธุ์พื้นเมืองก็จะเจริญเติบโตเร็วกว่าต้นตอท้อ
การปลูก
การเตรียมดิน
การขุดหลุมปลูกควรจะให้มีขนาด 1x1x1 เมตร
รองกันหลุมด้วยปุ๋ยคอดหรือเศษพืชที่เน่าเปื่อยผุพังแล้ว
ซึ่งจะทำให้ดินมีคุณสมบัติดีร่วน โปร่ง รากเจริญได้เร็ว ต้นบ๊วย
จะเจริญเติบโตได้รวเร็วมาก
การให้น้ำ
ในระยะที่บ๊วยออกดอก เป็นช่วงที่บ๊วยต้องการน้ำค่อนข้างมาก
แต่ในช่วงที่ติดผลแล้ว ถ้าฝนตกชุกจะทำให้ผลร่วงได้
การให้ปุ๋ย
ในปีหนึ่ง ๆ ควรจะให้ปุ๋ย 2 ครั้ง
คือในขณะที่ตาเริ่มแตกหรือก่อนออกดอกเล็กน้อยโดยให้สูตร 13-13-21
และอีกครั้งหนึ่งจะให้เมื่อเก็บผลแล้ว โดยให้สูตร 15-15-15 ก่อนที่บ๊วยจะพักตัว
หรืออาจจะแบ่งให้อีกครั้ง ในขณะที่ผลกำลังเติบโตก็ได้
ส่วนปริมาณปุ๋ยที่ให้ขึ้นกับอายุของบ๊วย และสภาพดิน
สำหรับวิธีการให้ปุ๋ย ควรจะขุดเป็นร่องรอบ ๆ ต้นบริเวณชายพุ่ม เมื่อโรยปุ๋ยแล้วกลบดิน และรดน้ำเพื่อให้ปุ๋ยละลายน้ำเป็นประโยชน์ต่อต้นบ๊วยต่อไป นอกจากปุ๋ยวิทยาศาสตร์แล้วควรจะให้ปุ๋ยคอกอีกปีละครั้งเพื่อช่วยให้ต้นบ๊วยเจริญได้เร็วขึ้น
การตัดแต่ง
การตัดแต่งทำแบบตรงกลางโปร่งและ Modiflied leader
ฤดูกาลที่เหมาะสำหรับการตัดแต่งคือ ในระยะที่ต้นกำลังพักตัว
ซึ่งจะกระทบกระเทือนต่อต้นน้อยที่สุด
โรคและแมลง
โรค บ๊วยที่ปลูกกับในขณะนี้
ไม่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคที่ร้ายแรงคงมีบ้างเพียงเล็กน้อย เช่นโรคใบจุด
ซึ่งไม่ถึงกับทำให้ผลผลิตลดลง
แมลง พวกหนอนกินใบมีน้อยไม่มีปัญหา อาจจะมีพวกหนอนเจาะกิ่งหรือลำต้น
จะทำให้กิ่งหักเสียหายได้
อาจใช้โฟลิดอนฉีดเข้าไปในรูปที่พบว่ามีหนอนเจาะแล้วเอาดินเหนียวอุดไว้
ซึ่งจะทำลายตัวหนอนได้
โดยปกติแล้วชาวสวนจะพ่นยาฆ่าแมลงให้กับต้นบ๊วยในระยะดอกตูม ๆ และเริ่มติดผลเล็ก ๆ
เท่านั้น
การเก็บผล
ผลบ๊วยจะสุกไม่พร้อมกันทำให้ต้องเก็บหลายครั้ง
ผลจะเริ่มสุกประมาณต้นเดือนเมษายน และจะเก็บไปได้ตลอดเดือน อาจจะเก็บวันเว้นวัน
หรือ 2 วันก็ได้ และนิยมเก็บผลด้วยมือ ซึ่งสามารถเลือกเก็บแต่ผลสุกได้
สำหรับผลผลิตของบ๊วยจะขึ้นกับขนาดและความแข็งแรงของต้นด้วย
การใช้ประโยชน์และตลาด
ถึงแม้ว่าผลบ๊วยจะใช้รับประทานสดไม่ได้ ก็สามารถนำไปทำผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ
ที่ให้ประโยชน์ได้มากที่นิยมทำกันอยู่ในขณะนี้ เช่น บ๊วยดองหรือบ๊วยเจี่ย เป็นต้น
สำหรับราคาผลสุกจะขายได้กิโลกรัม 13-15 บาท
ซึ่งสามารถทำรายได้ให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกได้ดีอีกพืชหนึ่
เอกสารอ้างอิง
- โอฬาร ตัณฑวิรุฬห์ การปลูกพลับ วารสารส่งเสริมการเกษตร 2520
- เอกสารวิชาการ งานศึกษาไม้ผล สำนังานโครงการเกษตรที่สูง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน กรุงเทพมหานคร
- ปวิณ ปุณศรี แนะนำโครงการไม้ผลเมืองหนาว มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน กรุงเทพมหานคร