เทคโนโลยี นวัตกรรม สิ่งประดิษฐ์ วิศวกรรม เกษตรศาสตร์ >>
อาหารจากกระเจี๊ยบเขียว
กระเจี๊ยบเขียวเป็นพืชยืนต้น
อายุประมาณ 1 ปี มีความสูง 40 เซนติเมตร ถึง 2 เมตร ลำต้นมีขนสั้น ๆ
มีหลายสีแตกต่างตามพันธุ์ ใบมีลักษณะกว้าง เป็นแฉกคล้ายใบละหุ่ง
แต่ก้านใบจะสั้นกว่า ดอกสีสีเหลืองโคนดอกด้านในสีม่วง เมื่อบานคล้ายดอกฝ้าย
ฝักมีรูปเรียวยาว ปลายฝักแหลม มีทั้งชนิดฝักกลมและฝักเหลี่ยม 5-10 เหลี่ยม
ขึ้นกับพันธุ์สีฝักมีตั้งแต่เขียวแก่ เขียวอ่อน เขียวเหลือบแดง ไปจนถึงสีม่วงแดง
เมล็ดมีลักษณะกลมรี ขนาดเดียวกับถั่วเขียว เมล็ดอ่อนมีสีขาว เมื่อแก่มีสีเขียวอมเทา
กระเจี๊ยบเขียวสามารถปลูกได้ตลอดปีในประเทศไทย
และเจริญเติบโตในดินทุกชนิดเหมาะที่จะปลูกเป็นพืชผักสวนครัวชนิดหนึ่ง
กระเจี๊ยบเขียวเป็นพืชผักที่เราใช้ฝักอ่อนเป็นอาหาร เมื่ออายุได้ 40 วัน
จะเริ่มออกดอก หลังดอกบาน 5 วันฝักจะยาว 4-9 เซนติเมตร
ซึ่งเป็นขนาดที่เก็บเกี่ยวมาบริโภคได้แล้ว และจะมีคุณภาพดี คือ อ่อน ไม่มีเส้นใย
การเก็บเกี่ยวฝักใช้มีดตัดขั้วออกอย่างระมัดระวัง เพราะฝักช้ำง่ายมาก
การปลูกเป็นผักสวนครัวที่บ้านควรตัดฝักรับประทานทุกวัน ไม่ให้มีฝักแก่บนต้น
ซึ่งจะต้องส่งอาหารมาเลี้ยงทำให้ออกฝักน้อยลง
ฝักกระเจี๊ยบเขียวที่เก็บมาแล้ว ควรนำไปบริโภคทันที ในการเก็บรักษา
เมื่อเก็บฝึกมาแล้ว ควรล้างและแช่ในน้ำให้ฝักกระเจี๊ยบเย็น
แล้วเก็บรักษาในตู้เย็นที่อุณหภูมิ 7-10 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ 90-95%
จะเก็บรักษาได้ 3-10 วัน
กระเจี๊ยบเขียวเป็นผักที่มีคุณค่าทางอาหารโดยเฉพาะวิตามินเอ และแคลเซียม ดังนี้
คุณค่าทางอาหารของกระเจี๊ยบเขียวในส่วนที่บริโภคได้ 100 กรัม
กระเจี๊ยบเขียวมีสารในเชิงสมุนไพรรักษาโรค ซึ่งปรากฎสรรพคุณในตำราแพทย์แผนโบราณ
และการทดลองการแพทย์แผนใหม่ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ในประเทศไทยมีรายงานการทดลองว่าสารสกัดจากกระเจี๊ยบเขียว
ด้วยแอลกอฮอล์สามารถลำจำนวนพยาธิตัวจี๊ดในหนูถีบจักรได้ 1
ในต่างประเทศพบว่ากระเจี๊ยบเขียวรักษาโรคกระเพาะได้ดี
เนื่องจากเป็นผักที่มีเมือกลื่นมาก เมือกลื่นนี้จะช่วยหล่อลื่น ฉาบ เคลือบ
และบรรเทาอาการระคายเคืองของเนื้อเยื่อที่อักเสบ
จึงใช้เป็นยาบรรเทาอาการปวดท้องได้ในรายที่เยื่อบุกระเพาะและลำไว้อักเสบ
ซึ่งมีการนำมาทำเป็นยาทั้งยาผงและแคปซูล
นอกจากกระเจี๊ยบเขียวจะใช้บรรเทาอาการปวดของโรคกระเพาะแล้วยังพบว่าเป็นยาระบายที่ดีอีกด้วย2
สำหรับในบ้านเราสามารถปลูกได้ตลอดปี จึงไม่จำเป็นต้องทำเป็นยาผง
ควรรับประทานฝักสดหรือนำมาประกอบอาหารจะดีกว่า
คนญี่ปุ่นนิยมบริโภคกระเจี๊ยบเขียวมาก โดยเฉพาะฝักสดย่างไฟจิ้มซอส
สำหรับคนไทยบริโภคกระเจี๊ยบเขียวมานานแล้ว เพราะเป็นผักพื้นบ้าน
แต่ในคนรุ่นใหม่ยังไม่รู้จักแพร่หลายนัก ฝักกระเจี๊ยบเขียวสามารถนำไปประกอบอาหารได้
ตั้งแต่รับประทานเป็นผักจิ้ม ชุบแป้งทอด ยำต่าง ๆ ประกอบอาหารอื่น ๆ เช่น แกงส้ม
แกงเลียง แกงจืดต่าง ๆ และฝักกระเจี๊ยบเขียวตากแห้งสามารถทำชา
ซึ่งมีกลิ่นหอมได้อย่างดี
» กระเจี๊ยบเขียวที่ใช้เป็นเครื่องจิ้ม
» น้ำพริกกะปิ
» ยำกระเจี๊ยบเขียว
» แกงกะหรี่ปลาใส่กระเจี๊ยบเขียว
» ผัดเมล็ดกระเจี๊ยบเขียว
» กระเจี๊ยบเขียวชุบแป้งทอด
» แกงส้มกระเจี๊ยบเขียว
» แกงเลียงกระเจี๊ยบเขียว
» แกงจีดกระเจี๊ยบเขียวยัดไส้
» ห่อหมกกระเจี๊ยบเขียว
» กระเจี๊ยบเขียวผัดผงกะหรี่
» กระเจี๊ยบเขียวผัดขิงอ่อน
» สลัดกระเจี๊ยบเขียว
» กระเจี๊ยบต้มกะทิปลาสลิด
» ชากระเจี๊ยบเขียว
» วิธีประกอบอาหารเพื่อลดเมือกของกระเจี๊ยบเขียว
- ที่ปรึกษา : สมชาย สุคนธสิงห์ ,อำถา ตันติสิระ
- ผู้จัดทำ : เฉลิมเกียติ โภคาวัฒนา ,ภัสรา ชวประดิษฐ์