สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ การเมือง เศรษฐศาสตร์ >>
เอกสารประกอบการสอนหมวดวิชาการศึกษาทั่วไป
วิวัฒนาการทางสังคม เศรษฐกิจ และ การเมืองการปกครองของสังคมโลก
สภาพปัจจุบันของสังคมโลก
ปัญหาและการแก้ปัญหาสังคมของโลก
แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก
การปรับตัวของไทยในสังคมโลก
บรรณานุกรม
สภาพปัจจุบันของสังคมโลก
สังคมโลกยุคสงครามเย็น (Cold War)
สงครามเย็นเป็นลักษณะของความขัดแย้ง เกิดขึ้นภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
สืบเนื่องมาจากความแตกต่างด้านอุดมการณ์ทางการเมืองระหว่างสหรัฐอเมริกาผู้นำกลุ่มโลกเสรีกับสหภาพโซเวียตผู้นำกลุ่มโลกคอมมิวนิสต์
เป็นสาเหตุให้โลกแบ่งเป็น 2 ค่าย ต่างฝ่ายต่างพยายามต่อสู้แข่งขันเพื่อขยายอิทธิพล
แสวงหาความได้เปรียบในการสร้างอำนาจให้เหนือกว่าฝ่ายตรงข้ามให้มากที่สุด
ด้วยวิธีการต่างๆ ยกเว้นการทำสงครามเปิดเผย และการใช้อำนาจต่อสู้กันโดยตรง
ประเทศเล็ก ๆ
ต่างเข้าไปเป็นพันธมิตรของอภิมหาอำนาจแต่ละฝ่ายทำให้การเมืองระหว่างประเทศเกิดความตึงเครียด
1. สาเหตุของสงครามเย็น
- 1.1 ความขัดแย้งด้านอุดมการณ์
เมื่อสหภาพโซเวียตนำลัทธิคอมมิวนิสต์มาใช้บริหารประเทศทำให้เกิดความหวาดระแวงในเวทีการเมืองระหว่างประเทศ เพราะคอมมิวนิสต์มีเป้าหมายมุ่งทำลายล้าง ทุนนิยมของอุดมการณ์ของกลุ่มเสรีประชาธิปไตย
- 1.2 ความขัดแย้งผลประโยชน์ของชาติ
ในด้านความมั่นคงปลอดภัยโดยเฉพาะพรมแดนด้านตะวันตกเป็นจุดอ่อนถูกศัตรูบุกเข้าไว้ง่าย สหภาพโซเวียตจึงดำเนินการสถาปนารูปแบบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ในประเทศยุโรปตะวันออกซึ่งมีฐานะเป็นประเทศบริวาร ส่วนความขัดแย้งในด้านเศรษฐกิจ เนื่องมาจากสหรัฐอเมริกาหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นประเทศเจ้าหนี้ ทุนนิยมที่ร่ำรวยที่สุด หากปล่อยให้ลัทธิคอมมิวนิสต์ขยายตัว จะทำให้สหรัฐอเมริกาต้องสูญเสียหนี้สิน แหล่งทรัพยากรธรรมชาติ และเกียรติภูมิของชาติ
- 1.3 เกิดช่องว่างแห่งอำนาจทางการเมือง
เนื่องจากเกิดการเปลี่ยนแปลงอำนาจทางการเมืองระหว่างประเทศ โดย อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี หมดอำนาจลง หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตขึ้นมาเป็นมหาอำนาจแทนจึงเกิดเผชิญหน้ากัน
2. วิธีการที่ใช้ในสงครามเย็น
- 2.1 การเผยแพร่และการโฆษณาชวนเชื่อ
แนวความคิดหรืออุดมการณ์ทางการเมืองด้วยวิธีปลูกฝัง ชักจูงให้เกิดความเชื่อในตัวบุคคลหรือกลุ่มบุคคล โดยใช้คำพูด สิ่งตีพิมพ์ หรือสัญลักษณ์ต่าง ๆ ดังเช่น ฝ่ายเสรีประชาธิปไตยใช้สำนักแถลงข่าวสารอเมริกัน สถานีวิทยุเสียงอเมริกันทำหน้าที่กระจายข่าวไปทั่วโลก โฆษณาการปกป้องสิทธิส่วนบุคคล คุ้มกันสิทธิของชนกลุ่มน้อย ต้องการยกฐานะของบุคคลทั่วโลกให้สูงขึ้น ส่วนฝ่ายคอมมิวนิสต์โฆษณายกย่องความเสมอภาคของระบอบคอมมิวนิสต์ สนใจ สวัสดิภาพของคนทั่วโลก เอาใจกลุ่มประเทศเป็นกลาง โน้มน้าวให้หันมาสนับสนุนฝ่ายตน
- 2.2 การแข่งขันทางการทหาร
ทั้งสองฝ่ายต่างแข่งขันกัน เสริมสร้างพัฒนาอาวุธแบบใหม่และกำลังทหารให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น สะสมอาวุธร้ายแรงไว้ในครอบครองให้มากที่สุด โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาใช้วิธีรวมกลุ่มพันธมิตร เช่น จัดตั้งองค์การนาโต้(NATO) องค์การสัญญาแอนซัส(ANZUS) ทั้งนี้เพื่อปิดล้อมคอมมิวนิสต์ในภูมิภาคต่าง ๆ ส่วนสหภาพโซเวียตได้ให้การคุ้มครองอารักขาประเทศที่ฝักใฝ่คอมมิวนิสต์ด้วยวิธีการส่งอาวุธและกองกำลังทหารไปประจำในประเทศต่าง ๆ ยุยงให้ประชาชนก่อการปฏิวัติสร้างสงครามกลางเมือง ซึ่งอ้างว่าเป็นสงครามปลดแอกให้ประชาชน
- 2.3 การให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจ
แต่ละฝ่ายต่างแข่งขันกันให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจแก่มิตรประเทศของตน โดยวิธีบริจาคเงินให้ ให้กู้ยืมเงิน ร่วมลงทุน ให้ความช่วยเหลือทางเทคนิค ให้เงินทุนการศึกษา แลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม ให้สิทธิพิเศษทางการค้าโดยหวังว่าจะทำให้ตนได้พรรคพวกมากขึ้น
- 2.4 นโยบายทางการทูต
มหาอำนาจทั้งสองฝ่ายต่างพยายามใช้นโยบายทางการทูตเป็นเครื่องมือเพื่อสร้างอิทธิพลเหนือประเทศอื่น มีการจัดประชุมระดับผู้นำ ระดับรัฐมนตรีต่างประเทศ ดังเช่น การประชุมสุดยอดกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมัน เพื่อควบคุมปริมาณและราคาน้ำมัน การประชุมตัวแทนนานาชาติ เพื่อวางแผนสันติภาพ โดยเฉพาะการประชุมในคณะมนตรีความมั่นคงของ องค์การสหประชาชาติ ทั้งสองฝ่ายจะใช้สิทธิยับยั้ง (VETO) แสดงให้เห็นถึงความมีอำนาจในเวทีการเมืองระดับโลก
- 2.5 การแข่งขันทางวิทยาการและเทคโนโลยี
ซึ่งแต่ละฝ่ายพยายามแสดงออกถึงผลงานความสำเร็จก้าวหน้าของตนเช่น การคิดค้นพัฒนาขีปนาวุธ การส่งดาวเทียมไปโคจรนอกโลก การสำรวจดวงจันทร์ ดาวอังคาร สิ่งเหล่านี้ทำขึ้นเพื่อสร้างความศรัทธา ยำเกรงต่อความสามารถ เป็นการสร้างเกียรติภูมิเพิ่มความนิยมให้กับฝ่ายตนทำให้ประเทศเล็กอาจเปลี่ยนสังกัดได้
3. จุดเริ่มต้นของสงครามเย็น
สหภาพโซเวียตเป็นฝ่ายเริ่มสงครามก่อน โดยการแผ่ขยายอิทธิพลและลัทธิส่งผลให้คอมมิวนิสต์เข้าไปในยุโรปตะวันออก โปแลนด์ ฮังการี ยูโกสลาเวีย แอลเบเนีย บัลแกเรีย โรมาเนีย และเชโกสโลวะเกีย ตกเป็นประเทศบริวาร สหภาพโซเวียตต้องการควบคุมช่องแคบ ดาร์ดะแนลล์ (The Dardanelles) เพื่อเป็นเส้นทางออกสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ดังนั้น จึงส่งกองทัพเข้าคุกคามตุรกีและกรีซ ซึ่งอยู่ในอารักขาของอังกฤษ อังกฤษได้ขอความช่วยเหลือไปยังสหรัฐอเมริกา ประธานาธิบดีทรูแมนได้ประกาศหลักการทรูแมน (Truman Doctrine) เพื่อแสดงเจตนารมณ์ให้ทราบว่าสหรัฐอเมริกาจะให้ความช่วยเหลือประเทศเสรีทั้งหลายให้พ้นจากการคุกคามของลัทธิคอมมิวนิสต์ โดยจะให้ความช่วยเหลือทั้งเงินและกำลังทหาร สหภาพโซเวียต ไม่พอใจจึงตอบโต้ โดยเรียกร้องให้ประเทศคอมมิวนิสต์ทั่วโลกร่วมมือกันต่อต้านการขยายอิทธิพลของจักรวรรดินิยมอเมริกาพร้อมทั้งพันธมิตร สงครามเย็นจึงเริ่มต้นขึ้น
4. ลักษณะความขัดแย้งในสงครามเย็น
นับแต่สงครามเย็นเริ่มขึ้นในปี ค.ศ. 1947 การต่อสู้ได้ปรากฏออกมาหลายรูปแบบ มีผลทำให้เกิดความหวาดระแวงต่อกันมากขึ้น สหรัฐอเมริกา และสหภาพโซเวียตพยายามเข้าไปมีบทบาทในภูมิภาคต่างๆ ของโลกเพื่อขยายอาณาเขตและรักษาอิทธิพลของตน มีผลทำให้เกิดการเผชิญหน้ากันในดินแดนต่าง ๆ ทั่วโลก ลักษณะความขัดแย้งมีความรุนแรงมากน้อยแตกต่างกันไปตามสถานการณ์และสภาพแวดล้อม
- 4.1 การเผชิญหน้าในยุโรปตะวันออก (ค.ศ. 1947-1949)
หลังจากสภาพโซเวียตขยายอำนาจในตุรกีและกรีซ ได้เกิดการเผชิญหน้ากันซึ่งสหรัฐอเมริกาได้ประกาศหลักการทรูแมนขัดขวางคอมมิวนิสต์ เพื่อปกป้องไม่ให้ยุโรปตะวันตกต้องตกอยู่ใต้อิทธิพลของคอมมิวนิสต์ สหรัฐอเมริกาจึงประกาศใช้แผนการมาร์แชล (Marshall Plan) ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1947 ให้ความช่วยเหลือฟื้นฟูเศรษฐกิจทุกประเทศทั้งฝ่ายประชาธิปไตย และคอมมิวยนิสต์ที่มีปัญหาเศรษฐกิจเนื่องจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สหภาพโซเวียตตอบโต้ โดยจัดตั้งองค์การโคมินฟอร์ม (Cominform) ในเดือนตุลาคมปีเดียวกัน เพื่อกระชับความร่วมมือระหว่างคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออก และขยายลัทธิคอมมิวนิสต์ให้แพร่หลายไปทั่วโลกและประกาศแผนการโมโลตอฟ (Molotov Plan) เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจประเทศคอมมิวนิสต์ในยุโรป แต่ยูโกสลาเวียเข้ารับความช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกาจึงถูกขับออกจากองค์การโคมินฟอร์ม สหภาพโซเวียตได้ก่อวิกฤตการณ์โดยปิดล้อมเบอร์ลินในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1948 เพื่อตัดเส้นทางคมนาคมในเขตยึดครองของเสรีประชาธิปไตย แต่สหรัฐอเมริกาแก้ไขได้โดยจัดส่งเสบียงอาหาร และสัมภาระเข้าช่วยทางอากาศ จากพฤติกรรมของสหภาพโซเวียตที่มุ่งขยายอิทธิพลเข้าไปในยุโรป ทำให้สหรัฐอเมริกาต้องจัดตั้งองค์การสนธิสัญญา แอตแลนติกเหนือ (NATO) ขึ้นในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1949 เพื่อให้ความร่วมมือด้านการทหารแก่สมาชิกในค่ายโลกเสรี สหภาพโซเวียตตอบโต้ด้วยการรวมกลุ่มพันธมิตรฝ่ายตนตั้งองค์การสนธิสัญญาวอร์ซอ (Warsaw Treaty Organization) และจัดตั้งองค์การโคมีคอน (Comecon) เพื่อเข้าช่วยเหลือทางเศรษฐกิจตามแผนการโมโลตอฟ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส ได้ร่วมมือกันสถาปนาเยอรมนีในเขตยึดครองเป็นประเทศสาธารณรัฐเยอรมนี (เยอรมนีตะวันตก) เพื่อสร้างเยอรมนีให้เข้มแข็งไว้ต่อต้านคอมมิวนิสต์ สหภาพโซเวียตได้สถาปนาสาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนี(เยอรมนีตะวันออก ) ในเขตยึดครอง ของตนในเดือนตุลาคม 1949 ในปีเดียวกัน สงครามเย็นในระยะแรกทั้งสองค่ายต่างป้องปรามซึ่งกันและกันด้วยยุทธวิธีทุกรูปแบบ ทำให้การเมืองระหว่างประเทศทวีความตึงเครียดสูงขึ้น ใน ค.ศ. 1960 สหภาพโซเวียตได้สร้างกำแพงปิดล้อมเบอร์ลินตะวันตก เพื่อกัดกั้นชาวเยอรมันตะวันออก ไม่ให้หลบหนีเข้าเขตเบอร์ลินตะวันตก กำแพงเบอร์ลิน กลายเป็นสัญลักษณ์ของสงครามเย็นในยุโรป
- 4.2 การขยายตัวของลัทธิคอมมิวนิสต์ในเอเชีย (ค.ศ. 1949-1955)
ลัทธิคอมมิวนิสต์ได้ขยายตัวมายังจีนในระยะที่จีนมีปัญหาการเมืองภายในประเทศอันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นสาธารณรัฐ เกิดปัญหาเศรษฐกิจซุนยัดเซ็นต้องยอมรับความช่วยเหลือจากสหภาพโซเวียต พรรคคอมมิวนิสต์จีนจึงเกิดขึ้น เมื่อเหมาเจ๋อตุงขึ้นมาเป็นผู้นำพรรคในระยะต่อมา ได้เกิดความขัดแย้งกับเจียงไคเช็คเป็นเหตุให้เกิดสงครามกลางเมือง เหมาเจ๋อตุงใช้ยุทธวิธีการรบแบบใหม่ ให้ชาวนาในชนบทเป็นฐานการต่อสู้กับรัฐบาล จนมีชัยชนะสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน ในเดือนตุลาคม ค.ศ.1949 เจียงไคเช็คได้อพยพไปอยู่ใต้หวันจัดตั้งรัฐบาลจีนคณะชาติ
สาธารณรัฐประชาชนจีนเริ่มวางแผนปฏิวัติโลกตามอุดมการณ์ลัทธิมาร์กซ์ เลนินสนับสนุน ขบวนการปลดแอกในพื้นที่ต่าง ๆ ทำให้ภูมิภาคเอเชียเกิดวิกฤตการณ์ขึ้นหลายแห่ง วิกฤตการณ์ในเกาหลีเกิดขึ้นเมื่อเกาหลีถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเทศ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง โดยสหรัฐอเมริกาจัดตั้งสาธารณรัฐเกาหลีในเขตยึดครองของตน ส่วนสหภาพโซเวียตตอบโต้โดยจัดตั้ง สาธารณรัฐประชาธิปไตยเกาหลี แล้วสนับสนุนให้เกาหลีเหนือบุกเกาหลีใต้ ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1950 สหรัฐอเมริกาเข้าช่วยเหลือเกาหลีใต้และขอความช่วยเหลือไปยังสหประชาชาติ กองทัพสหประชาชาติรุกล้ำพรมแดนจีน ทำให้จีนเข้าช่วยเกาหลีเหนือ ในที่สุดมหาอำนาจทั้งสองสามารถเจรจาหยุดยิง ใน ค.ศ. 1953 ส่งผลให้เกาหลียังคงแบ่งเป็น 2 ประเทศ จีนกลายเป็นผู้นำในการเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์อีกประเทศหนึ่ง สหรัฐอเมริกาจึงได้นำนโยบายปิดล้อมมาใช้สกัดกั้นการขยายตัวของลัทธิคอมมิวนิสต์ใน ภูมิภาคแปซิฟิก โดยการทำสนธิสัญญาแอนซัส (ANZUS)
สงครามเย็นได้ขยายเข้ามาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อสาธารณรัฐประชาชนจีนและ สหภาพโซเวียตเข้ามามีบทบาทให้การสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์ในประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศอินโดจีนเป็นเขตที่เกิดสงครามเย็นรุนแรงมาก อินโดจีนประกอบด้วย ลาว กัมพูชา เวียดนาม เป็นเขตอาณานิคมของฝรั่งเศส เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นให้เอกราช อินโดจีน เมื่อสงครามสิ้นสุดลง ฝรั่งเศสกลับมาปกครองอินโดจีนอีก ทำให้เวียดนามประกาศ เอกราชจึงเกิดการสู้รบกันขึ้นโดยมีสาธารณรัฐประชาชนจีนและสหภาพโซเวียตช่วยเหลือ คอมมิวนิสต์จึงได้รับชัยชนะในเวียดนามเหนือ ทำให้สหรัฐอเมริกาหวาดกลัวภัยจากจีนมากได้นำนโยบายปิดล้อมคอมมิวนิสต์มาใช้ในเอเชีย โดยการจัดรวมกลุ่มพันธมิตรร่วมป้องกัน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEATO) ค.ศ. 1954 เพื่อสกัดกั้นคอมมิวนิสต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
- 4.3 การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ (ค.ศ. 1955-1973)
ความขัดแย้งของสงครามเย็นลดความรุนแรงลง เพราะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในสหภาพโซเวียต เมื่อครุสชอฟขึ้นมาเป็นผู้นำต่อจาก สตาลินได้ประกาศใช้นโยบายอยู่ร่วมกันอย่างสันติกับกลุ่มเสรีประชาธิปไตย โดยยึดหลักความเสมอภาคและแสวงหาผลประโยชน์ร่วมกัน เคารพในบูรณภาพและอธิปไตยของชาติอื่น แต่สหรัฐอเมริกาไม่ไว้วางใจถือโอกาสแสวงหาพันธมิตรในตะวันออกกลาง โดยจัดตั้งสนธิสัญญาเซ็นโต (CENTO) ต่อต้านการขยายอิทธิพลของคอมมิวนิสต์ เมื่อสหภาพโซเวียตไม่สามารถขยายอิทธิพลในยุโรปได้จึงต้องขยายไปยังทวีปอเมริกา ทำให้ฟิเดล คัสโตร ผู้นำคิวบายอมอยู่ใต้อิทธิพลของคอมมิวนิสต์ใน ค.ศ. 1962 สหภาพโซเวียตติดตั้งขีปนาวุธในคิวบา สหรัฐอเมริกาประท้วงให้รื้นถอน ในที่สุดสหภาพโซเวียตต้องปฏิบัติตาม
- 4.4 การผ่อนคลายความตึงเครียด (ค.ศ. 1973-1990)
เป็นระยะผ่อนคลายความตึงเครียด ลดการเผชิญหน้าเสริมสร้างบรรยากาศประนีประนอมกันมากขึ้น มหาอำนาจต่างยินยอมแก้ไขข้อขัดแย้งและข้อพิพาทต่าง ๆ อย่างสันติ มีการพบปะผู้นำทั้งสองฝ่ายหลายครั้ง เพื่อเจรจาขจัดปัญหาความขัดแย้งที่มีอยู่ให้ลดลงหรือหมดไป มีผลทำให้เกิดข้อตกลงต่างๆ เกิดการเจรจาลดอาวุธ จำกัดขีปนาวุธพิสัยใกล้และไกล ลงนามสนธิสัญญาทำลายอาวุธนิวเคลียร์พิสัยกลาง สหรัฐอเมริกาเปิดสัมพันธ์ทางการทูตกับสาธารณรัฐประชาชนจีน ยินยอมให้จีนเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติและเป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคง เกิดการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างสหภาพโซเวียตและสาธารณรัฐประชาชนจีนและยินยอมให้มีการถอนทหารเวียดนามออกจากกัมพูชา และหาวิธีการเพื่อให้เกิดสันติภาพในกัมพูชา จากลักษณะความร่วมมือของมหาอำนาจเพื่อให้เกิดสันติภาพ แนวโน้มการยุติสงครามเย็นจึงมีความเป็นไปได้สูง
- 4.5 ระยะแห่งการสิ้นสุดสงครามเย็น (ช่วงทศวรรษที่ 1990)
เมื่อสหภาพโซเวียตปฏิรูปประเทศเกิดการเปลี่ยนแปลง นับตั้งแต่นายมิคาอิล กอร์บาชอฟขึ้นมาเป็นผู้นำได้ประกาศแนวนโยบายกลาสนอต (Glasnost) และเปเรสทรอยก้า(Perestroika) โดยเปิดประเทศเข้าสู่ระบบเสรี ปรับเศรษฐกิจให้เอกชนเข้าไปประกอบธุรกิจ การผลิตและการขายให้เป็นไปตามหลักการเสนอและสนอง ปฏิรูปโครงสร้างทางการเมืองให้ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพทางการเมืองมากขึ้น เปิดโอกาสให้มีเสรีภาพในการรับข่าวสารข้อมูล ลดกำลังทหารและกองกำลังภายนอกประเทศ ถอนทหารออกจากอัฟกานิสถานและประเทศในยุโรปตะวันออก การปรับเปลี่ยนนโยบายดังกล่าว ทำให้เกิดความไม่พอใจในกลุ่มผู้นำคอมมิวนิสต์หัวเก่า จนเกิดการปฏิวัติขึ้น แต่ล้มเหลวทำให้พรรคคอมมิวนิสต์หมดอำนาจ ส่งผลทำให้แลตเวีย เอสโตเนีย ลิทัวเนีย ซึ่งเป็นรัฐทางทะเลบอลติกประกาศเอกราช ไม่ยอมอยู่ภายใต้การปกครองของสหภาพโซเวียต ต่อมารัฐต่าง ๆ แยกตัวเป็นอิสระปกครองตนเอง มีผลทำให้สหภาพโซเวียตล่มสลายลง ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1991 ส่วนสาธารณรัฐรัสเซียภายใต้การนำของ นายบอริส เยลท์ซิน ได้เปลี่ยนการปกครองเป็นแบบประชาธิปไตย ประเทศบริวารของสหภาพโซเวียตในยุโรปตะวันออก เกิดการเปลี่ยนแปลงต่างแยกตัวเป็นอิสระ หลายประเทศปรับเปลี่ยนการปกครองมาเป็นแบบประชาธิปไตย
จากการล่มสลายของคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออก
ส่งผลให้มีการสลายตัวขององค์การสนธิสัญญาวอร์ซอ องค์การโคมีคอน
เมื่อเยอรมนีตะวันออกเปลี่ยนตัวผู้นำ ได้ทุบทำลายกำแพงเบอร์ลิน
นับเป็นสัญลักษณ์ของการสิ้นสุดสงครามเย็น มีผลทำให้ประชาชนของเยอรมนี ทั้งสองประเทศ
เดินทางเข้าออกได้อย่างอิสระ
นำไปสู่การรวมประเทศเยอรมนีภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตย ใน ค.ศ. 1990
5 สภาวการณ์ของสังคมโลกหลังสงครามเย็น
ความเปลี่ยนแปลงในสังคมโลกเกิดขึ้นเมื่อเกิดการล่มสลายของสหภาพโซเวียต สงครามเย็นได้ยุติลงก่อให้เกิดผลกระทบที่สำคัญต่อสังคมโลก ดังนี้
- 5.1 สหรัฐอเมริกามีบทบาทเด่นชัดเป็นประเทศอภิมหาอำนาจชาติเดียว
ศูนย์กลางใหม่ของโลกยุคโลกาภิวัตน์อยู่ที่สหรัฐอเมริกา เห็นได้จากการประกาศใช้ระเบียบโลกใหม่ (New World Order) ซึ่งมีแนวทางสำคัญคือ การปกครองประชาธิปไตย เศรษฐกิจระบบเสรี การเคารพสิทธิมนุษยชน และการรักษาสิ่งแวดล้อม โดยให้ประเทศในสังคมโลกต้องปฏิบัติตามกฎบัตรสหประชาชาติและกรอบของการเมืองระหว่างประเทศ ประเทศใดไม่ปฏิบัติตามจะถูกมาตรการบังคับหลายวิธีการ ดังเช่น มาตรการทางการค้า การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ การใช้กำลังทหารบังคับ นโยบายการจัดระเบียบโลกใหม่ถูกนำมาใช้ในภูมิภาคต่าง ๆ ของโลก อย่างเช่น การแก้ไขปัญหาสันติภาพในตะวันออกกลาง แต่การกระทำของสหรัฐอเมริกาสร้างความไม่พอใจให้กับประเทศต่าง ๆ เพราะเห็นว่าเป็นเจตนาที่จะเข้าแทรกแซงกิจการภายในของประเทศ มีผลทำให้เกิดการต่อต้านสหรัฐอเมริกาขึ้นในภูมิภาคต่าง ๆ โดยเฉพาะการทำหน้าที่เสมือนกับเป็นตำรวจโลก ใช้กองกำลังแก้ปัญหาความขัดแย้งดังเช่น กรณีความขัดแย้งระหว่างอิรักกับคูเวต เนื่องจากการแย่งแหล่งน้ำมัน สหรัฐอเมริกาอาศัยข้อมติของสหประชาชาติทำสงครามชนะอิรัก ความขัดแย้งการนับถือศาสนาในโคโซโว ซึ่งเป็นรัฐหนึ่งของยูโกสลาเวีย สหรัฐอเมริกาใช้กำลังทางอากาศถล่มจน ยูโกสลาเวียต้องถอนทหารจากโคโซโว และเมื่อเกิดเหตุการณ์การก่อวินาศกรรมถล่มตึกเวิร์ลเทรด ในวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2001 ซึ่งสหรัฐอเมริกาเชื่อว่า เป็นการกระทำของกลุ่มผู้ก่อการร้าย อัลเคด้า (al Qaeda) รัฐบาลตาลิบันของอัฟกานิสถานให้การสนับสนุนทั้งเปิดค่ายฝึกและให้ที่พักพิง สหรัฐอเมริกาจึงอาศัยข้อมติของสหประชาชาติทำสงครามกับอัฟกานิสถานจนมีชัยชนะแต่ก็ยังไม่สามารถจับอุสมาบินลาเด็น (Osama bin Laden) มาพิจารณาลงโทษได้
- 5.2 การแข่งขันทางเศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศ
หลังสงครามเย็น มีการจัดระเบียบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศซึ่งเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ทางการค้า การแข่งขันด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ อาจทำให้เกิดการแย่งชิงกันครอบครองทรัพยากรธรรมชาติ ดังเช่น การอ้างกรรมสิทธิ์เหนือหมู่เกาะ สแปรตลีย์ในทะเลจีนใต้ ซึ่งเป็นเกาะที่มีทรัพยากรน้ำมัน แย่งชิงกัน ระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีน ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม ความขัดแย้งระหว่างไทยกับพม่า แย่งชิงการจับปลาในทะเลอันดามัน ส่วนการแข่งขันแย่งตลาดในภูมิภาคก็เป็นสาเหตุของความขัดแย้ง เช่นกัน ดังเช่นสหรัฐอเมริกากับญี่ปุ่นแย่งตลาดสินค้าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งประเทศมหาอำนาจก็มีมาตรการพิทักษ์ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของตนเพิ่มมากขึ้น มีการปกป้องตลาดภายใน เพื่อป้องกันการไหลเข้าของสินค้าต่างประเทศ อย่างเช่น สหรัฐอเมริกาประกาศใช้นโยบายสิทธิมนุษยชน มาตรการคว่ำบาตร มาตรการทางการค้า มาตรฐานสิ่งแวดล้อม เป็นข้ออ้าง
- 5.3 การเปลี่ยนแปลงอำนาจในโลกและในภูมิภาค
ประเทศต่าง ๆ ต้องปรับเปลี่ยนบทบาทใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวการณ์ที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะญี่ปุ่นซึ่งเป็นประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ อุตสาหกรรมได้เข้ามามีบทบาทและมีอิทธิพลทางการเมืองเพิ่มมากขึ้น ดังเช่น เมื่อเกิดการตกต่ำทางเศรษฐกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ญี่ปุ่นมีบทบาทในการช่วยฟื้นฟูหลายรูปแบบที่สำคัญได้แก่ โครงการมิยาซาวา สาธารณรัฐประชาชนจีนก็เช่นเดียวกันได้ปรับความสัมพันธ์กับรัสเซียยุติความแตกร้าวที่มีมากว่า 30 ปี และยังได้ปรับความสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกาพยายามลดความขัดแย้งและแสวงหาผลประโยชน์ร่วมกัน ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช ไปเยือนจีนในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.2002 ได้ตกลงร่วมกันปราบปรามผู้ก่อการร้ายระหว่างประเทศ สาธารณรัฐประชาชนจีนและกลุ่มประเทศอิสลามจึงเป็นกลุ่มการเมืองใหม่ที่คาดว่าจะมีบทบาทสูงขึ้นในเวทีโลก
- 5.4 กระแสชาตินิยมใหม่
ซึ่งส่วนใหญ่จะเกิดในประเทศที่เกิดขึ้นใหม่ภายหลังการล่มสลายของลัทธิคอมมิวนิสต์ ในดินแดนอดีตสหภาพโซเวียตและยูโกสลาเวีย สืบเนื่องมาจากความแตกต่างทางพื้นฐานวัฒนธรรมทั้งทางด้านชาติพันธุ์และศาสนา ทำให้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลท้องถิ่นกับรัฐบาลกลางทวีความรุนแรงขึ้น และเป็นตัวกระตุ้นปลุกเร้าให้เกิดความรู้สึกชาตินิยมรุนแรงมากขึ้น ซึ่งยังคงเป็นปัญหายืดเยื้อมาถึงปัจจุบัน ดังตัวอย่างความขัดแย้งระหว่างเชื้อชาติรัสเซียกับชนกลุ่มน้อยชาวเชสเนียในประเทศรัสเซีย ความขัดแย้งระหว่างบอสเนียมุสลิม กับบอสเนียเซิร์บคริสเตียน ความขัดแย้งระหว่างโครแอทกับเซิร์บ ความขัดแย้งระหว่างอาร์เมเนียกับอาเซอร์ไบจัน ความขัดแย้งระหว่างเผ่าฮูตูกับเผ่าตุดซีในประเทศรวันดา ความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลพม่ากับชนกลุ่มน้อยเผ่าต่าง ๆ ความขัดแย้งของกระแสชาตินิยมใหม่ได้กลายเป็นสงครามในท้องถิ่นในภูมิภาคต่าง ๆ ของโลก
โลกหลังสงครามเย็นเป็นยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง ระบบทุนนิยมเข้าไปมีอิทธิพลต่อชีวิตแทบทุกส่วนของโลก ประชาคมโลกซึมซับค่านิยมตะวันตก การตื่นตัวของค่านิยมเสรีภาพและประชาธิปไตยก่อให้เกิดการล้มล้างระบบอำนาจนิยมในดินแดนต่างๆ ทำให้ผู้นำพลเรือนกลับเข้ามามีอำนาจในหลายประเทศ เกิดปรากฏการณ์ข้ามชาติทั่วทั้งโลกอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน นั่นคือ กระแสโลกาภิวัตน์ ก่อให้เกิดเครือข่ายเชื่อมโยงถึงกันทุกด้าน
สังคมโลกยุคสงครามเย็น (Cold War)
สังคมโลกยุคโลกาภิวัตน์
องค์การระหว่างประเทศ
บทสรุป