วรรณกรรม สุภาษิต ข้อคิด คำคม สำนวน โวหาร งานเขียน >>
สามัคคีเภทคำฉันท์
ชิต บุรทัต
(เรื่องย่อ)
ในกาลโบราณมีกษัตริย์องค์หนึ่งทรงพระนามว่า พระเจ้าอชาตศัตรู ทรงครอบครองแคว้น
มคธ มีราชคฤห์เป็นเมืองหลวง พระองค์ทรงมีอำมาตย์ที่สนิทคนหนึ่งชื่อว่า
วัสสการพราหมณ์ เป็นผู้ฉลาดและรอบรู้ศิลปศาสตร์และเป็นที่ปรึกษาราชการทั่วไป
พระเจ้าอชาตศัตรูมีพระราชประสงค์จะปราบแคว้นวัชชีอันมีพวกกษัตริย์ลิจฉวีปกครอง
แต่พระองค์ยังลังเลพระทัยเมื่อได้ทรงทราบว่ากษัตริย์ลิจฉวีทุก ๆ
พระองค์ล้วนแต่ทรงตั้งมั่นอยู่ในธรรมที่เรียกว่า
อปริหานิยธรรม 7
คือธรรมอันเป็นไปเพื่อเหตุแห่งความเจริญฝ่ายเดียว มีทั้งหมด 7 ประการ
ดังนั้นพระองค์จึงปรึกษาโดยเฉพาะกับวัสสการพราหมณ์ว่าควรจะกระทำอย่างไรจึงจะหาอุบายทำลายเหตุแห่งความพร้อมเพรียงของพวกกษัตริย์ลิจฉวีได้
เมื่อได้ตกลงนัดแนะกับวัสสการพราหมณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
วันหนึ่งพระเจ้าอชาตศัตรูเสด็จออกว่าราชการ
จึงดำรัสเป็นเชิงหารือกับพวกอำมาตย์ในเรื่องจะยกทัพไปรบกับแคว้นวัชชี
มีวัสสการพราหมณ์เพียงผู้เดียวที่กราบทูลเป็นเชิงทักท้วงและขอให้พระองค์ทรงยับยั้งรอไว้ก่อนเพื่อเห็นแก่มิตรภาพและความสงบ
ทั้งทำนายว่าถ้ารบก็จะพ่ายแพ้ด้วย
พระเจ้าอชาตศัตรูได้ทรงฟังวัสสการพราหมณ์กราบทูลเป็นถ้อยคำหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเช่นนั้น
ก็ทรงแสร้งแสดงพระอาการพิโรธ
และมีพระราชโองการสั่งเจ้าหน้าที่ผู้ใหญ่ฝ่ายนครบาลพร้อมด้วยราชบุรุษ
ให้นำตัววัสสการพราหมณ์ไปลงโทษตามคำพิพากษาในบทพระอัยการ คือ เฆี่ยน โกนผม ประจาน
แล้วขับไล่ไปเสียไม่ให้อยู่ในพระราชอาณาเขต
วัสสการพราหมณ์ยอมทนรับราชอาญาด้วยทุกขเวทนาแสนสาหัสถึงแก่สลบ
เมื่อถูกเนรเทศออกจากแคว้นมคธก็เดินทางมุ่งตรงไปเมืองเวสาลีอันเป็นเมืองหลวงของแคว้นวัชชีและเที่ยวผูกไมตรีกับบรรดาชาวเมือง
จนข่าวนี้ทราบไปถึงกษัตริย์ลิจฉวี จึงได้ตีกลองสำคัญขึ้นเป็นสัญญาณ
เชิญกษัตริย์ทั้งปวงมาชุมนุมปรึกษาราชการ
เมื่อกษัตริย์ลิจฉวีประชุมกันแล้วก็ได้ตกลงกันว่าควรให้พราหมณ์ผู้นั้นเข้ามาเพื่อจะได้เห็นท่าทางและฟังความดูก่อนว่าจะจริงเท็จอย่างไร
ภายหลังที่วัสสการพราหมณ์ได้เข้าเฝ้ากษัตริย์ลิจฉวีและกราบทูลข้อความต่าง ๆ
ด้วยความฉลาดลึกซึ้ง ประกอบกับมีรอยถูกโบยฟกช้ำให้เห็น
กษัตริย์ลิจฉวีทุกพระองค์ต่างก็ทรงหมดความฉงนสนเท่ห์ว่าจะเป็นกลอุบาย
จึงทรงตั้งให้เป็นครูสอนศิลปวิทยาแก่บรรดาราชกุมารและกระทำราชการในตำแหน่งอำมาตย์ผู้พิจารณาพิพากษาอรรถคดีอีกตำแหน่งหนึ่งด้วย
วัสสการพราหมณ์ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเต็มใจและเอาใจใส่
จนเป็นที่ไว้ใจในหมู่กษัตริย์ ลิจฉวี
เมื่อวัสสการพราหมณ์คาดคะเนว่าพวกกษัตริย์ลิจฉวีวางใจตนจนหมดความสงสัย
วัสสการพราหมณ์จึงได้ดำเนินอุบายเพื่อทำลายความพร้อมเพรียงเป็นอันเดียวกันของกษัตริย์
ลิจฉวี โดยการแต่งอุบายลับชวนให้ฉงนสนเท่ห์ต่าง ๆ ขึ้น
เป็นเครื่องยั่วยุราชกุมารทั้งหลายผู้ เป็นศิษย์ให้แตกร้าวกัน
และวัสสการพราหมณ์คอยส่งเสริมเหตุแห่งการทะเลาะวิวาทให้บังเกิดขึ้น
ในหมู่ราชกุมารอยู่เนืองนิตย์
จนกระทั่งที่สุดราชกุมารทุกพระองค์ก็แตกความสามัคคีกันเป็นเหตุให้วิวาทกันขึ้น
ครั้นแล้วต่างองค์ก็นำความนั้นขึ้นกราบทูลชนกของตนตามเรื่องที่เป็นมา
เมื่อเป็นเช่นนั้นความแตกร้าวก็ลามไปถึงบรรดาชนกผู้ซึ่งเชื่อถ้อยคำโอรสของตนโดยปราศจากการไตร่ตรอง
จนกระทั่งเวลาล่วงไปสามปี สามัคคีธรรมในระหว่างพวกกษัตริย์ลิจฉวีก็ถูกทำลายสิ้น
วัสสการพราหมณ์เห็นว่ากษัตริย์ลิจฉวีทุกองค์แตกสามัคคีกันแล้ว
ก็ให้คนลอบนำความไปกราบทูล พระเจ้าอชาตศัตรู
พระเจ้าอชาตศัตรูก็กรีธาทัพสู่เมืองเวสาลี
พวกชาวเมืองเวสาลีตกใจกลัวภัยอันเกิดแต่ ข้าศึก
มุขมนตรีจึงได้ตีกลองสำคัญขึ้นเป็นอาณัติสัญญาณให้ยกทัพมาต่อสู้
แต่เหล่ากษัตริย์ลิจฉวี ก็หาไปเข้าร่วมประชุมไม่ ต่างองค์ทรงเพิกเฉยเสีย
แม้แต่ประตูเมืองทุกทิศก็ไม่มีใครสั่งให้ ปิด
พระเจ้าอชาตศัตรูจึงได้แคว้นวัชชีโดยง่าย ไม่ต้องเปลืองแรงรี้พลเพราะการรบเลย
เมื่อจัดการ
บ้านเมืองราบคาบแล้วพระเจ้าอชาตศัตรูก็ยกกองทัพเสด็จกลับกรุงราชคฤห์ดังเดิม