วรรณกรรม สุภาษิต ข้อคิด คำคม สำนวน โวหาร งานเขียน >>
นิราศเมืองสุพรรณของสุนทรภู่และเสมียนมี
บันทึกการเดินทางและการอ่านเพื่อเข้าถึงเรื่องเล่าท้องถิ่น
วารุณี โอสถารมย์
นิราศสุพรรณ บันทึกความยากลำบากของการเดินทาง
ที่จริงแล้วมีหลักฐานร่วมสมัยก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 19 ที่เป็นบันทึกนักเดินทางทั้งชาวพื้นเมืองและต่างชาติ พรรณนาถึงความยากลำบากและปัญหาอุปสรรคในการเดินทาง การศึกษาของ Anthony Reid ชี้ว่าช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15 แม้ว่ามีการเดินทางอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ดินแดนตอนในเต็มไปด้วยความยากลำบาก ทั้งทางบกและทางน้ำ ทางบกส่วนใหญ่เป็นทุ่งหญ้าคาและป่ารกชัฏ ที่มีเสือและสัตว์ป่าอันตราย การเดินทางบกหน้าแล้งทำได้ดีกว่าหน้าฝน ซึ่งอาจมีน้ำหลากท่วมทาง เส้นทางน้ำแม้จะดีกว่าทางบก แต่ในฤดูแล้งหรือช่วงน้ำลด ระดับน้ำอาจตื้นเขินจนเรือเดินไม่ได้บางช่วง ที่สำคัญคือ สัตว์อันตรายในน้ำอย่างจระเข้มีชุกชุม นอกเหนือจากปัญหาโจรผู้ร้าย หลักฐานในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 19 เอง ยังระบุตรงกันว่าปัญหาใหญ่นั้น เป็นเรื่องความไม่มีเสรีภาพในการเดินทาง รัฐควบคุมการเดินทาง การเคลื่อนไหวประชากร และการเข้าออกของผู้คน ด้วยการวางกฎระเบียบเข้มงวดสำหรับการตั้งด่านตอนในเป็นระยะ เพื่อเก็บภาษีและป้องกันโจรผู้ร้าย (Reid 1993 : 53-61 และ Thongchai Winichakul : 42-43) รัฐยังกวดขันให้ผู้นำท้องถิ่นในเขตเมืองหน้าด่านปฏิบัติหน้าที่ในการตรวจตราด่านและผู้คนจากต่างถิ่นเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ (วารุณี โอสถารมย์ 2547: 155-156) วิธีการเช่นนี้ในด้านหนึ่งเป็นการสร้างความปลอดภัยบนเส้นทางการเดินทางได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรัฐมีความเข้มแข็งทางการเมือง ย่อมมีศักยภาพในการดูแลรักษาทางบก ทางน้ำ รักษาสะพานให้มีเพียงพอแก่การข้ามแม่น้ำลำคลอง หรือ กำจัดสัตว์อันตราย รวมถึงการควบคุมปัญหาโจรผู้ร้ายได้ระดับหนึ่ง แต่ Reid ก็เล่าว่าปกติแล้วรัฐมักให้ความสนใจ ดูแลรักษาเส้นทางยุทธศาสตร์เท่าที่กองทัพจำเป็นต้องใช้ เพราะมีความสำคัญต่อความมั่นคงของราชอาณาจักร (Reid 1993: 53-54)
จากการศึกษาในเรื่องสงครามไทยรบพม่า
สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงบรรยายถึงเส้นทางเดินทัพ
ที่ใช้กันอย่างสม่ำเสมอตลอดยุคอยุธยาจนถึงต้นรัตนโกสินทร์
ทั้งทางด้านตะวันตกตอนเหนือ ใต้และตะวันออกเฉียงเหนือ
เส้นทางเหล่านี้ก็ใช้ในการเดินทางของกองทัพ แม้ว่าจะยังไม่มีความปลอดภัย
(ดำรงราชานุภาพ , สมเด็จฯกรมพระยา 2514: 13-20)
ความทุรกันดารและขาดสิ่งอำนวยความสะดวกตลอดเส้นทาง
ข้อห้ามในการย้ายถิ่นโดยไม่ได้รับอนุญาตจากทางการ
รวมถึงการต้องเสียภาษีผ่านด่านที่หมายถึงภาระค่าใช้จ่ายของนักเดินทางที่เสียให้กับรัฐและเจ้าหน้าที่ด่าน
จึงไม่ใช่เรื่องง่าย หรือให้ความสนุกสนาน หรือเป็นสถานการณ์ที่น่าพึงปรารถนา
การเดินทางไม่ใช่กิจกรรมที่ให้ความเพลิดเพลิน หรือน่าสนใจตลอดช่วงต้นรัตนโกสินทร์
บุคคลที่สามารถเดินทางได้ภายใต้ข้อจำกัดข้างต้น ได้แก่ เจ้าหน้าที่รัฐ พระ นักแสดง
ส่วนผู้คนจากนอกราชอาณาจักรก็คือ พ่อค้า นักการทูตและนักบวช (ดู Reid 1993 : 57,
202-203 และ Terweil 1989 : 14-33)
นักเดินทางเหล่านี้มีเป้าหมายในการเดินทางเหมือนกันทั้งหมด คือ
การทำงานหรือปฏิบัติภารกิจที่รับมอบหมาย นั่นคือ
เจ้าหน้าที่รัฐจากราชธานีที่เดินทางมาหัวเมืองก็เพื่อทำภารกิจเกณฑ์แรง สักไพร่
เก็บภาษีอากร ส่วนเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเดินทางมาราชธานีส่งส่วย
แต่ภารกิจสำคัญที่ทั้งเจ้าหน้าที่และราษฎรที่เป็นไพร่ต้องทำร่วมกันคือ
การไปทัพเพื่อทำสงคราม หรือติดตามขบวนเสด็จเมื่อพระมหากษัตริย์ไปวังช้าง ล่าสัตว์
ทอดกฐินและการศาสนาอื่นๆ
พ่อค้าต่างชาติเป็นกลุ่มคนสำคัญจากภายนอกที่นำสินค้าเข้ามาแลกเปลี่ยนกับราชธานี
หรือแว่นแคว้นตอนใน
ทูตก็เป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่ต้องเดินทางเพื่อปฏิบัติภารกิจด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ไม่เว้นแม้แต่พระ
ผู้ที่ธงชัยเห็นว่าอาจเป็นนักเดินทางกลุ่มเดียวที่มีอิสระ
ไม่ต้องอยู่ในการควบคุมจากรัฐก็ยังกำหนดเป้าหมายการเดินทางที่เรียกว่า ธุดงค์นั้น
เพื่อปฏิบัติศาสนกิจ และปฏิบัติธรรมที่เป็นการแสวงหาความรู้จากภายใน
ด้วยการนั่งสมาธิเจริญภาวนา
เป็นการเดินทางสู่ปลายทางที่เป็นการแสวงหาความวิเวกจากป่าและธรรมชาติ
นอกจากนี้ป่าในการรับรู้ของสมณสงฆ์กลุ่มอรัญวาสี ยังไม่ใช่เป็นทัศนียภาพความสวยงาม
หากเป็นธรรมชาติที่ยากลำบาก ป่าเถื่อน เต็มไปด้วยอันตราย
ที่พวกเขาต้องเอาชนะด้วยอำนาจบุญในการบำเพ็ญศีลและภาวนา สภาวะอันพึงปรารถนา ก็คือ
สภาพอันยากลำบากนี้ต่างหาก ที่จะทำให้พวกเขาเกิดความรู้แจ้งต่อจิตใจได้ (Thongchai
Winichakul 1993: 42)
สำหรับเมืองสุพรรณเป้าหมายการเดินทางของนิราศสองเรื่องต่อไปนี้
เราพบหลักฐานว่ามีการเดินทางจากผู้คนภายนอกเข้ามาหรือผ่านเมืองนี้
ก่อนหน้าการเดินทางของกวีทั้งสองมักเป็นหลักฐานการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐส่วนกลางที่เข้ามาใช้ประโยชน์จากด้านประชากร
ไม่ว่าจะเป็นเกณฑ์แรงและเก็บภาษี โดยเฉพาะอากรค่านาและค่าน้ำ
รวมถึงผลผลิตพืชไร่อื่นๆ และที่สำคัญคือ
การทำสงครามที่กองทัพกรุงจำเป็นต้องรู้จักเส้นทางเดินทัพอย่างดีทั้งทางบกและทางน้ำ
รวมถึงภูมิสถานและชุมชนสำคัญของเมืองสุพรรณและหัวเมืองแถบนี้ไปจนสุดปลายเขตราชอาณาจักรด้านตะวันตก
เราพบแผนที่ในสมัยรัชกาลที่ 2 (พ.ศ.2352-2367) 2 ชุด เป็นแผนที่ยุทธศาสตร์
ครอบคลุมเมืองกาญจนบุรี สุพรรณบุรี ตาก ไปจนถึงหัวเมืองทวาย เมาะตะมะ และกระบุรี
แสดงเส้นทางบกและน้ำ ซึ่งเป็นแม่น้ำและคลอง ภูเขา เทือกเขา สถานที่สำคัญ หมู่บ้าน
ชุมชน เมือง ด่าน ป้อมค่าย วัด
ซึ่งผู้จัดทำใช้มาตราส่วนวัดระยะทางแบบโบราณและกำหนดเวลาการเดินทางด้วย
แผนที่นี้ยังบอกเส้นทางในแถบนี้ ซึ่งน่าจะเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่นักเดินทาง
(Santanee Phasuk and Philip Stott. 2004 : 22-32) จากการศึกษาของ Terweil พบว่า
บาทหลวงปาเลกัวซ์ สังฆนายกที่พำนักในกรุงเทพฯ และสลาฟเตอร์ Slafter
เจ้าหน้าที่การทูตชาวอังกฤษและครอบครัวก็เคยเดินทางผ่านและแวะเมืองสุพรรณด้วยเช่นกัน
Terweil อ้างบันทึกของบาทหลวงปาเลกัวซ์
เล่าถึงปัญหาการเดินทางในเรื่องเส้นทางน้ำตอนเหนือของเมืองสุพรรณ
ว่าเป็นอุปสรรคในการเดินทางต่อ เพราะทางน้ำลดตื้นเขินจนเรือเดินไม่ได้
ท้องเรือติดท้องน้ำที่เป็นทราย
พื้นที่ที่ว่านี้อาจเป็นพื้นที่แถบท่าโขลงใกล้ด่านตอนในที่สุนทรภู่เองก็บรรยายไว้
และจุดนี้เป็นทางช้างเดินข้ามแม่น้ำได้ และในปี 2382
การเดินทางของสลาฟเตอร์และครอบครัว โดยเส้นทางน้ำ ก็ต้องพบกับซุง
พงหนามและต้นไม้ที่ล้มขวางทางน้ำ ทำให้การแล่นเรือเป็นอุปสรรคล่าช้า
ที่สำคัญภูมิอากาศที่เป็นป่าทึบทั้งสองข้างทางน้ำ ยังเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
เส้นทางแถบนั้นยังไม่มีการตั้งบ้านเรือน ผู้คน
แม้ว่าเส้นทางนี้เปิดออกสู่เมืองอ่างทองและอยุธยา
ด้วยคลองลัดตัดออกสู่แม่น้ำเจ้าพระยาได้ก็ตาม (Terweil 1989 : 87-90)
เหตุผลผลักดันเพียงประการเดียว
ที่ทำให้กวีผู้เขียนนิราศสุพรรณทั้งสองคน
ต้องเดินทางมาเมืองนี้ด้วยความยากลำบากและใช้ชีวิตอย่างไม่สุขสบาย
เพราะเป้าหมายการเดินทางครั้งนี้ คือ
มาทำงานอันเป็นภารกิจสำคัญที่มีผลต่อการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของเขาและครอบครัวให้ดีขึ้น
การเดินทางมาสุพรรณจึงเป็นความหวังของกลุ่มกระฎุมพีในการเลื่อนฐานะทางเศรษฐกิจนั่นเอง
สุนทรภู่ เดินทางมาสุพรรณในปี 2379 เขาได้บวชเป็นพระภิกษุตั้งแต่ปี
2367 เมื่อรัชกาลที่ 3 ขึ้นครองราชย์ เชื่อกันว่าการบวชครั้งนี้เป็นการลี้ราชภัย
ในปีที่เดินทางมาสุพรรณเขาจำพรรษาที่วัดเทพธิดาราม
การอยู่ในสมณเพศทำให้สามารถเดินทางไปยังหัวเมืองต่างๆได้
ครั้งนั้นเขามีผู้ร่วมเดินทางเป็นสมาชิกครอบครัวคือ บุตรชายสองคน หนูพัดและหนูตาบ
และบุตรบุญธรรมอีกสองคนคือ กลั่นและชุบ การเดินทางเรือเป็นไปอย่างไม่เร่งร้อน
แม้ว่าเป้าหมายปลายทางเป็นภารกิจการทำงาน ที่หากสำเร็จลงได้
ก็จะนำความมั่งคั่งมาสู่ตัวเองและครอบครัว นั่นคือ การเดินทางไปค้นหาเหล็กไหลหรือ
พระปรอท
ในป่าลึกเมืองสุพรรณที่เชื่อว่าเป็นสารศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถเล่นแร่แปรธาตุหุงกับเกลือแล้วจะได้เป็นทอง
การเดินทางครั้งนี้เหมือนกับการผจญภัยแสวงหา
ที่คณะเดินทางอาจไม่ต้องลงทุนทรัพย์มากนัก การอยู่ในสมณเพศขณะเดินทาง
ย่อมได้รับความเกื้อหนุนจากผู้คนและวัดต่างๆ
ตลอดเส้นทางผ่านตามคติความเชื่อเรื่องการทำบุญ
เราตรวจสอบเวลาที่บันทึกไว้ในนิราศสุพรรณฉบับสุนทรภู่ พบว่าคณะเดินทางใช้เวลาถึง 4
วัน กว่าจะถึงตัวเมือง ซึ่งอาจเป็นเพราะมีการพักแรมระหว่างทาง
และใช้แรงงานคนในการพายเรือต่างจากการเดินทางของเสมียนที่ใช้ใบเรือช่วยผ่อนแรงและยังทำให้แล่นได้เร็วกว่า
อย่างไรก็ตามแม้ว่าการเขียนนิราศฉบับนี้ เกิดขึ้นหลังการเดินทาง ปี 2379
แต่เชื่อว่าคงไม่นานนัก (สุนทรภู่ 2509 : 6-9) การเดินทางอันแสนจะตื่นเต้นน่ากลัว
และภารกิจที่เสี่ยงอันตรายได้รอดพ้นไปได้
แม้ว่าความหวังจากการเดินทางนั้นล้มเหลวเพราะไม่พบ ปรอท หรือเหล็กไหล
ความตอนท้ายของนิราศเองก็บอกถึงการเดินทางครั้งนี้ ว่าเป็นการเที่ยว
แต่ก็สร้างความทุกข์และความเดือดร้อนอย่างหนัก
เที่ยวสนุกทุกข์สนัดแท้ แต่เรา
เร่ร่อนนอนป่าเขา เค่าไม้
หลงเลี้ยวเที่ยวเดินเดา
ดึกดื่น สะอื้นเอย
หาพระปรอทได้ เดือดร้อนอ่อนหู
(สุนทรภู่ 2509 : 101)
การเขียนนิราศย้อนความทรงจำนี้สุนทรภู่บอกวัตถุประสงค์ไว้ว่าเพื่อให้เป็นแผนที่เส้นทางเที่ยวเล่น
สู่เขตทุ่งเมืองสุพรรณ และชายเขตแดนนอกจากราชธานีอันเป็นเขตไร่นาป่าเขา ถ้ำ ลำธาร
อันเป็นแดนช้างป่าและที่อยู่ชาวละว้า
และต้องการให้ลูกหลานเรียนรู้ว่าไม่มียาอายุวัฒนะและแร่ปรอท
มีแต่เรื่องเสียเวลาและความเดือดร้อน
ตัวบทนิราศซึ่งเขียนเพื่อขายแก่ผู้เสพย์ที่ฟังการอ่าน
บอกแบบแบ่งรับแบ่งสู้ที่มองว่าการเดินทางครั้งนี้
ก้ำกึ่งระหว่างการเที่ยวเล่นกับความยากลำบาก ตลอดทั้งการเดินทางและการปฏิบัติภารกิจ
สุนทรภู่บรรยายระดับความยากลำบากแต่เพียงการเผชิญภัยกับสัตว์อันตรายในน้ำและบนบกอันได้แก่
จระเข้ เสือ และช้างป่า รวมถึงยุงที่สร้างความรำคาญ ทั้งที่ในความเป็นจริงยุง คือ
บ่อเกิดของโรคภัยไข้เจ็บ
หากแต่พวกเขาก็หลีกหนีได้และยังให้ภาพการผจญภัยอันน่าตื่นเต้น
แม้จะน่ากลัวยิ่งแต่ก็เจือด้วยบรรยากาศการเล่าเรื่องที่ผู้รับข่าวสารกลับรู้สึกสนุกอยู่ด้วย
หรือในระหว่างการเดินทาง คณะของเขาก็ให้ภาพ การเล่น ไปด้วย
แม้ว่าจะเป็นการเล่นที่สะท้อนอารมณ์ความรู้สึกโหยหาบ้านเกิดในกรุงก็ตาม
อีก 6 ปี หลังจากนั้น พ.ศ. 2385 เมื่อเขาเขียนเรื่อง รำพันพิลาป
มองย้อนอดีตกลับไปอีกครั้ง คราวนี้ความทรงจำที่หลงเหลืออยู่
กลับเป็นเรื่องเล่าถึงความยากลำบากแสนสาหัสในการเดินทางไปสุพรรณ
ซึ่งมิใช่แต่เรื่องการเผชิญกับสัตว์อันตราย หากแต่เป็นความอดหยากอาหาร
ต้องกินเผือกมันจนหมดแรง แม้แต่พริกกับเกลือกลักใหญ่ก็ไม่พอ
ขณะนั้นเขาต้องพักจำพรรษาที่สองพี่น้อง
ยังถูกขโมยผ้าจีวรและบาตรซึ่งเป็นเครื่องอัฐบริขาร
จนในที่สุดมีชาวบ้านใจบุญทอผ้าถวายให้ใหม่
ทั้งผ้าพาดบาตรเหล็กของเล็กน้อย
ขโมยถอยไปทั้งเรือไม่เหลือหลง
เหลือแต่ผ้าอาศัยเสียใจคอ
ชาวบ้านทอถวายแทนแสนศรัทธา
(สุนทรภู่ 2510 : 5)
นอกจากนี้คณะเดินทางยังไม่มีมุ้ง
ต้องนอนให้ยุงริ้นกัดทั้งเช้าค่ำได้รับความลำบาก
การกันยุงด้วยการสุมแกลบก็ทำไม่ได้ผลเพราะยุงชุม ทำให้ต้องนั่งปัดยุง
สุนทรภู่กล่าวโทษการเดินทางไปสุพรรณครั้งนั้นว่าเพราะถูกหลอกจากตาเถร เขากาเผ่น
ทำให้ต้องทนลำบากเพื่อแสวงหาเหล็กไหล
ที่จะนำไปถลุงความร้อนกับเกลือหุงบนเตาตามตำราที่ได้รับคำบอกเล่ามา
และยังเกือบเอาชีวิตไม่รอดจากการถูกควายขวิดตาย
การเดินทางไปสุพรรณจึงไม่ใช่ความทรงจำที่สนุกสนาน
หากเป็นบทเรียนการเดินทางที่ให้ความทุกข์และความหลงผิด (สุนทรภู่ 2509 : 4-6)
สำหรับเสมียนมีเขาเดินทางไปเมืองสุพรรณ พ.ศ.2387 หลังสุนทรภู่ถึง 8 ปี
เป้าหมายการเดินทาง ระบุชัดเจนในนิราศว่าเป็นการไปทำงานตามหน้าที่ราชการ
ด้วยตำแหน่งหมื่นพรหมสมพัตสรนายอากรสวนและตลาด
นั่นคือไปเก็บภาษีอากรทั้งสองประเภทที่เมืองนี้
ตามที่เขาประมูลได้สัมปทานซึ่งเป็นวาระปีต่อปี เขาจึงต้องรีบเดินทาง
เพื่อให้สามารถเก็บภาษีครบถ้วนมากที่สุดตามเวลากำหนด 1 ปี
มิฉะนั้นเขาอาจต้องประสบปัญหาเก็บอากรค้างปี
ทำให้ต้องเผชิญกับความยุ่งยากจากภาวะเก็บภาษีซ้ำซ้อนจนเรียกเก็บไม่ได้และขาดทุนในที่สุด
การเดินทางมาสุพรรณทำงานครั้งนี้ จึงเป็นการลงทุนทำธุรกิจในระบบราชการ
ตามที่เขาระบุในนิราศว่า
ได้ทุนทรัพย์สนับสนุนจากพระเจ้าน้องยาเธอพระองค์หนึ่งในรัชกาลที่ 3
การเขียนนิราศจึงมีวัตถุประสงค์ที่ต้องการแต่งถวายเจ้านายพระองค์นี้ด้วย ทำให้การดำเนินเรื่องในนิราศสุพรรณต่างจากนิราศเรื่องอื่นที่เขาเขียน เสมียนมีบอกชัดเจนว่าการพรรณนาการเดินทางครั้งนี้ เขาจะไม่เขียนแนวคร่ำครวญหรือประเภท นิราศร้างห่างนุช แต่จะให้เนื้อหาเป็นหลัก นิราศสุพรรณฉบับเสมียนมี จึงมีแนวเรื่องที่พูดถึงชุมชนบนเส้นทางเท่าที่จำเป็น มีรายละเอียดข้อมูลที่เป็นสาระเกี่ยวข้องกับการทำงานเท่านั้น รายละเอียดจำนวนชุมชนน้อยกว่าสุนทรภู่ หากแต่มุ่งเน้นการเล่าเรื่องการทำงานและปัญหาที่เกิดขึ้น ทำให้นิราศสุพรรณฉบับเสมียนมี มีลักษณะคล้ายกับจดหมายเหตุปฏิบัติราชการมากกว่า (หมื่นพรหมสมพัตสร(มี) 2544 : 1, 76)
ด้วยเหตุนี้การเดินทางของเสมียนมีตามที่บันทึกไว้
จึงเป็นภาระหน้าที่อันตึงเครียด
ด้วยความกังวลที่จะต้องจัดเก็บอากรให้บรรลุตามเป้าหมาย เพื่อป้องกันการขาดทุน
อย่างไรก็ตามเพื่อรักษารูปแบบการประพันธ์นิราศตามจารีตนิยม
เสมียนมีจึงยังคงใช้โวหารเปรียบเปรยสถานที่ที่มองเห็นกับการพรากจากสถานที่อยู่ในกรุงและคนรัก
ก่อให้เกิดภาวะความทุกข์และเศร้า โดยมีน้ำเสียงที่ดูจริงจัง
เป็นต้นว่าเมื่อผ่านหมู่บ้านบางยี่สุขในเขตเมืองสุพรรณ เขาก็เล่นคำว่า สุข
ชื่อหมู่บ้านโดยอุปมาความหมายตรงข้าม
สื่ออารมณ์ความรู้สึกตัวเองว่าเป็นทุกข์และอยู่ในภาวะหน้าชื่นอกตรม เหตุผลก็คือ
เพราะจากบ้านแรมร้างมาต่างเมือง (หมื่นพรหมสมพัตสร(มี) 2544: 48)
ทั้งที่รู้สึกทุกข์เขาก็ยังมีความหวังในการทำงานครั้งนี้
เพื่อสร้างฐานะให้ครอบครัว อย่างที่เขาเล่นคำและความหมาย เมื่อผ่านวัดกุฎีทอง
โดยหยิบเอาคำว่า ทอง
ขึ้นมาสร้างความหมายเชื่อมโยงกับพันธะสัญญากับหญิงคนรักที่ดูว่าน่าจะเป็นเรื่องจริง
คือ หลังจากทำงานครั้งนี้เขาจะเปลี่ยนแหวนทองให้แก่เธอ
เป็นแหวนทองนพเก้าทั้งสองมือ
หรือถ้าการเก็บอากรมีผลกำไรไม่มากเขาก็จะเพียงแค่ทำแหวนทองคำให้ 2 วง
นี่คงเป็นพันธะสัญญา
ที่หมายรวมถึงการแต่งงานด้วยดังความที่เขาเขียนไว้ในตอนท้ายของนิราศหากการทำงานครั้งนี้ประสบความสำเร็จ
(หมื่นพรหมสมพัตสร(มี) 2544: 49)
อย่างไรก็ตามการเดินทางในฐานะข้าราชการผู้ปฏิบัติหน้าที่
อาจทำให้เสมียนมีประสบความยากลำบากน้อยกว่าสุนทรภู่ในระหว่างการเดินทาง
เขามีบริวารผู้ติดตามเป็นจีนแจวเรือ
ฐานะข้าราชการยังช่วยคุ้มครองและทำให้ได้รับความสะดวกไม่ต้องถูกตรวจค้นจากด่านต่างๆ
ด้วยการเดินทางที่รีบเร่ง
เขายังมีทุนทรัพย์ใช้เรือใบที่ช่วยผ่อนแรงในการเดินทาง
และจ้างแรงงานจีนแจวเรือถึง 2 คน จึงไม่น่าแปลกใจที่เสมียนมีใช้เวลาเพียง 1
วันและ 1 คืน
เต็มในการเดินทางถึงเมืองสุพรรณเพื่อที่จะทำงานหนักในการเก็บอากรในเมืองนั้นนานหลายเดือน
(หมื่นพรหมสมพัตสร(มี) 2544: 27-28, 35)
นิราศสุพรรณ บันทึกความยากลำบากของการเดินทาง
โครงเรื่องนิราศสุพรรณ
กรุง
เส้นทางสู่เมืองสุพรรณ
เมืองสุพรรณ
ป่า
เรื่องเล่าท้องถิ่น
การผลิตและภาวะความเป็นอยู่
ด่านและศาลอารักษ์
ตำนานท้องถิ่นสุพรรณ
วัฒนธรรมชาวกรุงพบวัฒนธรรมชาวบ้าน
กลุ่มชาติพันธุ์
ไหว้พระและศรัทธาพุทธ
ไม้ ปลา นก แร่ : ธรรมชาติวิทยาในนิราศสุพรรณ
คำอธิบายเพิ่มเติม
บรรณานุกรม