ศิลปะ หัตถกรรม สถาปัตยกรรม ประติมากรรม สันทนาการ >>
ทฤษฎีสี
สีวัตถุธาตุ
นักปราชณ์ทางศิลปะได้จัดหมวดหมู่ของสีไว้อย่างเป็นระเบียบและได้ค้นพบว่าในบรรดาสีทั้งหลายที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติมีบ่อเกิดมาจากการผสมสีเพียง 3 สี จึงเรียกว่า แม่สี หรือ สีขั้นที่ 1 ที่เรียกว่าแม่สีนั้นหมายถึง สีที่ได้จากธรรมชาติเป็นสีที่นำมาผสมกันในจานสีได้ และจากการผสมของแม่สี และสีขั้นที่ 1 นี้ จะได้เป็นสีขั้นที่ 2 จำนวน 3 สี และจากการผสมสีของสีขั้นที่ 1 กับสีขั้นที่ 2 จะได้สีขั้นที่ 3 อีก 6 สี รวมทั้งหมด 12 สี
สีขั้นที่ 1
ได้แก่ แม่สีวัตถุธาตุ มี สีเหลือง สีแดง สีน้ำเงิน หากนำสีวัตถุธาตุทั้ง 3 สี ในปริมาณที่เท่ากันมาผสมเข้าด้วยกันก็จะเกิดเป็น สีกลาง ซึ่งแยกไม่ออกว่าเป็นสีอะไร
สีขั้นที่ 2
เป็นการนำสีขั้นที่ 1หรือแม่สีมาผสมกันที่ละคู่ในปริมาณที่เท่ากัน จนครบทุกสีจะได้สีเกิดใหม่อีก 3 สีคือ
สีเหลือง ผสมกับ สีแดง จะได้ สีส้ม
สีแดง ผสมกับ สีน้ำเงิน จะได้ สีม่วง
สีน้ำเงิน ผสมกับ สีเหลือง จะได้ สีเขียว
สีขั้นที่ 3
เป็นการนำเอาสีขั้นที่ 1 หรือแม่สีมาผสมกันในปริมาณที่ไม่เท่ากันประมาณ70:30 จะได้สีที่เกิดขึ้นใหม่ 6 สี คือ
- สีเหลือง 70% ผสมกับ สีน้ำเงิน 30% จะได้ สีเขียวเหลือง
- สีเหลือง 70% ผสมกับ สีแดง 30% จะได้ สีส้มเหลือง
- สีแดง 70% ผสมกับ สีเหลือง 30% จะได้ สีส้มแดง
- สีแดง 70% ผสมกับ สีน้ำเงิน 30% จะได้ สีม่วงแดง
- สีน้ำเงิน 70% ผสมกับ สีแดง 30% จะได้ สีม่วงน้ำเงิน
- สีน้ำเงิน 70% ผสมกับ สีเหลือง 30% จะได้ สีเขียวน้ำเงิน
จากการผสมของแม่สีวัตถุธาตุ สีขั้นที่ 1 สีขั้นที่ 2 และสีขั้นที่ 3 ทำให้เกิดสีทั้งหมด 12 สี นักปราชญ์ทางทฤษฎีสี ได้นำสีเหล่านี้ มาจัดเรียงลำดับสีอ่อน-แก่ให้สอดคล้องกับลักษณะของสีตามธรรมชาติ ในรูปแบบของวงกลม เรียกว่า วงจรสีธรรมชาติ (colour wheel) ถ้าเรียงลำดับน้ำหนักสีจากสีอ่อนไปก็จะได้ดังนี้
เหลือง เขียวเหลือง เขียว เขียวน้ำเงิน น้ำเงิน ม่วงน้ำเงิน ม่วง ม่วงแดง แดง ส้มแดง ส้ม ส้มเหลือง
และจากวงจรสีธรรมชาตินี้ เราสามารถแบ่งสีออกเป็น 2 วรรณะคือ
1. วรรณะร้อน( warm tone) ประกอบด้วยสีเหลือง ส้มเหลือง ส้ม ส้มแดง แดง ม่วงแดง ม่วง
2. วรรณะเย็น(cool tone) ประกอบด้วยสีเหลือง เขียวเหลือง เขียว เขียวน้ำเงิน น้ำเงิน ม่วงน้ำเงิน ม่วง
เราจะสังเกตได้ว่าสีเหลืองและสีม่วงจะอยู่ทั้งสองวรรณะเพราะสีทั้งสองสามารถให้ความรู้สึกในการมองเห็นได้ทั้งร้อนและเย็นจึงสามรถจัดอยู่ได้ทั้งสองวรรณะ
กลุ่มสีร้อนสีเย็นที่ไม่อยู่ในวงสี
สีร้อนสีเย็นอาจไม่ใช่สีสดๆที่อยู่ในวงสีก็ได้เพราะสีในธรรมชาติจริงๆแล้วย่อมมีสีที่อ่อนแก่แตกต่างจากวงสีอีกมากถ้าหากสีใดค่อนไปทางสีแดงหรือมีส่วนผสมของสีต่างๆในวรรณะร้อนเป็นส่วนใหญ่ก็จัดเป็นสีร้อนเช่นสีน้ำตาล สีเทาอมแดง สีชมพู ทำนองเดียวกันถ้าหากสีใดค่อนไปทางสีน้ำเงิน สีเขียว หรือสีที่มีส่วนผสมของสีต่างๆในวงสีที่เป็นสีเย็นเป็นส่วนใหญ่ ก็จัดให้สีเหล่านั้นเป็นสีเย็นเช่นสีเทาอมเขียว สีเทาอมน้ำเงิน สีเขียวเข้ม สีฟ้า เป็นต้น
ส่วนสีขาวบริสุทธิ์และสีดำบริสุทธิ์ที่ไม่มีสีร้อนสีเย็นผสมอยู่เลยไม่จัดอยู่ในกลุ่มของวรรณะร้อนและวรรณะเย็น
หลักการใช้สีวรรณะร้อนและวรรณะเย็น
การใช้สีวรรณะร้อนและสีวรรณะเย็น เพียงอย่างเดียวย่อมทำได้หากความจำเป็น แต่อาจทำให้เกิดความรู้สึกเบื่อได้ ศิลปินและนักออกแบบมักใช้ทั้งสีวรรณะร้อนและสีวรรณะเย็นในสัดส่วนที่เหมาะสม ละไม่ใช้สีวรรณะร้อนและวรรณะเย็นอย่างละเท่าๆกันเพราะจะทำให้ดูตัดกันอย่างรุนแรง
หากเราใช้สีส่วนรวมหรือสีหลักเป็นสีเย็นควรใช้สีร้อนเป็นสีรองเพียงบางส่วน ในทางกลับกันหากใช้สีหลักเป็นสีร้อนก็ควรใช้สีเย็นเป็นสีรอง โดยทั่วไปจะนิยมใช้ในอัตราส่วนสีหลักต่อสีรองประมาณ 75% ต่อ 25% เพราะในธรรมชาติย่อมมีทั้งสีร้อนและสีเย็นประกอบกัน ในธรรมชาติรอบตัวจะพบสีสันมากมายทั้งสีร้อนและสีเย็น ศิลปินได้ถ่ายทอดความงามในสีสันของธรรมชาติลงบนงานจิตรกรรมซึ่งสามารถกำหนดสอดแทรกความงามวิจิตรลงไปในผลงานมากกว่าภาพถ่ายอารมณ์และความรู้สึกของศิลปินจาถูกถ่ายทอดลงในผลงานทั้งความสดชื่น สงบเย็น หรือร้อนแรง
ค่าสี
ค่าสี(value) หมายถึงความอ่อนแก่ของสีซึ่งสามารถแบ่งเป็นระดับความเข้มมากน้อยต่างกันตามลักษณะของผลงาน เช่น ถ้าค่าของสีมีน้ำหนักต่างกันมากก็จะเหมาะกับผลงานที่ให้ความรู้สึกนุ่มนวล สงบเป็นต้น นอกจากนี้การนำค่าของสีมาใช้กับงานออกแบบยังช่วยสร้างมิติให้เกิดขึ้นในลวดลายได้เป็นอย่างดี ในทางปฏิบัติจะใช้สีดำ ขาว หรือเทาผสมกับสีแท้ (Hue) สีใดสีหนึ่งทำให้เกิดค่าน้ำหนักตามที่ต้องการซึ่งทำให้สีหม่นลงโดยมีชื่อเรียกดังนี้
Tint หมายถึง สีแท้ทั้ง 12 สีที่ผสมด้วยสีขาว ทำให้ผลงานดูนุ่มนวล
อ่อนหวานสบายตา
Tone หมายถึง สีแท้ทั้ง 12 สีที่ผสมด้วยสีเทา
ทำให้ความเข้มของสีลดลงให้ความรู้สึกที่สงบ ราบเรียบ
Shade หมายถึง สีแท้ทั้ง 12 สีที่ผสมด้วยสีดำ ทำให้ความเข้มของสีลดความสดใสลง
ให้ความรู้สึกขรึม ลึกลับ
ความเข้มของสี ( Intensity)
หมายถึงสีแท้หรือสีบริสุทธิ์ที่แสดงถึงความเด่นชัดความสดใสเปล่งประกายออกมาอย่างชัดเจนมากกว่าสีอื่นๆ ที่อยู่ล้อมรอบซึ่งสีบริสุทธิ์ดังกล่าวจะมีความสดใสมากหากสีนั้นอยู่ท่ามกลางสีหม่น นักออกแบบสามารถใช้การเน้นความสดใสของสีด้วยวิธีต่างๆได้หลายวิธีเช่น
1.
ใช้สีที่มีความสดใสที่สุดเป็นศูนย์กลางความสนใจของลวดลายแล้วใช้สีหม่นล้อมรอบลวดลายที่ไม่ใช่จุดเน้น
สีหม่นจะช่วยขับให้สีที่มีความเด่นอยู่แล้วเด่นยิ่งขึ้น
2. ใช้คู่สีที่อยู่ตรงกันข้ามในวงจรสี สีดำ หรือสีเข้ม
ตัดเส้นขอบของลวดลายหรือเส้นขอบระหว่างรอยต่อของสีที่ปรากฏในลวดลายนั้นก็จะให้สีที่ระบายดูสดใสขึ้น
3. หากมีการใช้สีสดใสในพื้นที่ของลวดลายมากหรือหลายสี
ควรมีการตัดเส้นระหว่างรอยต่อของสีด้วยสีเข้ม สีดำ สีทอง
หรืออาจเน้นสีขาวแทนการตัดเส้นก็ได้
4. ใช้กลุ่มที่มีลักษณะแตกต่างกันระหว่างรูปและพื้น เช่น
กลุ่มสีเจิดจ้าร่วมกับกลุ่มสีสงบ เป็นต้น
สีเอกรงค์ ( monochrome )
หมายถึง การใช้สีใดสีหนึ่งเพียงสีเดียวในผลงานแล้วเพิ่มแล้วลดค่าของสีให้เกิดค่าน้ำหนักอ่อน-แก่ตามต้องการ หรืออาจใช้แม่สีเป็นสีหลักในการระบายและมีสีอื่นประกอบอยู่ด้วยไม่เกิน 5 สี เพราะถ้านับจากแม่สีไปถึงสีที่ 7 ในวงสีธรรมชาติก็จะเป็นสีตัดกันทันที ซึ่งสีเอกรงค์จะไม่มีการตัดกันในโครงสีของลวดลายที่ออกแบบการใช้สีเอกรงค์จะให้ลวดลายมีความกลมกลืนงดงาม
สีกลมกลืน (Colors Harmony)
หมายถึง กลุ่มสีที่ปรากฏในผลงานมีสภาพส่วนรวมที่ให้ความรู้สึกไม่บาดตา ดูแล้วมีความกลมกลืนไม่แข็งกระด้างโดยอาจใช้หลักการแบ่งสีกลมกลืนได้ดังนี้
1. การใช้สีข้างเคียงกันในวงจรสี ( Analogous Harmonies )หมายถึงการนำเอาสีที่อยู่ข้างเคียงกันในวงจรสีตั้งแต่ 2-4 สีมาใช้ร่วมกันในผลงานด้วยวิธีการต่างๆดังนี้
การใช้สีติดกันในวงจรสี
หมายถึง การใช้กลุ่มสีที่อยู่ติดกันในวงจรสีตั้งแต่ 2-4 สีมาประกอบในผลงาน ซึ่งถ้าเกินจาก 4 สีจะทำให้ดูไม่กลมกลืนได้ กลุ่มสีที่ใช้เช่น
กลุ่มสีเหลือง เขียวเหลือง เขียว เขียวน้ำเงิน
กลุ่มสีน้ำเงิน ม่วงน้ำเงิน ม่วง ม่วงแดง
กลุ่มสีแดง ส้มแดง ส้ม ส้มเหลือง
การใช้สีในสกุลเดียวกัน
หมายถึง กลุ่มสีที่มีส่วนผสมของแม่สีเป็นหลักและ ให้ความรู้สึกคล้ายๆกันซึ่งแบ่งได้เป็น 3 สกุลดังนี้
- สกุลสีแดง ประกอบด้วยสี 7 สี ได้แก่ ส้มเหลือง ส้ม ส้มแดง แดง ม่วงแดงม่วง
และม่วงน้ำเงิน
- สกุลสีเหลือง ประกอบด้วยสี 7 สี ได้แก่ ส้มแดง ส้ม ส้มเหลือง เหลือง เขียวเหลือง
เขียว และเขียวน้ำเงิน
- สกุลสีน้ำเงิน ประกอบด้วยสี 7 สีได้แก่ เขียวเหลือง เขียว เขียวน้ำเงิน น้ำเงิน
ม่วงน้ำเงิน ม่วง และม่วงแดง
การใช้สีคู่ผสม
หมายถึงการใช้แม่สี 2 สี ร่วมกับสีที่เกิดจากการผสมของแม่สี 2 สีนั้นรวมเป็น 3 สีประกอบในผลงานก็จะได้กลุ่มสีดังต่อไปนี้
- เหลือง แดง ส้ม
- แดง น้ำเงิน ม่วง
- น้ำเงิน เหลือง เขียว
2. การใช้สีคู่ตรงกันข้ามในวงจรสี ( Complementary Harmonies )
หมายถึงการใช้สีคู่ตรงกันข้ามในวงจรสีมาทำให้เกิดความกลมกลืน ซึ่งวิธีการนี้จะยากกว่าการใช้สีข้างเคียงกันในวงจรสีเพราะสีคู่ตรงกันข้ามจะให้ความรู้สึกที่ตัดกันอย่างรุนแรง แต่หากใช้ในบริเวณที่พอเหมาะก็จะทำให้ผลงานดูน่าสนใจและมีความกลมกลืนกันได้เช่นใช้ในอัตราส่วน 30 : 70 หรือ 20 : 80 เป็นต้น
สีคู่ตรงข้ามมีทั้งหมด 6 คู่ดังนี้
1. สีเหลือง ตัดกับ สีม่วง
2. สีแดง ตัดกับ สีเขียว
3. สีน้ำเงิน ตัดกับ สีส้ม
4. สีเขียวน้ำเงิน ตัดกับ สีส้มแดง
5. สีเขียวเหลือง ตัดกับ สีม่วงแดง
6. สีม่วงน้ำเงิน ตัดกับ สีส้มเหลือง
สีส่วนรวม ( Tonality )
หมายถึงสีหนึ่งสีใดที่มีอิทธิพลครอบงำสีอื่นๆ
ที่อยู่ใกล้เคียงกันหรือผลงานเดียวกันให้เกิดความรู้สึกคล้อยตามไปกับสีนั้น เช่น
เราเห็นน้ำทะเลมีสีน้ำเงิน ฟ้า เขียว สีส่วนรวมจึงเป็น
สีน้ำเงิน เป็นต้น
สีส่วนรวมแบ่งได้เป็น 6 กลุ่มดังนี้
1. สีส่วนรวมสีแดง ( Tonality Of Red )
2. สีส่วนรวมสีเหลือง ( Tonality Of Yellow )
3. สีส่วนรวมสีน้ำเงิน ( Tonality Of Blue )
4. สีส่วนรวมสีส้ม ( Tonality Of Orange )
5. สีส่วนรวมสีเขียว (Tonality Of Green )
6. สีส่วนรวมสีม่วง ( Tonality Of Violet )
สีตัดกัน ( Discord )
หมายถึง สีทีอยู่ตรงกันข้ามในวงจรสี หรือเป็นคู่สีที่ไม่มีเนื้อสีผสมอยู่ในกันและกัน จึงมีลักษณะที่ตัดกันหรือขัดแย้งกันอย่างรุนแรง การใช้สีตัดกันจะต้องใช้อย่างระมัดระวังเพื่อให้ผลงานเกิดความเป็นเอกภาพและดูไม่ขัดตาจนเกินไปโดยอาจใช้วิธีการดังต่อไปนี้
1. ใช้สีคู่ตัดกันในบริเวณที่แตกต่างกัน คือ ให้สีใดสีหนึ่งเด่นเพียงสีเดียว
2. ใช้การปรับค่าของสีให้จางหรือหม่นลงด้วยการผสมคู่สีเข้าไปในกันและกัน
หรือใช้สีใดสีหนึ่งผสมเข้าไปในสีคู่ที่ตัดกัน
3. ใช้สีกลาง คือ สีขาว สีเทา หรือสีดำ ผสมกับคู่สีตัดกัน
จะทำให้ลดความสดใสของสีลงได้
4. ใช้ลวดลายสอดแทรกลงในพื้นที่ที่ออกแบบจะช่วยให้จุดเด่นของคู่สีตัดกันลดน้อยลง
ระยะของสี ( Perspective of Colors )
หมายถึง ระยะใกล้-ไกลของสีแต่ละสีที่เปล่งความเข้มแตกต่างกันทำให้เกิดความรู้สึกในเรื่องของมิติตื้น-ลึกไม่เท่ากันซึ่งส่วนใหญ่จะแบ่งได้เป็น 3 ระยะดังนี้
1. ระยะหน้า (Fore Ground ) เป็นระยะที่อยู่ใกล้ตามากที่สุด
2. ระยะกลาง ( Middle Ground )
เป็นระยะที่อยู่กลางๆซึ่งมักจะมีค่าความเข้มของสีไม่อ่อนหรือแก่เกินไป
3. ระยะหลัง ( Back Ground ) เป็นระยะที่อยู่ไกลสุด ซึ่งจะมีค่าของสีอ่อนมากที่สุด
สีวัตถุธาตุ
การใช้สีกับการออกแบบตกแต่ง