วิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา >>
ผลกระทบจากภาวะโลกร้อนที่มีต่อเกษตรไทย
โดย สมาน ครอบกระโทก พนักงานวิจัย 9
ศูนย์วิจัย ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
สถานการณ์ภาวะโลกร้อนมีแนวโน้มรุนแรงต่อเนื่อง
คาดการณ์ปี 2554 จะมีอากาศร้อนมากกว่าปี 2553
เพราะในบางจังหวัดโดยเฉพาะทางภาคเหนือของประเทศไทย มีอุณหภูมิสูงถึง 43
องศาเซลเซียส ถือเป็นอุณหภูมิสูงที่สุดเท่าที่ประเทศไทยเคยเผชิญ
แสดงให้เห็นถึงสถานการณ์ ในอนาคตว่า
สภาพอากาศของประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นอีกอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่ง เพราะการที่อุณหภูมิสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องติดต่อกันเกิน 3
วันขึ้นไปนั้น ตามหลักวิชาการจะทำให้เกิดคลื่นความร้อน
และคนที่ได้รับคลื่นความร้อนนี้จะได้รับอันตรายถึงขั้นเสียชีวิต
โดยเฉพาะผู้สูงอายุและเด็กเล็ก ที่ผ่านมาประเทศไทย พบว่า มีผู้เสียชีวิตหลายราย
หากสภาพอากาศยังมีลักษณะร้อนเช่นนี้ยาวไปถึงปี 2554
จะยิ่งส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของประชาชนเพิ่มมากขึ้น
สำหรับภาวะอุณหภูมิโลกร้อนผิดปกติที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของพลเมืองโลกและการเจริญเติบโตทางด้านอุตสาหกรรม
และมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขึ้นไปในชั้นบรรยากาศมากเกินไป
ส่งผลให้อุณหภูมิที่ห่อหุ้มโลกสูงขึ้น
ดังนั้น
ทุกคนจึงต้องช่วยกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้มากที่สุด
และช่วยกันปลูกต้นไม้ให้มากขึ้นเพื่อเป็นตัวดูดซับก๊าซเรือนกระจก
หากทุกคนยังไม่ตระหนักถึงวิกฤตการณ์ดังกล่าว
จะต้องประสบกับปัญหาภัยแล้งและเผชิญกับคลื่นความร้อนที่รุนแรงมากขึ้น
ส่วนเหตุการณ์แผ่นดินไหวในหลายประเทศที่เกิดขึ้นหลายครั้ง
แม้จะไม่ได้มีสาเหตุมาจากสภาวะโลกร้อนโดยตรง
แต่ก็มีโดยทางอ้อมและมีแนวโน้มที่ประเทศไทยจะต้องเผชิญกับปัญหานี้เช่นกัน
เนื่องจากมีการพยากรณ์ว่าในระยะเวลาอันใกล้จะเกิดการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกในมหาสมุทรอินเดียและทะเลอันดามัน
อาจจะเกิดคลื่นยักษ์'สึนามิ' ในบริเวณภาคใต้ฝั่งอันดามันของไทย ฉะนั้น
การจัดทำระบบเตือนภัยต่างๆ จึงต้องมีการเตรียมพร้อมไว้อย่างดี
และทุกคนต้องมีความตื่นตัวที่จะเตรียมตัวรับมือกับเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้น
นอกจากนี้
เหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในหลายประเทศหากเกิดขึ้นใกล้กับประเทศไทยอาจจะทำให้
'รอยเลื่อน' ที่มีอยู่ในไทยจำนวน 13 แห่ง
โดยเฉพาะในพื้นที่รอยเลื่อนด่านเจดีย์สามองค์ จังหวัดกาญจนบุรี อาจเกิดพิบัติภัยซ้ำ
ผลกระทบจากภาวะโลกร้อนที่มีต่อภาคเกษตรไทย
ศูนย์ประมวลวิเคราะห์สถานการณ์น้ำ กรมชลประทาน
ได้สรุปสถานการณ์น้ำในช่วงฤดูแล้งพบว่า
สถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำส่วนใหญ่ยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง
อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลาง มีปริมาณน้ำรวมกันทั้งสิ้น 38,217 ล้านลูกบาศก์เมตร
(ลบ.ม.) หรือคิดเป็นร้อยละ 52 ของความจุอ่างทั้งหมดเมื่อเทียบกับปี 2552
โดยเขื่อนภูมิพล มีปริมาตรน้ำในอ่าง 4,807 ล้าน ลบ.ม. เขื่อนสิริกิติ์ มี
ปริมาตรน้ำในอ่าง 3,609 ล้าน ลบ.ม. และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ มีปริมาตรน้ำในอ่าง 146
ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 36 38 และ 15 ของความจุอ่างทั้งหมด เมื่อเทียบกับปี 2552
นอกจากนี้ สภาพน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ภาคตะวันออก พบว่า
จังหวัดชลบุรีมีปริมาตรน้ำในอ่างเก็บน้ำ 7 แห่งรวมกัน 74.0 ล้าน ลบ.ม.
หรือคิดเป็นร้อยละ 42 ของความจุอ่างทั้งหมด น้อยกว่าปี 2552 ร้อยละ 1
ประกอบด้วยอ่างเก็บน้ำบางพระ 48.8 ล้าน ลบ.ม. หนองค้อ 9.9 ล้าน ลบ.ม. มาบประชัน 4.2
ล้าน ลบ.ม. หนองกลางดง 3.9 ล้าน ลบ.ม. ชากนอก 2.2 ล้าน ลบ.ม. ห้วยขุนจิต 2.7 ล้าน
ลบ.ม. ห้วยสะพาน 2.4 ล้าน ลบ.ม. ส่วนพื้นที่จังหวัดระยอง
ลุ่มน้ำระยองและลุ่มน้ำประแสร์ มีปริมาตรน้ำในอ่างเก็บน้ำ 4 แห่งรวมกัน 346.6 ล้าน
ลบ.ม.หรือคิดเป็นร้อยละ 66 ของความจุอ่างทั้งหมด น้อยกว่าปี 2552 ร้อยละ 7
ประกอบด้วยอ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล 103.1 ล้าน ลบ.ม. ดอกกราย 41.0 ล้าน ลบ.ม.
คลองใหญ่ 27.1 ล้าน ลบ.ม. และประแสร์ 175.4 ล้าน ลบ.ม.
สำหรับปี 2553 คาดว่า ทั่วประเทศจะใช้น้ำเกินแผนที่กำหนดไว้ถึง
1,589 ล้าน ลบ.ม. หรือคิดเป็นร้อยละ 108 ของแผนจัดสรรน้ำ
โดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา (เขื่อนภูมิพล-สิริกิติ์-แควน้อย-ป่าสัก
และผันน้ำมาจากลุ่มน้ำแม่กลอง) จนถึงปัจจุบันมีการใช้น้ำไปแล้ว 10,290 ล้าน
ลบ.ม.(มากกว่าแผนที่กำหนดไว้ 2,290 ล้าน ลบ.ม.) คิดเป็นร้อยละ 129 ของแผนจัดสรรน้ำ
เนื่องจากปริมาณน้ำที่มีอยู่อย่างจำกัดแต่มีการใช้น้ำเกินเป้าหมายที่วางไว้
ทำให้กรมชลประทานต้องลดปริมาณการจัดสรรน้ำลงอย่างต่อเนื่อง
จากเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ โดยช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา
จัดสรรน้ำเหลือวันละประมาณ 30 ล้าน ลบ.ม.
และเดือนพฤษภาคมจะจัดสรรน้ำเหลือเพียงวันละ 20 ล้าน ลบ.ม. เท่านั้น
กรมชลประทานตรวจสอบ พบว่า มีเกษตรกรจำนวนมากปลูกข้าวนาปรังครั้งที่ 2 ไปแล้วกว่า
1.16 ล้านไร่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพื้นที่นอกเขตชลประทาน
จึงมีความเสี่ยงสูงต่อการขาดแคลนน้ำ อย่างไรก็ตาม
กรมชลประทานได้ให้โครงการชลประทานทุกโครงการทั่วประเทศ
เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์การใช้น้ำในแต่ละพื้นที่อย่างใกล้ชิด
พร้อมทั้งหาแนวทางในการช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบกับปัญหาการขาดแคลนน้ำอีกทางหนึ่ง
ผลผลิตการเกษตร
- ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ จากการที่ประเทศไทยประสบปัญหาภัยแล้งอย่างรุนแรง
ทำให้เกษตรกรจำนวนมากหันไปปลูกอ้อยและมันสำปะหลังที่ให้ผลตอบแทนสูงและทนทานต่อปัญหาภัยแล้ง
ส่งผลให้พื้นที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในปี 2553
มีแนวโน้มปรับตัวลดลงไม่ต่ำกว่า 20% จากพื้นที่ปลูกทั้งหมดปีละ 6 ล้านไร่
นอกจากนี้เวียดนามและจีนก็เข้ามาแย่งซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากพม่า ลาว
และกัมพูชา เป็นจำนวนมาก
ทำให้มีผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากประเทศเพื่อนบ้านเข้าสู่ประเทศไทยในสัดส่วนลดลง
คาดว่าภาวะราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของไทยปีนี้จะอยู่ในเกณฑ์สูงไม่ต่ำกว่า 10-12
บาท/ก.ก. หากภาวะราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศปี 2553
ปรับตัวสูงขึ้นอาจจูงใจให้เกษตรกรหันมาเสี่ยงปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์รอบ 2
ในพื้นที่นาเพิ่มมากขึ้นถึง 200,000-300,000 ไร่
จากเดิมที่มีปลูกข้าวโพดไร่ในพื้นที่นาเฉลี่ยปีละ 100,000 ไร่ อย่างไรก็ตาม
ในภาพรวม คาดว่าปี 2553 ประเทศไทยจะมีพื้นที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ประมาณ 5.5
ล้านไร่ และมีมูลค่าตลาดรวม 2,500 ล้านบาท
- ข้าว ภาวะภัยแล้งยังส่งผลให้ปริมาณผลผลิตข้าวเปลือกนาปรังปี 2553
ลดลง 30% จากที่คาดการณ์ไว้ 8.3 ล้านตันข้าวเปลือก เหลือเพียง 5
ล้านตันข้าวเปลือก โดยในจำนวนนี้ส่วนใหญ่ผลิตในพื้นที่ภาคกลาง สัดส่วนมากกว่า
80% ส่วนที่เหลืออีก 20% หรือราว 1
ล้านตันข้าวเปลือกผลิตในพื้นที่บางจังหวัดทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น
กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด ขอนแก่น อุบลราชธานี อุดรธานี และนครราชสีมา เป็นต้น
โดยมีทั้งข้าวเปลือกเจ้า และข้าวเหนียว
แต่ในปีนี้ผลผลิตในส่วนของภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะลดลงไม่ถึง 1 ล้านตัน
เพราะได้รับผลกระทบจากภัยแล้งในหลายพื้นที่
ซึ่งรัฐบาลประกาศให้หยุดปลูกโดยเฉพาะในส่วนของผลผลิตข้าวเหนียวลดลงมากกว่าชนิดอื่น
เนื่องจากราคาประกันไม่จูงใจ
ทำให้ขณะนี้ราคาข้าวเปลือกเหนียวปรับสูงขึ้นถึงตันละ 13,000 บาทแล้ว
แต่ราคาข้าวเปลือกเจ้า ก็ยังทรงตัวปรับสูงขึ้นเล็กน้อย
- อ้อย
ส่วนพื้นที่ปลูกอ้อยทั่วประเทศเริ่มจะส่งสัญญาณผลกระทบจากภาวะภัยแล้งแล้ว
ซึ่งหากภายในเดือนพฤษภาคม 2553 ฝนไม่ตก หรือฝนทิ้งช่วง คาดว่า
ผลผลิตอ้อยฤดูการผลิต 2553/2554 จะลดลงประมาณ 30%
ของปริมาณการผลิตอ้อยในปีฤดูการผลิต 2552/2553 ที่ผลิตได้ 68 ล้านตัน
อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการบรรเทาปัญหาผลผลิตอ้อยในฤดูการผลิต 2553/2554 ลดลง
สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (กอน.)
ได้เสนอเรื่องเข้ากองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย
ในการปล่อยกู้พัฒนาจัดทำระบบน้ำเข้าสู่ไร่อ้อยทั่วประเทศ
โดยเบื้องต้นกำหนดวงเงินไว้ที่ 2,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 2%
นอกจากนั้นยังขอให้มีการปล่อยกู้ให้เกษตรซื้อรถตัดอ้อยวงเงิน 1,000 ล้านบาท
อัตราดอกเบี้ย 2% เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการตัดอ้อยให้กับชาวไร่
- กุ้ง
ชาวนากุ้งส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบจากอุณหภูมิความร้อนที่พุ่งสูงขึ้นจากวิกฤตภัยแล้ง
ทำให้มีปริมาณออกซิเจนในบ่อกุ้งเบาบางลง กุ้งเติบโตช้า
เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งพยายามแก้ไขปัญหา
โดยเพิ่มจำนวนปริมาณออกซิเจนในบ่อกุ้งให้มากขึ้น
ทำให้มีภาระต้นทุนค่าไฟฟ้ามากกว่าปกติถึง 20%
เกษตรกรส่วนใหญ่ที่ไม่สามารถทนแบกรับต้นทุนค่าใช้จ่ายดังกล่าวได้ก็ทยอยเทขายกุ้งเข้าสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก
ส่งผลทำให้ราคากุ้งแต่ละขนาดปรับตัวลดลงเฉลี่ย 5-10 บาท/ก.ก.
หากปีนี้ประเทศไทยเกิดวิกฤตภัยแล้งอย่างต่อเนื่อง คาดว่า
เกษตรกรต้องประสบปัญหาวิกฤตราคากุ้งตกต่ำอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน ที่มีผลผลิตเข้าสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก
จึงได้เรียกร้องผ่านสมาคมอาหารแช่เยือกแข็งฯ
ให้ประสานงานกับกระทรวงพาณิชย์จัดทำโครงการประกันราคากุ้ง
เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งอีกทางหนึ่ง
- กล้วยไม้ วิกฤตภัยแล้งในปี 2553 ยังส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อพื้นที่ปลูกสวนกล้วยไม้ เพราะอุณหภูมิความร้อนที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้มีปริมาณกล้วยไม้ลดลงกว่าปกติถึง 20% และพบปัญหาการแพร่ระบาดของเพลี้ยไฟในสวนกล้วยไม้อย่างรุนแรง ทำให้ชาวสวนกล้วยไม้ต้องแบกรับภาระต้นทุนค่าสารเคมีกำจัดแมลงเป็นจำนวนมาก ขณะที่ตลาดส่งออกอยู่ในภาวะชะงักงัน เพราะสหภาพยุโรปซึ่งเป็นคู่ค้าหลัก ได้รับผลกระทบจากภูเขาไฟระเบิดในไอซ์แลนด์ จนต้องปิดสนามบินเป็นการชั่วคราว ส่งผลทำให้ไทยต้องหยุดการส่งออกกล้วยไม้ไปขายสหภาพยุโรป เกิดการสูญเสียโอกาสทางการตลาดไปอย่างน่าเสียดาย แต่ผู้ส่งออกก็พยายามปรับตัวโดยหันไปขยายตลาดส่งออกในตลาดเอเชีย อาทิ ญี่ปุ่นและจีนแทน แต่ก็ได้ผลตอบแทนน้อยกว่าตลาดสหภาพยุโรป
จะเห็นได้ว่า สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ได้ประเมินปัญหาภัยแล้งในปี 2553
คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภาคเกษตร (จีดีพี)
โดยทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจการเกษตรลดลงประมาณ 0.02%
และมูลค่าผลผลิตทางการเกษตรลดลงประมาณ 198 ล้านบาท
ในเบื้องต้นประเมินว่าพื้นที่ทำนาปรังได้รับความเสียหายมากที่สุดประมาณ 11,205 ไร่
คิดเป็นมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจ 70,881,665 บาท
ด้านพืชไร่ที่เสียหายมากที่สุดคือ ข้าวโพด 8,736 ไร่
คิดเป็นมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจ 34,098,906 บาท
ส่วนพืชสวนที่ได้รับความเสียหายมากที่สุดคือมะม่วง 2,605 ไร่ มูลค่าความเสียหาย
27,717,200 บาท ปศุสัตว์ที่ได้รับความเสียหายมากที่สุดคือกลุ่มโคและกระบือ 3,783
ตัว มูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจ 65,374,023 บาท
นอกจากนี้ ภัยแล้งยังส่งผลกระทบการส่งออก โดยไตรมาสแรกโต 24.2 %
แต่ไตรมาสที่ 2 ยอดส่งออกตกฮวบ เหลือ 6.3% โดยเฉพาะกุ้งและผลไม้
ซึ่งเป็นผลมาจากปัญหาภัยแล้งและวิกฤตทางการเมืองไทย ด้านสินค้าหลัก อาทิ ข้าว
ปริมาณส่งออกหลุดเป้า 11 % โดยปริมาณการส่งออกข้าวในเดือนเมษายนปรับลดลงเหลือเพียง
5.6 แสนตัน จากปกติที่ไทยเคยส่งออกเฉลี่ยเดือนละ 7 แสนตัน
ส่วนยอดการส่งออกตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-23 เมษายน2553 ส่งออกแล้ว 2,545,000 ตัน
เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนลดลง 1.23% ส่วนแนวโน้มการส่งออกช่วงไตรมาสที่ 2
คาดว่าจะลดลงเหลือเพียงเดือนละ 6 แสนตัน ทำให้คาดการว่า
ในช่วงครึ่งปีแรกจะส่งออกได้เพียง 4 ล้านตันเท่านั้น ขณะที่มันสำปะหลังได้ราคาดี
โดยการส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังในช่วงไตรมาสแรกของปี 2553ว่ามีปริมาณ 2.4 ล้านตัน
ขยายตัวเพิ่มขึ้น 111 % คิดเป็นมูลค่า 20,722 ล้านบาท
เนื่องจากความต้องการในตลาดโลกมีมากกว่าปริมาณผลผลิตจริง
ทำให้ราคามันสำปะหลังในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก
สะท้อนมายังราคาหันมันสดในประเทศไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นกิโลกรัมละ3 บาท
ซึ่งถือว่าสูงเป็นประวัติการ เพราะในอดีตที่ผ่านมาราคาเฉลี่ยจะอยู่ที่กิโลกรัมละ 1
บาทเศษเท่านั้น อย่างไรก็ตาม คาดว่าในปี 2554 ปริมาณการส่งออกผลิตภัณฑ์
มันสำปะหลังของไทยจะปรับลดลง 50 % จากปี 2553 เหลือประมาณ 1,200,000 ตัน
เพราะผลผลิตจะปรับลดลงครึ่งหนึ่ง
เนื่องจากพื้นที่เพาะปลูกทั่วประเทศกำลังประสบปัญหาเพลี้ยแป้งระบาดอย่างหนัก
ประกอบกับรัฐบาลดำเนินการแก้ไขล่าช้า ยังไม่มีการจัดสรรงบประมาณ
นำมาดำเนินการแก้ปัญหา
ด้านกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารแห่งประเทศไทย การส่งออกในช่วงไตรมาสที่ 2
เติบโตได้น้อยลง
เพราะยอดการส่งออกในเดือนเมษายนจะปรับลดลงจากปัญหาการปิดน่านฟ้าของสหภาพยุโรปจากกรณีภูเขาไฟระเบิด
และปัญหาการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้กระทรวงพาณิชย์ต้องประกาศเลื่อนการจัดงานแสดงสินค้าอาหารจากเดือนพฤษภาคมเป็นเดือนมิถุนายน
ซึ่งการเลื่อนจัดงานครั้งนี้จะทำให้มูลค่าการส่งออกอาหารไทยที่คาดว่าจะสั่งซื้อภายในงานหายไปประมาณ
3,000-4,000 ล้านบาททันที
ผลกระทบจากภาวะโลกร้อนที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ
ทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยของผิวโลกสูงขึ้น
ส่งผลให้ปริมาณและการกระจายของปริมาณน้ำฝนเปลี่ยนแปลง
รวมทั้งเกิดความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ ทำให้เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติตามมา อาทิ
ภัยแล้ง ไฟป่า น้ำท่วม พายุที่รุนแรง ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ ดังนั้น
จึงต้องศึกษาคาดการณ์ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากภาวะโลกร้อน
เพื่อเตรียมการปรับตัวและบรรเทาความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นต่อภาคกิจกรรม อาทิ ป่าไม้
แหล่งน้ำ การเกษตร ความหลากหลายทางชีวภาพ พื้นที่ชายฝั่งทะเล สุขภาพอนามัย
อุตสาหกรรม และการตั้งถิ่นฐาน ส่วนการแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อน
ควรนำผลกระทบจากภาวะโลกร้อนดังกล่าว มาสร้างมูลค่าเพิ่มและเป็นประโยชน์
โดยการสร้างเป็นพลังงานทางเลือก อาทิ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานน้ำ
พลังงานไฮโดรเจน พลังงานใต้พิภพ พลังงานชีวมวล และพลังงานขยะ
เพื่อลดปริมาณการใช้พลังงานจากซากดึกดำบรรพ์(ฟอสซิล)ในรูปแบบต่างๆ
ช่วยลดก๊าซเรือนกระจกที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน
ซึ่งพลังงานเหล่านี้สามารถขับเคลื่อนการพัฒนาสังคม เศรษฐกิจ
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของประเทศได้เป็นอย่างดีและยั่งยืน
อ้างอิง
- ดร.สมิทธ เตือนไทยรับมือภัยแล้ง-ดินไหว-สึนามิ หนังสือพิมพ์ข่าวสด หน้า 2 ฉบับวันที่ 4 พ.ค. 2553
- ภัยแล้งกระหน่ำพื้นที่เพาะปลูก ข้าว-ข้าวโพด-อ้อย "รอฝน" ยืนต้นตาย ประชาชาติธุรกิจ หน้า 7 ฉบับวันที่ 3 - 5 พ.ค. 2553
- ภัยแล้งฉุดส่งออกอาหาร ข้าวหลุดเป้า 11%-"กุ้ง-ผลไม้"ผลผลิตลด http://www.bangkokbiznews.com
สาเหตุการเกิดมลภาวะโลกร้อน
เศรษฐกิจและการเงินโลกกับภาวะโลกร้อน
โลกร้อน สาเหตุ 10 ปรากฏการณ์ประหลาด
ภาวะโลกร้อน
ผลกระทบต่อระดับน้ำทะเลขึ้นสูง
ภาวะโลกร้อนกับชีวิตพอเพียง
ภาวะโลกร้อนกับการประมง
ฟันฉลาม ไขปริศนาภาวะโลกร้อน
ถุงพลาสติกกับภาวะโลกร้อน
หลอดตะเกียบ ประหยัดไฟลดภัยโลกร้อน
กินอาหารลดโลกร้อน
80
วิธีลดภาวะโลกร้อน
10 ข้อ ใกล้ตัวลดโลกร้อน
ฉลากคาร์บอน
ผลกระทบจากภาวะโลกร้อนที่มีต่อเกษตรไทย
ประเทศไทยกับภาวะโลกร้อน
เตรียมรับมือกับภาวะโลกร้อน