สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ การเมือง เศรษฐศาสตร์ >>
เกออร์ก เฮเกล
คาร์ล มาร์กซ์
วลาดิมีร์ เลนิน
เหมา เจ๋อ ตุง
เกออร์ก เฮเกล
(Georg Wilhelm Friedrich Hegel 1770 - 1831)
เฮเกล เป็นนักปรัชญาจิตนิยมเยอรมันที่มีชื่อเสียงมากที่สุด เกิดที่เมือง
สตุตการ์ด และได้ศึกษาวิชาปรัชญา ศาสนาวิทยา เทววิทยา ที่มหาวิทยาลัยทูบิงเกน ณ
ที่นี้ เขาได้ก่อตั้งวารสารทางปรัชญาขึ้น
ในปี ค.ศ. 1801 เมื่อเขามีอายุ 30 ปี เขาได้ไปอยู่ที่มหาวิทยาลัยเยนา
ได้รับแต่งตั้งให้เป็นอาจารย์พิเศษประจำมหาวิทยาลัย สอนวิชาปรัชญา
ต่อมาในปี ค.ศ.1816 เขาถูกเรียกตัวไปเป็นศาสตราจารย์ในวิชาปรัชญา ณ
มหาวิทยาลัยไฮเบิก ในระหว่างที่เขามีชีวิตอยู่เขาได้ดำรงตำแหน่งต่างๆเป็นจำนวนมาก
ในที่สุดเขาได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัยเบอร์ลิน ณ
ที่นี่ เขาได้ประสบความสำเร็จในการเป็นผู้นำโลกทางปรัชญาของเยอรมัน
ชีวิตของเขาเป็นชีวิตแห่งความก้าวหน้าทั้งในด้านอาชีพ สังคม และการเมือง
เขาได้ถึงแก่กรรมเมื่อปี ค.ศ.1831 ในกรุงเบอร์ลิน
ผลงานสำคัญ
- Philosophy of Mind 1807
- Science of Logic 1812-1816
- Encyclopedia of the Philosophical Sciences
- Philosophy of Natuw 1817
- Philosophy of right 1821
- Posthumously Published Works includes lectures on the history of philosophy 1833-1836
- Philosophy of History 1837
- Philosophy of Art 1836-1838
ปรัชญาของเฮเกล คือ ลัทธิจิตนิยม (idealist) เฮเกลเชื่อว่า
สิ่งที่เป็นความจริงจะต้องมีลักษณะสมบูรณ์ทั่วด้าน ที่เรียกว่า จิตสัมบูรณ์
เป็นตัวตนสมบูรณ์ ครอบงำสรรพสิ่ง
และเป็นสิ่งตรงข้ามกับโลกความเป็นจริงที่มนุษย์เห็นอยู่โดยทั่วไป หรือสัมผัสได้
จุดเด่นในปรัชญาเฮเกล คือ ทัศนะแบบวิภาษวิธี (dialectic) ที่อธิบายว่า จิต
หรือตัวตนสมบูรณ์นี้ แสดงออกในรูปของความขัดแย้ง 2 ด้าน คือ ด้านสนับสนุน
และด้านปฏิเสธ ด้านหนึ่งเป็นบทเสนอ (thesis) ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นบทแย้ง
(antithesis) และวิวัฒนาการการต่อสู้ระหว่าง 2 ด้านที่ขัดแย้งนี้เอง
จะนำมาสู่การพัฒนาของสิ่งใหม่ ที่จะเรียกว่า บทสรุป (synthesis)
และบทสรุปนี้ก็จะกลายเป็นบทเสนอ (thesis) ใหม่ ก่อให้เกิดบทแย้ง (antithesis) ใหม่
และนำมาสู่บทสรุป (synthesis) ใหม่ ไปจนสิ้นสุดกระบวนการพัฒนาที่จะนำไปสู่ความเป็น
จิตสมบูรณ์อันแท้จริง
รัฐที่สมบูรณ์ในทรรศนะของเฮเกล
รัฐที่สมบูรณ์ คือ
รัฐที่ปัจเจกบุคคลซึ่งพัฒนาตนเองอย่างสมบูรณ์พบกับอุดมคติอันเป็นสิ่งสากล
ในความคิดของ เฮเกล
รัฐที่พัฒนาอย่างสมบูรณ์ในระบบตรรกของเขาจะเป็นรัฐที่พร้อมด้วยหลักการ และเหตุผล
มีรัฐธรรมนูญ และกษัตริย์เป็นประมุข ซึ่งผู้นำจะต้องเป็นได้ทั้งกษัตริย์
ประธานาธิบดี เผด็จการ แต่เฮเกลก็สรุปต่อไปว่า
ผู้นำจะต้องเป็นกษัตริย์ผู้สืบเชื้อพระวงศ์ เพราะหลักตรรกที่ว่า
ผู้นำคือผู้ที่เป็นอยู่มาแล้วโดยธรรมชาติ โดยชาติกำเนิด ไม่ใช่ผลิตผลของจิต
ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วเขาเห็นด้วยกับระบอบราชาธิปไตย
เพราะเมื่อกษัตริย์ซึ่งเป็นปัจเจกภาพ และสากลภาพ
ก็ย่อมหมายความว่าเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในการออกกฎหมาย สูงสุดในที่มาของอำนาจบริหาร
อย่างไรก็ดี เฮเกลไม่ได้บอกว่า กษัตริย์จะต้องมีอำนาจแต่เพียงผู้เดียว
และกระทำการทุกอย่างโดยลำพัง กษัตริย์จะต้องกระทำการโดยคำแนะนำของสภาที่ปรึกษา
ในส่วนของการปฏิบัติงาน และการบริหารนั้น เป็นหน้าที่ของข้าราชการ
ส่วนการออกกฎหมาย
ซึ่งความจริงมีอยู่แล้วแต่เพิ่มเติมตัดออกเป็นหน้าที่ของฝ่ายตุลาการ ทั้งนี้
ปัจเจกชนทั่วไปน่าจะมีส่วนร่วมในการเลือกตั้งบุคคลเหล่านั้นเข้ามาเป็นตัวแทนของตน
อย่างไรก็ดี ประชาธิปไตยในความคิดของเฮเกล
ไม่ใช่เสียงของคนส่วนใหญ่ที่จะทำให้คนต้องเคารพเชื่อฟังกฎหมาย เฮเกลเห็นว่า
ตัวแทนของประชาชนน่าจะมาจากคนประเภทต่างๆ
หรือชนชั้นต่างๆมากกว่าที่จะมาจากที่ไหนก็ได้ เพราะผู้คนที่เลือกเข้ามา
ลักษณะของรัฐสมัยใหม่ตามความคิดของเฮเกล
- มนุษย์ในรัฐต้องได้รับการปฏิบัติในฐานะของชีวิตแห่งเหตุผล (rational
subject) กล่าวคือ มนุษย์ทุกคนมีสิทธิ์ในการตัดสินใจอย่างอิสระ
ทุกคนมีฐานะเป็นเป้าหมาย มีการเคารพในกรรมสิทธิ์ มโนธรรม
เสรีภาพในการประกอบอาชีพ เสรีภาพในการนับถือศาสนา
และการมีทาสเป็นสิ่งที่รับไม่ได้
- รัฐต้องใช้การปกครองด้วยกฎหมาย ต้องไม่ใช้อำนาจตามใจชอบ
และต้องปฏิบัติต่อทุกคนเหมือนกัน
- รัฐทำให้ทุกคนบรรลุเป้าหมายของ ชีวิตทางจริยธรรม ซึ่งทำให้จริยศาสตร์มีเนื้อหาที่เป็นรูปธรรมจากการเมือง และทุกคนมีหน้าที่ต้องพัฒนาและรักษารัฐไว้
เฮเกลแตกต่างจากนักทฤษฎีสังคมศาสตร์สมัยใหม่ทั้งหมด ตรงที่เขามองว่า
โดยพื้นฐานแล้วรัฐเป็นสถาบันทางจริยธรรม ดังนั้นจึงมิได้วางอยู่บนการใช้กำลัง
ทว่าวางอยู่บนเสรีภาพ ความเข้มแข็งของรัฐมิได้อยู่ที่การใช้กำลัง
แต่เป็นแนวทางที่โครงสร้างทางสังคมจัดการเกี่ยวกับสิทธิ เสรีภาพ สวัสดิภาพ
และสวัสดิการของปัจเจกให้กลมกลืนเป็นหนึ่งเดียว
รัฐจึงมิใช่กลไกในการรักษาสันติภาพ องค์กรรับรองสิทธิ
หรือองค์กรที่ส่งเสริมการแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว แต่รัฐ
คือจุดสุดยอดของเป้าหมายเพื่อส่วนรวม
รัฐประสานสิทธิและความผาสุกของปัจเจกให้กลมกลืนอย่างมีเหตุผล
รัฐจึงปลดปล่อยให้ชีวิตปัจเจกมีความหมายและมีเสรีภาพอย่างแท้จริง