ความรู้ทั่วไป สารนิเทศ การศึกษา คอมพิวเตอร์ >>

ประวัติภาษาอังกฤษ

ภาษาอังกฤษมาจากไหน (Where did the English Language Come from ?)

        ในโลกนี้มีคนพยายามเรียนภาษาอังกฤษมากกว่าภาษาอื่น ๆ ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ ใช้ในการทำข้อตกลงทางการเมือง การกระทำธุรกิจระหว่างประเทศใช้เป็นภาษาสากลในทางวิทยาศาสตร์และยา มีข้อตกลงที่เป็นสากลกล่าวว่าผู้ที่เป็นนักบินต้องพูดภาษาอังกฤษในการสื่อสาร ภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศและเป็นภาษาหลักที่สอนอยู่ในอเมริกาใต้และ ยุโรป ในประเทศฟิลิปปินส์และประเทศญี่ปุ่น เด็กนักเรียนเริ่มเรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่อายุยังน้อย ภาษาอังกฤษได้ถูกใช้เป็นภาษาทางการมากกว่า 75 ประเทศ รวมทั้งประเทศอังกฤษ แคนดา สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และแอฟริกาใต้

ในประเทศต่าง ๆ ที่มีคนพูดหลาย ๆ ภาษาในประเทศเดียวกัน ภาษาอังกฤษได้ถูกใช้เป็นภาษาทางการ เพื่อช่วยเหลือคนเหล่านั้นในการติดต่อสื่อสารซึ่งกันและกัน ประเทศอินเดียเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับเรื่องนี้ ในประเทศอินเดียภาษาอังกฤษเป็นเรื่องธรรมดา เพราะว่าภาษาที่ใช้พูดในประเทศนี้อย่างน้อยที่สุด 24 ภาษา ในประชากร ล้านกว่าคน

ถ้าถามว่าภาษาอังกฤษมาจากไหน ทำไมถึงเป็นที่นิยมใช้ภาษานี้ก่อนที่จะตอบคำถามเหล่านี้ เราต้องเดินทางย้อนกลับไปในช่วงเวลาประมาณ 5 พันปีมาแล้ว ที่ดินแดนทางเหนือของทะเลดำ (Black Sea) ในยุโรปตะวันออกเฉียงใต้ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าคนในบริเวณดินแดนแห่งนี้ได้พูดภาษาที่เรียกว่า โปรโต - อินโด - ยุโรเปียน (Proto – Indo – European) ภาษาที่ว่านี้ไม่ได้ใช้เป็นภาษาพูดอีกต่อไป นักวิจัยหลายคนไม่ทราบเป็นที่แน่นอนว่าภาษาที่ว่านี้มีลักษณะเป็นเช่นไร

อย่างไรก็ตามเชื่อกันว่าภาษา โปรโต – อินโด – ยุโรเปียน เป็นภาษาของบรรพบุรุษของภาษาของชาวยุโรปส่วนใหญ่ รวมทั้งภาษากรีกโบราณ ภาษาเยอรมันโบราณ และภาษาละตินโบราณ ภาษาละตินนั้นไม่ปรากฏว่าเป็นภาษาพูดอีก อย่างไรก็ตามภาษาละตินจะแฝงอยู่ข้างหลัง (ผสมผสาน) ใน 3 ภาษาที่สำคัญ ๆ คือ ภาษาสเปนยุคใหม่ ภาษาฝรั่งเศส และภาษาอิตาเลียน ภาษาเยอรมันโบราณก็ได้สืบทอดและกลายเป็นภาษาดัทช์ ภาษาแดนิช ภาษาเยอรมัน ภาษานอรเวเจียน ภาษาสวีดิช และอีกภาษาหนึ่งที่ได้พัฒนามาเป็นภาษาอังกฤษ

ภาษาอังกฤษเป็นผลลัพธ์ของการเข้าไปรุกราน (แผ่ขยาย) ในเกาะบริเตน เป็นเวลาหลายร้อยปีมาแล้ว ผู้รุกรานเหล่านั้นอาศัยอยู่ทางตอนเหนือตามชายฝั่งทะเลของยุโรป การรุกรานครั้งแรกโดยกลุ่มคนที่เรียกว่า แองเกิล (Angles) เมื่อประมาณ 1,500 ปีมาแล้ว พวกแองเกิลเป็นคนเยอรมัน (German tribe) เป็นพวกที่เข้ามาทางช่องแคบอังกฤษ หลังจากนั้นมีอีก 2 กลุ่ม ที่เข้ามาสู่บริเตน คือพวกเซกซันและจูทส์ (Saxons and Jutes) กลุ่มคนเหล่านี้ได้พบกับพวกเคลท์ซึ่งเป็นพวกที่อาศัยอยู่บนเกาะบริเตนนับเป็นเวลาหลายพันปีมาแล้ว พวกเคลท์ก็ได้ทำการสู้รบกับผู้ที่รุกรานเหล่านั้น

หลังจากนั้นไม่นานนัก พวกเคลท์ส่วนใหญ่ ถูกฆ่าตาย หรือไม่ก็ตกเป็นทาสของผู้ที่รุกราน บางกลุ่มก็หนีไปอาศัยในดินแดนที่เรียกว่า เวลล์ (Wales) หลายปีผ่านไปพวกเซกซัน (Saxons) พวกแองเกิล (Angles) และพวกจูทส์ (Jutes) ได้มีการผสมผสานกันระหว่างภาษาที่แตกต่างของพวกเขา ผลลัพธ์ ก็คือภาษานั้นถูกเรียกว่า ภาษาแองโกล – แซกซัน (Anglo – Saxon) หรือ ภาษาอังกฤษโบราณ (old English)

งานเขียนต่าง ๆ หลายชิ้นยังได้ดำรงไว้จากภาษาอังกฤษโบราณ (old English) บางที่ชิ้นงานที่สำคัญมาก ๆ ที่เรียกว่า บีโอวูล์ฟ (Beowulf) เป็นที่รู้จักกันว่าเป็นบทประพันธ์ที่เก่าแก่ที่สุด ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า มันถูกเขียนขึ้นในเกาะบริเตนมานานกว่า 1,000 ปีมาแล้ว โดยไม่ปรากฏชื่อผู้เขียนว่าเป็นใคร บีโอวูล์ฟ (Beowulf) เป็นเรื่องของกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ ผู้ทำการสู้รบกับสัตว์ มหรรศจรรย์ พระองค์เป็นกษัตริย์ที่ดีที่มีพสกนิกรรักใคร่ หนังสือใหม่ที่เขียนโดย เชมัส ฮีนีย์ (Seamus Heaney) ได้บอกถึงเรื่องโบราณนี้เป็นภาษาอังกฤษยุคใหม่ (Modern English)

การรุกรานครั้งใหญ่ของบริเตนมาจากทางเหนือสุดเริ่มขึ้นเมื่อประมาณ 1100 ปีมาแล้ว พวกเฟิร์ซ (Fierce) หรือที่เรียกว่าไวกิ้งส์ (Vikings) ได้จู่โจมอย่างกะทันหันทางด้านบริเวณชายฝั่งของเกาะบริเตน พวกไวกิ้งส์มาจากประเทศเดนมาร์ก นอรเวย์ และประเทศอื่น ๆ ทางตอนเหนือ พวกเขาเข้ายึดและครอบครองสินค้า พวกทาสและสิ่งของอันมีค่าต่าง ๆ

ในบางพื้นที่พวกไวกิ้งส์เจริญอำนาจ พวกเขาจะสร้างบ้านที่มันชั่วคราวบางครั้งฐานที่มันชั่วคราวกลายเป็นฐานที่มันถาวร ต่อมาพวกไวกิ้งส์เหล่านี้เป็นจำนวนมากได้อาศัยอยู่ในเกาะบริเตน มีภาษาอังกฤษหลายคำที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้ที่มาจากภาษาไวกิ้งส์โบราณ เช่นคำว่า sky, leg, skull, egg, crawl, lift และ take มาจากภาษาของประเทศทางเหนือสุดเหล่าโน้น

การรุกรานเกาะบริเตนในครั้งต่อมาเกิดขึ้นเมื่อ 900 กว่าปีมาแล้ว ในปี คศ. 1066 ผู้เชี่ยวชาญทางประวัติศาสตร์เรียกการรุกรานครึ้งนี้ว่า Norman Conquest นำโดยพระเจ้าวิลเลี่ยม (William the Conqueror)

พวกนอร์แมน เป็นชนที่พูดภาษาฝรั่งเศสจากแคว้นนอร์มังดี (Normandy) ในตอนเหนือของประเทศฝรั่งเศสพวกเขากลายเป็นชนชั้นปกครองในเกาะบริเตน ชนชั้นปกครองใหม่เหล่านี้จะพูดเฉพาะภาษาฝรั่งเศสอย่างเดียวเท่านั้น มันเป็นภาษาที่สำคัญมากในโลกในสมัยนั้น เป็นภาษาของคนมีการศึกษา แต่ว่ายังเป็นเรื่องธรรมดาของประชากรบนเกาะบริเตนที่พูดภาษาอังกฤษโบราณอยู่

ภาษาอังกฤษยุคโบราณ(Old English)ได้ยืมภาษาฝรั่งเศสของพวกนอร์แมน หลายคำ เช่น damage, prison และ marriage เป็นต้น คำในภาษาอังกฤษส่วนใหญ่ที่ใช้อธิบายกฎหมาย และใช้ทางราชการมาจากภาษาฝรั่งเศส เช่นคำว่า jury, parliament, และ justice

ภาษาฝรั่งเศสใช้โดยชนชั้นปกครองชาวนอร์แมนได้เปลี่ยนแปลงแนวทางการพูดภาษาอังกฤษอย่างยิ่งใหญ่เมื่อ 800 กว่าปีที่ผ่านมา ในช่วงเวลาที่ผ่านไปการปกครองของชาวนอร์แมนไม่ได้พูดภาษาฝรั่งเศสเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป ภาษาของพวกเขาจะผสมผสานระหว่างภาษาฝรั่งเศสและภาษาอังกฤษยุคกลาง (Middle English)

ภาษาอังกฤษยุคกลางก็เหมือนกับภาษาอังกฤษยุคใหม่ แต่ว่าเป็นการยากลำบากมากที่จะเข้าใจในปัจจุบันนี้ งานเขียนต่าง ๆ จำนวนมากที่เขียนในยุคนี้ ยังคงดำรงอยู่ งานเขียนที่สำคัญที่สุดเขียนโดย เจฟฟรีย์ ชอเซอร์) Geoffrey Chaucer นักกวีผู้ซึ่งอาศัยอยู่ในลอนดอนและ สิ้นชีวิต ณ ที่นั้นในศตวรรษที่ 14 งานชิ้นสำคัญของชอเซอร์ คือ “The Canterbury Tales” ซึ่งงานชิ้นนี้ได้เขียนขึ้น 600 ปีมาแล้ว

งานเขียน “The Canterbury Tales” เป็นการรวบรวมของบทกวี เกี่ยวกับการเดินทางของบุคคลที่แตกต่างกันไปยังเมือง Canterbury ผู้เชี่ยวชาญภาษาอังกฤษกล่าวว่า Geoffrey Chaucer เป็นนักเขียนที่สำคัญคนแรกที่ใช้ภาษาอังกฤษ พวกเขาเห็นด้วยกับบทกวีภาษาอังกฤษยุคกลางที่ยิ่งใหญ่ของชอเซอร์ ทำให้มองเห็นภาพพจน์ของคนในสมัยของเขาอย่างชัดเจน บุคคลบางคนที่อธิบายไว้ใน “The Canterbury Tales” เป็นบุคคลที่ฉลาด และกล้าหาญ บางคนก็เป็นคนโง่ เซ่อ บางคนก็เชื่อว่าพวกเขาเป็นผู้สำคัญอย่างยิ่งยวด บางคนก็ดีแสนดี แต่พวกเขาทั้งหมดยังมองว่าเป็นเช่นนั้นจริง ๆ

ภาษามีการวิวัฒนาการอย่างไร (How a Language Grew)

การรุกรานมากกว่าสองครั้งได้เพิ่มคำศัพท์ต่าง ๆ ในภาษาอังกฤษยุคโบราณมากมาย พวกไวกิ้งจากประเทศเดนมาร์ค ประเทศนอรเวย์ และประเทศสวีเดน เข้ามาอาศัยอยู่ในเกาะบริเตนกว่า 1,000 ปีมาแล้ว การรุกรานครั้งต่อมาเกิดขึ้นเมื่อปี 1066 โดยชาวฝรั่งเศสที่มีพระเจ้าวิลเลียม (William the Conqueror) เป็นผู้นำในการรุกรานครั้งนี้

ชนชั้นปกครองชาวนอร์แมน (Norman) ได้เพิ่มคำต่าง ๆ ในภาษาอังกฤษอย่างมากมาย เช่น คำว่า parliament, jury, justic และคำอื่น ๆ อีกมากที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายที่มาจากชนชั้น ปกครองชาวนอร์แมน กาลเวลาได้ผ่านมาหลายยุคหลายสมัยภาษาต่าง ๆ เหล่านั้นได้รวมกันเข้า ผู้เชี่ยวชาญได้เรียกภาษาที่เกิดขึ้นเช่นนั้นว่า ภาษาอังกฤษยุคกลาง (Middle English) ขณะเดียวกันภาษาอังกฤษ ยุคกลางยังคงมีเสียงคล้ายกับภาษาเยอรมันเช่นกันการเริ่มต้นออกเสียงเหมือนภาษาอังกฤษยุคใหม่ (Modern English)

ชอเซอร์ (Chaucer) ได้เขียนบทกวีเรื่อง “The Canterbury Tales” ซึ่งเขียนเป็นภาษาอังกฤษยุคกลาง (Middle English) ได้เขียนขึ้นในปลายศตวรรษที่ 13 เป็นการเขียนงานที่ใช้ภาษาที่ไม่ใช่ ของชนชั้นปกครองเพราะชนชั้นปกครองเกาะบริเตนในสมัยนั้นยังคงใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาพูดที่เป็นภาษามากับพวกเขาในปี 1066 กษัตริย์ของบริเตนไม่ได้ใช้ภาษาที่ชนในเกาะบริเตนใช้อยู่ในสมัยนั้น จนกระทั่งตอนต้นของศตวรรษที่ 14 ภาษาฝรั่งเศสแบบนอร์แมนค่อย ๆ หายไปอย่างช้า ๆ และจนกระทั่งไม่ปรากฏ ภาษาอังกฤษได้รับอิทธิพลอย่างมากจากเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมากกว่า 1400 ปีมาแล้ว พวกที่นับถือศาสนาโรมันคาธอลิค ได้เริ่มพยายามที่จะให้ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาแห่งบริเตน ภาษาที่ชาวโรมันคาธอลิคเหล่านั้นใช้คือ ภาษาละติน (Latin) ภาษาละตินนั้นไม่ได้เป็นภาษาที่ใช้พูดเหมือนภาษาที่ใช้กันอยู่ในประเทศต่าง ๆ ในสมัยนั้น แต่ก็ยังมีการใช้อยู่ในเฉพาะ บางคน

ภาษาละตินเป็นภาษาที่ใช้กันอยู่ในหมู่สมาชิกที่อยู่ในโบสถ์ ( ในหมู่พระหรือบาทหลวง) จากกรุงโรมซึ่งใช้พูดกับพระหรือบาทหลวงในเกาะบริเตน ผู้มีการศึกษาชั้นสูงจากประเทศต่าง ๆ สามารถติดต่อสื่อสารกันได้โดยใช้ภาษาละติน ภาษาละตินมีอิทธิพลอันยิ่งใหญ่มาก ต่อภาษาอังกฤษ

ต่อไปนี้เป็นเพียง 2- 3 ตัวอย่าง เช่นคำว่า discus ได้กลายเป็นคำทั่ว ๆ ไปในภาษาอังกฤษรวมทั้งคำว่า disk, desk, และภาษาละตินในคำว่า quietus กลายเป็นคำว่า quiet ในภาษาอังกฤษ ชื่อพืชพันธ์บางชนิดในภาษาอังกฤษ เช่น ginger, trees,cedar ที่มาจากภาษาละตินและยังมีคำที่ใช้ในวงการแพทย์บางคำเช่น cancer เป็นต้น

ภาษาอังกฤษก็เสมือนกับสิ่งมีชีวิตที่ยังคงเจริญเติบโตภาษาอังกฤษเริ่มเจริญเติบโตอย่าง รวดเร็วเมื่อ วิลเลี่ยม แค็กตัน (William Caxton) กลับมาสู่เกาะบริเตนในปี ค.ศ.1476 โดยเขาได้ใช้ชีวิตอยู่ในฮอลแลนด์ (Holland) และบริเวณอื่น ๆ ของยุโรป ซึ่งเป็นที่เขาได้เรียนรู้ในเรื่องของการพิมพ์ เขากลับมาสู่เกาะบริเตนพร้อมกับมีสิ่งพิมพ์เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกสิ่งพิมพ์เหล่านั้นคนส่วนใหญ่สามารถซื้อหาได้ในรูปของหนังสือ ช่วยทำให้การศึกษาและภาษาอังกฤษขยายอย่างกว้างขวางและรวดเร็ว



จากนั้นการขยายตัวเริ่มช้าลงในระหว่างศตวรรษที่ 15 ภาษาอังกฤษได้กลายเป็นภาษาที่ทันสมัยทีเราคงจำได้ ผู้ที่พูดภาษาอังกฤษในช่วงศตวรรษที่ 16 ที่ผ่านมา มันเป็นช่วงเวลาที่นักเขียนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดท่านหนึ่งได้ผลิตผลงานของเขา โดยใช้ภาษาอังกฤษเขา คือ วิลเลี่ยม เชคเปียร์ (William shakespeare) บทละครของเขาได้รับการตีพิมพ์อย่างต่อเนื่อง ได้นำแสดงในโรงภาพยนต์ ที่สามารถสะท้อนอารมณ์ในตัวละครได้เป็นส่วนใหญ่ 400 ปี หลังจากที่เขาเสียชีวิต

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่างานของเชคเปียร์ได้เขียนขึ้นเพื่อการแสดงบนเวที ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ใช้อ่าน เท่านั้นยังไม่พอ ทุก ๆ คำพูดในบทละครของเขาสามารถสะท้อนให้เห็นเป็นภาพได้ และสามารถทำให้เกิดความรู้สึกโกรธ กลัว และเสียงหัวเราะ บทละครที่สำคัญของเชคเปียร์ คือ โรมิโอ และจูเลียท (Romeo and Juliet) เป็นเรื่องที่เศร้ามาก ทำให้คนร้องไห้เมื่อพวกเขาได้ดูบทละครที่สำคัญเรื่องนี้ เรื่องของพระเจ้าริชาร์ด ที่ 3 กษัตริย์ผู้กระหายอำนาจ เรื่องนี้ก็เป็นบทละครที่เป็นที่รู้จักกันดีอีกเรื่องหนึ่งของเชคสเปียร์

การพัฒนาของภาษาอังกฤษเกิดขึ้นไปอีกก้าวหนึ่งแล้วการเสียชีวิตของเชคสเปียร์ เรือเล็ก ๆ 3 ลำจากบริติช ข้ามมหาสมุทร แอตแลนติก ในปี ค.ศ. 1607 พวกเขาได้จอดเรือเทียบท่าที่บริเวณซึ่งต่อมากลายเป็นรัฐ รัฐหนึ่งของอเมริกาตอนใต้ ชื่อเวอร์จิเนีย บริเวณนี้เริ่มเป็นอาณานิคมของอังกฤษเป็นเมืองแรกในบรรดาเมืองต่าง ๆ อาณานิคมเล็ก ๆ เมืองแรกอีกเมืองหนึ่ง ชื่อ เจมส์ทาวน์ (Jamestown) ในขณะนั้น ประชาชนที่อาศัยอยู่ในอาณานิคมเหล่านั้นเริ่มต้นเรียกพื้นที่แผ่นดินใหม่นี้โดยใช้ชื่อจากเจ้าของภาษาเดิมที่พวกเขาได้อาศัยอยู่ในที่นั้น ๆ ชื่อแม่น้ำสายสำคัญ ๆ ในอเมริกามาจากภาษาอเมริกันอินเดียน (อินเดียนแดง) เช่น the Mississippi, the Tennessee, the Missouri เป็นต้น

ภาษาอเมริกันคำอื่น ๆ หลายคำรวมคำว่า moccasin เป็นรองเท้าชนิดหนึ่งที่ทำจากหนังสัตว์ที่ชาวอินเดียนแดงใส่ การยืมหรือการเพิ่มคำจากภาษาต่างประเทศในภาษาอังกฤษเป็นการเพิ่มขยายทางภาษา ชื่อวัน 3 วันใน 1 สัปดาห์ เป็นตัวอย่างในเรื่องนี้ได้ดี ประชาชนตอนเหนือของยุโรปบูชาเทพเจ้า 3 องค์ โดยมีวันพิเศษในแต่ละสัปดาห์ เทพเจ้าเหล่านั้นคือ เทพเจ้า Odin เทพเจ้า Thor และเทพเจ้า Freya ดังนั้นคำว่า Odin’s –day ได้กลายเป็น Wednesday คำว่า Thor’s – day ได้กลายเป็น Thursday และคำว่า Freya’s- day ได้กลายเป็น Friday ในภาษาอังกฤษ

ประเทศอังกฤษ (Britain) ได้มีเมืองขึ้นอื่น ๆ อีกในแอฟริกา ในเอเชีย ในแถบทะเลแคริบเบียน และประเทศอินเดีย ภาษาอังกฤษได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของประเทศที่เป็นอาณานิคมเหล่านี้ ในปัจจุบันนี้ประเทศอาณานิคมเหล่านี้ได้รับอิสระแล้ว แต่ภาษาอังกฤษยังคงเป็นภาษาพูดอีกภาษาหนึ่ง และภาษาอังกฤษเหล่านั้นได้เจริญเติบโตโดยมีภาษาเดิมของผู้พูดภาษาอังกฤษเข้ามาเพิ่มเติมอยู่ในภาษาอังกฤษของประเทศนั้น ๆ ตัวอย่างเช่น คำว่า Shampoo หมายถึงน้ำยาสระผมมาจากประเทศอินเดีย หรือคำว่า Banana ได้เชื่อกันว่ามาจากประเทศแอฟริกา

ผู้เชี่ยวชาญไม่สามารถอธิบายภาษาอังกฤษหลาย ๆ คำได้ เวลานับเป็นหลายร้อยปีมาแล้ว คำว่า dog ถูกเรียกว่า hound ซึ่งคำ คำนี้ยังคงมีใช้อยู่แต่ไม่เป็นที่นิยมเท่ากับคำว่า dog ผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้นเองก็ไม่ทราบเช่นกันว่า คำว่า dog มาจากไหนหรือมีมาเมื่อไรที่ผู้พูดภาษาอังกฤษได้เริ่มใช้คำนี้ คำดั้งเดิมคำอื่น ๆ ที่ยังไม่ทราบที่ไปที่มาเช่นกัน เช่นคำว่า fun, bad และ คำว่า big เป็นต้น

เช่นกันผู้พูดภาษาอังกฤษเองก็ได้คิดค้นคำใหม่ ๆ ขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง โดยวิธีการเชื่อมคำเก่า ๆ เข้าด้วยกัน ตัวอย่างที่ดีของคำเหล่านี้ เช่นคำว่า motor และ hotel เมื่อหลายปีมาแล้วบางคนได้เชื่อมคำทั้ง 2 นี้เข้าด้วยกันเป็นคำว่า motel คำว่า motel นั้นหมายถึงโรงแรมเล็ก ๆ อยู่ใกล้ถนน ซึ่งคนเดินทางโดยรถยนต์สามารถพักค้างคืนได้ชั่วข้ามคืน

คำอื่น ๆ มาจากอักษรตัวแรกของชื่อกลุ่มหรืออุปกรณ์ เครื่องมือ ต่าง ๆ เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ ค้นหาวัตถุที่ไม่สามารถมองเห็นเรียกว่า Radio Detecting and Ranging ได้กลายมาเป็นคำว่า Radar องค์กรสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (The North Atlandtic Treaty Organization) ซึ่งปกติแล้วได้เรียกชื่อองค์กรนี้ว่า NATO

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าภาษาอังกฤษมีคำมากที่จะอธิบายคำที่มีเป็นสิ่งเดียวกันซึ่งเหมือนกับภาษาอื่น ๆ เช่น คำว่า large , huge, vast,massive และคำว่า “enormous” ซึ่งคำทั้งหมดนั้นหมายถึงสิ่งที่จริงแล้วก็คือ ใหญ่ (big) นั้นเอง บ่อยครั้งที่มีคนมักจะถามว่าในภาษาอังกฤษมีคำกี่คำ จริง ๆ แล้วคงไม่มีใครทราบในเรื่องนี้ ในพจนานุกรมของ The Oxford English Dictionary ได้ทำรายการคำออกมาประมาณ 615,000 คำ เท่านั้นยังไม่พอเพราะคำที่ใช้ในทางวิทยาศาสตร์ยังไม่มีในพจนานุกรมของ The Oxford English Dictionary นี้ ถ้าได้รวมคำที่ใช้ในทางวิทยาศาสตร์เข้าไปด้วย คงมีมากกว่า 1 ล้านคำ และผู้เชี่ยวชาญเองก็ไม่ค่อยมั่นใจนับคำที่มีอยู่ในภาษาอังกฤษได้ ตัวอย่างเช่น คำว่า mouse หมายถึงสัตว์ตัวเล็ก ๆ ที่อยู่ในประเภทสัตว์ที่ใช้ฟันแทะ (rodent family) แต่คำว่า mouse ยังมีความหมายที่แตกต่างออกไปอีกความหมายหนึ่ง เช่นกัน mouse หมายถึงอุปกรณ์ที่ต้องใช้มือช่วยในการใช้ควบคุมการใช้คอมพิวเตอร์ ถ้าหากว่าจะมีการนับคำว่า mouse ก็ต้องมีการนับถึง 2 ครั้งใช่ไหม

ผู้ฟังกรายการของเสียงอเมริกา (Voice of America หรือVOA) จะได้ยินคนพูดถ่ายทอดออกไปมากกว่า 40 ภาษาที่แตกต่างกัน การกระจายเสียงส่วนใหญ่ของ VOA มาจากประเทศต่าง ๆ ที่ใช้ภาษานั้น องค์กรระหว่างประเทศ เช่น VOA พบว่ามันน่าจะเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ใช้ภาษาที่ 2 (Secord Language) ที่คนทั่วไปนิยมใช้ ฉะนั้น ทำให้ VOA ได้ทำงานโดยใช้ภาษาอังกฤษในการ สื่อสาร ภาษาอังกฤษกลายเป็นภาษาที่ใช้กันเป็นปกติของประชากรในโลกกว้างจำนวนหลายล้านคน และภาษาอังกฤษได้ช่วยเหลือผู้ที่พูดภาษาแตกต่างกันมาใช้ภาษาอังกฤษในการติดต่อสื่อสารซึ่งกันและกัน

***แปลและเรียบเรียง โดย อ. ณัฐวัชร์ ปรมาตร
เอกสารอ้างอิง : The History of English : Writlen by Paul Thomsom : www. Voaspecialenglish. Com ( 21 and 28 December 2005)

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย