สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ การเมือง เศรษฐศาสตร์ >>
เสรีภาพแห่งท้องทะเล
ดร.มัลลิกา พินิจจันทร์
Hugo Grotius
บิดาแห่งกฎหมายทะเลชาวเนเธอแลนด์
เป็นผู้นำแนวคิดเสรีภาพแห่งท้องทะเลมาสู่ชาวโลกในปี ค.ศ. 1603
อีกครั้งและเป็นครั้งสำคัญเพราะทำให้คนทั่วโลกได้สัมผัสกับหลักเสรีภาพที่มีการรับรองไว้เป็นลายลักษณ์อักษร
ในอนุสัญญากรุงเจนีวา ค.ศ. 1958 และอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982
เหตุที่กล่าวว่า อีกครั้ง
เพราะครั้งแรกเป็นการประกาศของชาวโรมันในสมัยกษัตริย์ JUSTINIEN
แต่ดูจะเป็นการประกาศความยิ่งใหญ่ของชาวโรมันเสียมากกว่า ทะเลนั้นไม่มีใครครอบครอง
(ยกเว้นคนโรมัน) และเป็นของส่วนรวม (ของคนโรมันชาติเดียว)
ในสมัยที่โรมันเป็นยุคจักรวรรดินั้น
เป็นที่ทราบกันดีว่าชาวโรมันเป็นประเทศที่ใช้ทะเลอย่างเต็มที่ไม่ว่าจะเป็นการคมนาคม
การค้าขายโดยเฉพาะอย่างยิ่งซึ่งประเทศที่เป็นเมืองขึ้นของโรมันที่สำคัญคือการล่าอาณานิคม
เช่น ประเทศอังกฤษ ประเทศฝรั่งเศสหรือประเทศเยอรมัน
นับแต่โลกรู้จักคำว่า เสรีภาพแห่งท้องทะเลจนมาถึงยุคปัจจุบัน
เสรีภาพแห่งท้องทะเลได้มีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการไปอย่างมากมาย
เนื่องจากมนุษย์ได้พัฒนาประโยชน์จากทะเลต่างไปจากในอดีตโดยสิ้นเชิง
ซึ่งมนุษย์เคยใช้ประโยชน์จากทะเลก็เพื่อการเดินเรือ และการประมงเท่านั้น
สาเหตุสำคัญที่การใช้ประโยชน์จากทะเลเปลี่ยนไปโดยเฉพาะในบริเวณทะเลซึ่งอยู่นอกเขตอำนาจรัฐ
คือ บริเวณที่เรียกว่าทะเลหลวง (HIGH SEA) ก็คือความเจริญและก้าวหน้าของเทคโนโลยี
รวมทั้งความต้องการในการใช้ประโยชน์จากทรัพยากร ธรรมชาติ ในทะเลของมนุษย์นั้นเอง
เมื่ออนุสัญญาว่าด้วยกฎหมายทะเลฉบับแรก คือ อนุสัญญากรุงเจนีวา ค.ศ.
1958
มีผลบังคับใช้ก็เท่ากับว่าโลกได้มีระบบกฎหมายเกี่ยวกับการใช้ทะเลของรัฐชายฝั่งขึ้นแล้ว
เพราะอนุสัญญาฉบับนี้ ได้กำหนดสิทธิและหน้าที่ของรัฐชายฝั่งไว้ว่า
ในแต่ละอาณาเขตทางทะเลนั้นรัฐชายฝั่งจะมีสิทธิและหน้าที่อย่างไรบ้าง
ซึ่งอนุสัญญากรุงเจนีวา ค.ศ. 1958 ได้แบ่งทะเลออกเป็นเขตตามชื่อของอนุสัญญาทั้ง 4
ฉบับ
นับเป็นครั้งแรกที่เสรีภาพแห่งทะเลหลวงได้ถูกลิดรอนโดยการครอบครองทะเลของมนุษย์โดยมีกฎหมายเป็นเครื่องมือ
คือ
- อนุสัญญาว่าด้วยทะเลอาณาเขต
- อนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป
- อนุสัญญาว่าการเขตประมงและการอนุรักษ์ทรัพยากร
- อนุสัญญาว่าด้วยทะเลหลวง
สำหรับเสรีภาพแห่งท้องทะเลนั้น ได้ถูกบัญญัติไว้ในอนุสัญญาว่าด้วยทะเลหลวงซึ่งได้กำหนดเสรีภาพไว้ 4 ประเภทคือ
- เสรีภาพในการเดินเรือ
- เสรีภาพในการประมง
- เสรีภาพในการบิน
- เสรีภาพในการวางสายเคเบิ้ลและท่อใต้ทะเล
การที่อนุสัญญาว่าด้วยทะเลหลวงของอนุสัญญากรุง ค.ศ. 1958 ได้บัญญัติ 4 ประการ
ก็น่าจะด้วยเหตุผลที่มนุษย์ ณ
ช่วงเวลานั้นมีความสามารถที่จะทำกิจการหรือใช้ประโยชน์จากทะเลได้เท่านั้นนั่นเอง
แต่อย่างไรก็ตามกิจการที่ทุกรัฐ น่าจะมีสิทธิที่จะใช้ทะเลได้อย่างเท่าเทียมกัน
ก็คงจะเป็นเสรีภาพในการเดินเรือ เสรีภาพในการประมงและเสรีภาพในการบิน
แต่เนื่องจากเป็นเสรีภาพในทะเลหลวง
ซึ่งเป็นบริเวณที่อยู่นอกเขตอำนาจรัฐและไม่มีใครอ้างสิทธิครอบครองได้
เพราะเป็นบริเวณที่ไกลจากฝั่งมาก รัฐที่จะใช้เสรีภาพทั้ง 3 นี้ได้เต็มที่
คงเป็นรัฐที่มีความสามารถทั้งทางเทคโนโลยีและเงินทุนเท่านั้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐที่เป็นมหาอำนาจทางทะเล เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา
ประเทศฝรั่งเศส เป็นต้น และรวมทั้งประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น ประเทศเนเธอแลนด์
สำหรับประเทศกำลังพัฒนานั้นแทบจะไม่มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมใช้เสรีภาพดังกล่าวได้เลย
ต่อมาเมื่อมีความเจริญทางเทคโนโลยี
รวมทั้งความต้องการในการแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรในทะเลหลวงมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วง
ปี ค.ศ. 1960
ซึ่งเริ่มมีการประชุมเพื่อจัดทำร่างอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเลอีกฉบับในเวลาต่อมา
เสรีภาพในการวางสายเคเบิ้ลและท่อใต้ทะเล
จึงเป็นเสรีภาพที่มนุษย์รู้จักและใช้กันอย่างกว้างขวาง
เพราะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติกลายเป็นเชื้อเพลิงสำคัญในโรงงานอุตสาหกรรม
การขนส่งสินค้าหรือแม้แต่ในครัวเรือน
ประเทศไทยในขณะนั้นก็เป็นอีกประเทศหนึ่งที่ได้มีโอกาสใช้เสรีภาพในทะเลหลวงครบทั้ง 4
ประการแม้ว่าจะเป็นเพียงประเทศกำลังพัฒนาเท่านั้นก็ตามที
ในที่สุดเมื่ออนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982
มีผลบังคับใช้เมื่อ 16 พฤศจิกายน ค.ศ. 1994 หลังจากที่มีประกาศให้สัตยาบันครบ 60
ประเทศ ซึ่งในอนุสัญญาฉบับนี้ได้กำหนดเสรีภาพในทะเลหลวงนั้นอีก 2
ประการซึ่งเป็นเสรีภาพที่เป็นผลมาจากกิจกรรมที่มนุษย์
สามารถใช้ประโยชน์จากทะเลหลวงได้มากกว่าอนุสัญญากรุงเจนีวา ค.ศ. 1958 นั่นเอง
ดังนั้น อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982
จึงกำหนดเสรีภาพไว้รวมเป็น 6 ประการคือ
- เสรีภาพในการเดินเรือ
- เสรีภาพในการบิน
- เสรีภาพในการประมง
- เสรีภาพในการวางสายเคเบิ้ลและท่อใต้ทะเล
- เสรีภาพในการทดลองวิทยาศาสตร์
- เสรีภาพในการสร้างเกาะเทียมและประภาคาร
จากเสรีภาพทั้ง 6 ประการข้างต้นนี้ มีเสรีภาพอีก 2 ประการ
ที่ได้ถูกบัญญัติเพิ่มขึ้นมา
แต่ก็เป็นเสรีภาพที่แลกกับการประกาศขยายและครอบครองบริเวณที่เรียกว่าเขตเศรษฐกิจจำเพาะ
(EXCLUSIVE ECONOMIC ZONE หรือ E.E.Z.)
เป็นเสรีภาพที่น่าจะเป็นกิจกรรมของประเทศมหาอำนาจหรือประเทศที่กำลังพัฒนาแล้วเท่านั้น
เพราะเป็น 2 กิจกรรมที่ต้องใช้เทคโนโลยีสูงและเงินลงทุนมหาศาลด้วย
จึงเป็นเรื่องที่ประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายจะต้องรอไปอีกระยะหนึ่งจึงจะสามารถเข้าไปใช้เสรีภาพในทะเลหลวงครบทั้ง
6 ประการได้ในที่สุดไม่เว้นแต่ประเทศไทย
เมื่อพิจารณาดูเสรีภาพในทะเลหลวงตามที่บัญญัติไว้ในอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล
ค.ศ. 1982 จะรู้สึกได้ว่า นี่เป็นการต่อสู้หรือชัยชนะของประเทศมหาอำนาจแน่นอน
เพราะการมี 2
เสรีภาพนี้เพิ่มเติมขึ้นมาก็เพื่อรองรับศักยภาพของประเทศมหาอำนาจโดยแท้เพราะไม่ว่าตอนนี้หรือก่อนหน้านี้หรือในอนาคตก็คงจะไม่ใครได้ใช้เสรีภาพนี้แน่นอกจากประเทศมหาอำนาจ
และอนุสัญญาฉบับนี้ยังได้มีการกำหนดเขตบริเวณพื้นที่ (THE AREA)
ขึ้นมาโดยมีเจตนาที่จะปกป้องคุ้มครองทรัพยากรธรรมชาติในบริเวณดังกล่าวไว้เป็นมรดกตกทอดของมวลมนุษยชาติ
(COMMON HERITAGE OF MANKIND)
ทำให้การเข้าไปแสวงหาประโยชน์ในบริเวณพื้นที่เป็นเรื่องยากขึ้นมาทันที ดังนั้น
หากสามารถกำหนดเสรีภาพในการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์และเสรีภาพในการสร้างเกาะเทียมและประภาคาร
ก็อาจจะทดแทนการสูญเสียประโยชน์ในบริเวณพื้นที่ได้ไม่มากก็น้อย
ปัจจุบันนี้จะมีข่าวการทดลองอาวุธในบริเวณมหาสมุทรอยู่อย่างต่อเนื่อง เช่น
กรณีล่าสุดที่ประเทศรัสเซียได้ทดลองขีปนาวุธ
และส่งผลให้เกิดลำแสงประหลาดขึ้นที่ประเทศนอรเวย์
ก็ด้วยการตีความว่าเสรีภาพในการทดลองทางวิทยาศาสตร์ในทะเลหลวงนั้น
หมายความรวมถึงการทดลองอาวุธด้วยนั่นเองก็คงไม่ต้องสงสัยว่าประเทศใดบ้างที่จะมีโอกาสได้ทำกิจกรรมนี้ในบริเวณดังกล่าว
ส่วนเสรีภาพในการสร้างเกาะเทียมและประภาคารนั้นก็คงไม่ต้องสงสัยว่าประเทศที่จะทำได้ก็ต้องเป็นมหาอำนาจอีกเช่นกัน
ส่วนประเทศอื่น ๆ ก็คงต้องรอไปก่อน
แต่สำหรับเสรีภาพในการเดินเรือกับเสรีภาพในการประมงดูจะเป็นเสรีภาพที่ไม่ว่าในอดีตหรือปัจจุบันประเทศส่วนใหญ่ล้วนได้ใช้ประโยชน์กันอย่างถ้วนหน้าเพียงแต่มากน้อยเท่านั้น
ตัวอย่าง ไม่ไกลตัวก็คือประเทศไทยซึ่งแม้จะเป็นประเทศกำลังพัฒนา (ด้อยพัฒนา?
ในความรู้สึกของคนไทยบางคน) ก็ได้มีโอกาสเข้าไปใช้ได้อย่างเต็มภาคภูมิไม่เมิน
รวมทั้งเสรีภาพในการบิน ด้วย
แต่อย่างไรก็ดีเสรีภาพทั้งหมดทั้งปวงนี้ยกเว้นเสรีภาพในการบินเท่านั้นได้กลายมาเป็นที่มาของปัญหาสภาวะแวดล้อมไปแล้วในเวลานี้
โดยเฉพาะเสรีภาพในการเดินเรือ
เสรีภาพในการประมงและเสรีภาพในการสร้างเกาะเทียมและประภาคารซึ่งล้วนเป็นกิจกรรมที่สร้างมลภาวะให้กับทะเลหลวงอย่างมหาศาลทั้งสิ้น
การทำอุตสาหกรรมประมงรวมทั้งการขนส่งสินค้าทางทะเลได้มีการพัฒนา
และมุ่งจะให้ได้กำไรมากที่สุดโดยไม่ได้คำนึงว่าการทำให้ได้มาซึ่งกำไรนั้นต้องทำร้ายทะเลหลวงอย่างไรบ้าง
เช่น การใช้เรือซึ่งขับเคลื่อนด้วยพลังงานนิวเคลียร์
การทิ้งของเสียจากเรือหรือการสร้างแท่นขุดเจาะน้ำมัน เป็นต้น
กิจกรรมเหล่านี้เป็นกิจกรรมที่เกิดในทะเล ดังนั้น
มลภาวะจากกิจกรรมดังกล่าวจึงลงสู่ทะเลโดยตรง เช่นกัน
โดยเฉพาะทะเลหลวงซึ่งถือว่าเป็นบริเวณทะเลที่มนุษย์ใช้ประโยชน์มากที่สุดในฐานะที่เป็นเส้นทางคมนาคม
เป็นจุดยุทธศาสตร์ เป็นแหล่งประมง รวมทั้งเป็นแหล่งควบคุมอุณหภูมิของโลกด้วย
แต่เมื่อมนุษย์ทำร้ายทะเลหลวงโดยการทำกิจกรรมต่าง ๆ
อย่างไม่ระมัดระวังจึงทำให้โลกต้องผจญกับภาวะโลกร้อนอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ซึ่งปัญหาภาวะโลกร้อนนี้ได้กลายเป็นปัญหาใหญ่และสำคัญระดับโลกไปแล้ว
และในปัจจุบันนี้ได้มีการประชุมเพื่อวางระเบียบและกำหนดมาตรการเพื่อป้องกันไม่ให้ทะเลต้องพบภาวะมลพิษ
เช่น
อนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการเตรียมพร้อมการสนองตอบและความร่วมมือเกี่ยวกับภาวะมลพิษน้ำมัน
ค.ศ. 1990 (International Convention Oil Pollution Preparedness, Response and
Cooperation, 1990) อนุสัญญาระหว่างประเทศเพื่อป้องกันภาวะมลพิษจากเรือ ค.ศ.1973
(International Convention for the Prevention of Pollution from Ships, 1973)
และอนุสัญญาระหว่างประเทศเกี่ยวกับการแทรกแซงในทะเลหลวงในกรณีของความเสียหายจากภาวะมลพิษจากน้ำมัน
ค.ศ.1969 (International Convention Relating to Intervention on the High Seas in
Cases of Oil Pollution Casualties, 1969)
นอกจากนั้นยังมีอนุสัญญาฉบับล่าขึ้นอีกฉบับ
คืออนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการป้องกันมลพิษจากเรือ ค.ศ. 1973 และพิธีสาร ค.ศ.
1978 (International Convention for the Prevention of Pollution from Ships, 1973
as Modified by the Protocol of 1978: MARPOL 73/78)
ซึ่งเป็นอนุสัญญาซึ่งสร้างนั้นมาใช้บังคับกับการป้องกันมลภาวะในทะเลนี้เกิดจากเรือ
ไม่ว่าจะเกิดโดยตั้งใจหรือจากอุบัติเหตุ รวมทั้งควบคุมการปล่อยน้ำมัน
สารเคมีและวัสดุอันตรายในตู้สินค้า น้ำทิ้งและขยะ
การโดยสรุปก็คือ ทะเลซึ่งมีพื้นที่ถึง 71% ของผิวโลก ได้เป็นแหล่งทำมาหากิน
เป็นที่แสวงหาประโยชน์ได้ว่าจะเป็นทรัพยากรที่มีชีวิต หรือไม่มีชีวิต
โดยเฉพาะเป็นเส้นทางคมนาคมมาทุกยุคทุกสมัย
แต่ในที่สุดทะเลกลับต้องได้รับผลกระทบจากกิจกรรมของมนุษย์ทั้งสิ้น ดังนั้น
ถึงเวลาหรือยังที่มนุษย์จะต้องมาช่วยกันดูแลทะเลให้อยู่ในสภาพเดิมอย่างที่เคยเป็นมาและรักษาความเป็นเสรีภาพแห่งท้องทะเลไว้ให้ชนรุ่นหลังได้ใช้ประโยชน์ในเสรีภาพแห่งท้องทะเลต่อไปก่อนที่จะไม่มีทะเลไว้ให้ใช้
บรรณานุกรม
- มัลลิกา พินิจจันทร์. กฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยทะเล. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง, 2547.
- อนุสัญญากรุงเจนีวา ค.ศ. 1958.
- อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982.