สุขภาพ ความงาม อาหารและยา สมุนไพร สาระน่ารู้ >>
กินอาหารลดโลกร้อน
โลกร้อนเป็นมหันตภัยใหม่ที่กำลังส่งผลกระทบต่อทุกประเทศทั่วโลก
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ คนส่วนใหญ่มักนึกถึงวิธีการแก้ปัญหาที่ไกลตัว เช่น
การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากโรงงานอุตสาหกรรมและรถยนต์ น้อยคนจะนึกถึงวิธีง่ายๆ
ที่ทุกคนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการช่วยแก้ปัญหาโลกร้อนได้
นั่นคือการหันมากินอาหารมังสวิรัติ
ก่อนที่จะเข้าใจว่าอาหารมังสวิรัติช่วยลดภาวะโลกร้อนได้อย่างไรนั้น
เราคงต้องทราบก่อนว่าภาวะโลกร้อนจริงๆ แล้วน่ากลัวอย่างไรและเกิดจากอะไรกันแน่
ความน่ากลัวของภาวะโลกร้อน
ภาวะโลกร้อนคือการที่อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มขึ้นเนื่องจากถูกปกคลุมด้วยก๊าซเรือนกระจกมากเกินไป
นักวิทยาศาสตร์ทำนายว่าโลกจะร้อนขึ้นเกือบ 6 องศาเซลเซียส ในอีกร้อยปีข้างหน้า
และที่ขั้วโลกจะมีอุณหภูมิสูงขึ้นถึง 12 องศาเซลเซียส
น้ำแข็งขั้วโลกจะละลายจนเกิดทะเลสาบขนาดใหญ่ขึ้นหลายแห่ง นอกจากนั้น
ยังทำให้ก๊าซมีเทน (อันเกิดจากการย่อยสลายของสารอินทรีย์)
ในปัจจุบันถูกน้ำแข็งปกคลุมอยู่ระเหยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศอีก 4 พันล้านตัน
ซึ่งจะเป็นตัวการเร่งให้โลกร้อนขึ้นอย่างรุนแรงจนในที่สุด
ระดับน้ำทะเลทั่วโลกจะเพิ่มสูงขึ้นถึง 2 ฟุต ระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้นนี้
นอกจากจะทำให้หลายต่อหลายเมืองอาจจมอยู่ใต้น้ำแล้ว
ยังเป็นผลให้น้ำทะเลไหลเข้ามาปนเปื้อนแหล่งน้ำตามธรรมชาติรวมทั้งน้ำใต้ดิน
ทำให้น้ำจืดตามแหล่งน้ำธรรมชาติซึ่งมีอยู่เพียง 2.5 %
ของปริมาณน้ำทั่วโลกยิ่งขาดแคลน
อุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นยังทำให้มีการระบาดของแมลงและเชื้อโรคสายพันธุ์ใหม่และเกิดโรคระบาดใหม่ๆ
ที่รุนแรง การสูญพันธ์ของสัตว์หลายชนิดทำให้ผู้ล่าในห่วงโซ่อาหารมีจำนวนมากขึ้น
สัตว์จะอพยพย้ายถิ่นนอกฤดูกาล
การเปลี่ยนแปลงของอากาศและฤดูกาลที่ผิดปกติทำให้พืชผลได้รับความเสียหายและแหล่งอาหารตามธรรมชาติลดลง
สาเหตุสำคัญที่ทำให้โลกร้อน
ในความรับรู้ทั่วไป
ภาวะโลกร้อนเกิดจากปริมาณของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศโลกเพิ่มสูงขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
เราหันมาให้ความสำคัญกับการลดก๊าซมีเทนกันดีกว่านะคะนอกจากจะไม่ส่งผลกระทบต่อระบบอื่นๆ
โดยเฉพาะระบบเศรษฐกิจซึ่งทำให้ยากแก่การแก้ไขแล้ว
ยังเป็นสิ่งที่ทุกคนทำง่ายและทำได้ทุกวันด้วย การอุปโภค
บริโภคอาหารที่ทำให้เกิดขยะน้อยที่สุดหรือไม่ให้เกิดขยะเลยยิ่งดีนะคะและต้นเหตุสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ
ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ : ตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน
การสะสมของก๊าซมีเทนในชั้นบรรยากาศเกิดจากหลายสาเหตุ
เป็นต้นว่าการถลุงถ่านหิน และบ่อขยะ แต่น้อยคนจะรู้ว่าการเลี้ยงวัวและปศุสัตว์อื่นๆ
เป็นแหล่งผลิตก๊าซมีเทนที่สำคัญ
รายงานขององค์การสหประชาชาติระบุว่าการทำฟาร์มปศุสัตว์
เป็นสาเหตุของภาวะโลกร้อนที่สำคัญกว่าการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากรถยนต์เสียอีก
ก๊าซมีเทนและไนตรัสออกไซด์จะปล่อยออกมาทางลมหายใจ และมูลสัตว์
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าก๊าซมีเทนที่เกิดจากสัตว์ในฟาร์มหลายพันล้านตัวจะเป็นสาเหตุหลักในการทำให้ภูมิอากาศของโลกเปลี่ยนแปลง
หากมองในภาพกว้าง การทำฟาร์มปศุสัตว์ใช้พื้นที่ถึง 2 ใน
3 ของพื้นที่ทำการเกษตรทั่วโลก
ส่วนใหญ่มักทำในประเทศด้อยพัฒนาเพื่อส่งขายให้กับประเทศตะวันตก การทำฟาร์มปศุสัตว์
ขนาดใหญ่ต้องการพื้นที่ขนาดใหญ่ซึ่งนำไปสู่ปัญหาการตัดไม้ทำลายป่า
การเผาถางป่าซึ่งทำให้เกิดภาวะทะเลทรายตามมา
มีการรวบรวมสถิติที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับการกินอาหารฟาสต์ฟู้ด
โดยเปรียบเทียบไว้ว่าแฮมเบอร์เกอร์ 1 ชิ้นจะเท่ากับการสูญเสียพื้นที่ป่าดงดิบไปถึง
55 ตารางฟุต และอย่าลืมว่า 19%
ของก๊าซเรือนกระจกเกิดจากการเผาทำลายป่าซึ่งเป็นแหล่งดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่สำคัญของโลก
ในแต่ละปี การเลี้ยงปศุสัตว์ก่อให้เกิดก๊าซมีเทนสูงถึง 100
ล้านตันและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปีเพราะการบริโภคเนื้อสัตว์ได้เพิ่มสูงขึ้นถึง 5
เท่าจากเมื่อ 50 ปีก่อน จะกินอย่างไร เพื่อลดภาวะโลกร้อน
ขอแนะนำให้กินอาหารมังสวิรัติ ด้วยเหตุผลข้างต้น
และการเปลี่ยนรูปแบบการกินอาหาร (เช่น ลดอาหารประเภทปิ้งและย่าง)
โดยเฉพาะการหันมากินผักแทนเนื้อสัตว์เพื่อให้ลดการเลี้ยงสัตว์ลงจึงเป็นทางออกสำคัญที่ทุกคนสามารถมีส่วนร่วมได้
มีผลวิจัยเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับประเภทของอาหารที่ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจก
ซึ่งพบว่าการผลิตและการกินอาหารอเมริกันทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจกได้มากว่าการกินอาหารมังสวิรัติถึง
1.5 ตันต่อปีและอาหารมังสวิรัติจะช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 3,000
ปอนด์ต่อคนต่อปีเลย
นอกจากนั้น
การหันมากินอาหารมังสวิรัติยังเป็นการส่งเสริมให้มีการปลูกพืชผักมากขึ้น
เพราะพืชผักและต้นไม้เป็นตัวดูดจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่มีอยู่ในอากาศเพื่อใช้ในกระบวนการสังเคราะห์แสง
ดังนั้น
การเพิ่มพื้นที่ทางการเกษตรหรือแม้แต่การปลูกผักสวนครัวก็มีส่วนช่วยลดก๊าซเรือนกระจกได้
ข้อดีอีกประการของการหันมากินพืชผักคือสามารถจัดการกับขยะที่เกิดขึ้นได้ง่ายกว่า
การเผาขยะเป็นแหล่งมลพิษที่สำคัญที่ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจก
แม้การรีไซเคิ้ลจะสามารถลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้
แต่การหันมากินอาหารมังสวิรัติจะสามารถลดปริมาณขยะที่ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่าเนื่องจากพืชมีประสิทธิภาพในการเผาไหม้ได้ดีกว่าเนื้อสัตว์ถึง
15 เท่า ทีนี้การกินมังสวิรัติเพื่อแก้ปัญหาโลกร้อนที่ถูกต้อง
ก็คือควรเลือกกินผักผลไม้ตามฤดูกาลที่มีอยู่ในท้องถิ่น
ส่งเสริมผักผลไม้ที่ใช้วิธีการปลูกตามวิถีพื้นบ้าน
ไม่มีการใช้สารเคมีและไม่มีการตัดต่อพันธุกรรม
การกินผักผลไม้ในท้องถิ่นจะช่วยลดการคมนาคมขนส่งสินค้าจากแดนไกลซึ่งเป็นตัวการอย่างหนึ่งที่ก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
ที่สำคัญ
พืชผักที่มีอยู่ในท้องถิ่นเดิมไม่ผ่านการตัดต่อพันธุกรรมซึ่งอาจเป็นเรื่องหนึ่งที่นักกินมังสวิรัติกังวล
ส่วนที่ว่าควรเลือกกินพืชผักตามฤดูกาลนั้นเนื่องจากการปลูกพืชผักนอกฤดูกาลต้องใช้พลังงานมากกว่าปกติ
10 เท่า โดยเฉพาะการจุดไฟเผาที่โคนต้น
การใช้แสงไฟเพื่อเร่งผลผลิตหรือการเดินทางไปซื้อผลผลิตในแหล่งปลูกที่อยู่ไกล
ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยที่ทำให้โลกร้อนขึ้นทั้งสิ้น
นอกจากนี้
การกินมังสวิรัติเพื่อแก้ปัญหาโลกร้อนยังหมายถึงการกินผักที่ปลูกตามวิถีพื้นบ้านที่ปลอดสารพิษ
วิธีการทำการเกษตรที่ช่วยแก้ปัญหาโลกร้อนได้ดีที่สุดคือการทำเกษตรอินทรีย์
เพราะใช้ปุ๋ยที่ไม่ก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และจะช่วยดูดจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไว้ในดินได้เลยดีกว่าการทำการเกษตรแบบที่ใช้สารเคมี
และอีกวิธีหนึ่ง การปลูกถั่วเหลือง
และข้าวโพดด้วยวิธีการทำเกษตรอินทรีย์จะช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศได้
โลกเราร้อนขึ้นทุกวัน
แต่พวกเราทุกคนก็สามารถช่วยแก้ปัญหาโลกร้อนได้ทุกวันเช่นกันด้วยการหันมาช่วยกันกินอาหารมังสวิรัติก่อนที่ยุคน้ำแข็งครั้งหน้าจะมาถึงก่อนเวลาอันควร
อีกเรื่องที่เราช่วยกันได้คือหลีกเลี่ยงการกินอาหารแช่แข็งเพราะใช้พลังงานในการผลิตสูงถึง
10 เท่าของอาหารทั่วไป
และควรหลีกเลี่ยงการบรรจุอาหารในถุงพลาสติกเพราะจะช่วยลดขยะลงได้ถึง 10 %
ซึ่งเป็นผลไม้สามารถช่วยลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ใน อากาศได้นอกจากนั้น
ยังพบว่าในการผลิตถุงพลาสติก ต้องใช้ต้นไม้
ทำให้เราสูญเสียตัวดูดซับก๊าซเรือนกระจกที่ดีไปไม่น้อยอีกด้วย
นอกจากผลกระทบต่อ โลกมนุษย์ แล้ว
การเกษตรที่ใช้พลังงานมากยังก่อผลกระทบต่อ โลกธรรมชาติ หรือสิ่งแวดล้อมด้วย
รายงานขององค์การสิ่งแวดล้อมโลก แห่งสหประชาชาติระบุว่า
การเกษตรแบบใหม่ที่ขยายตัวอย่างเข้มข้นทั่วโลก การเผาไหม้เชื้อเพลิง ฟอสซิล
การปลูกพืชตระกูลถั่วอย่างกว้างขวาง การใช้ปุ๋ยซึ่งส่วนมากเป็นปุ๋ยไนโตรเจน (N)
อย่างมากมาย
ได้ก่อผลกระทบปริมาณของไนโตรเจนตามธรรมชาติในระบบนิเวศทั้งในดินและในน้ำ
ทำให้มีปริมาณไนโตรเจนมากเกินขนาด จนระบบนิเวศเสียสมดุลเกิดผลเสียมากมาย
จะเห็นได้ว่ารูปแบบการกินของเราเป็นตัวกำหนดการใช้พลังงานและผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมจากการเกษตรด้วย
หากเรายังมุ่งกินอย่างทันสมัยตามแบบตะวันตกหรือการกินนอกฤดูกาล นอกระบบนิเวศ
(ร้อนชื้น) การผลิตในภาคการเกษตรจะต้องใช้พลังงานทั้งทางตรงและทางอ้อมมาก
โชคดีที่ปัจจุบันเรามีทางเลือกที่จะบริโภคแบบไม่ทำลายพลังงานและสิ่งแวดล้อมได้มากขึ้น
เพราะมีการผลิตในระบบเกษตรกรรมธรรมชาติมากขึ้น มีการส่งเสริมระบบเศรษฐกิจพอเพียง
ซึ่งเป็นเกษตรกรรมที่อนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม
ใช้พลังงานทั้งทางตรงและทางอ้อมน้อยกว่า รักษาสมดุลของระบบนิเวศมากกว่า
นอกจากนี้ยังพิสูจน์แล้วว่าได้ผลผลิตไม่น้อยไปกว่าเกษตรกรรมเคมี ข้อสำคัญที่สุดคือ
ให้ผลผลิตอย่างยั่งยืนแก่ผู้ผลิต และเป็นมิตรกับผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม
เราจึงมีทางเลือกว่า อาหารจานต่อไป ของเราจะลงทุนด้วยพลังงานและสิ่งแวดล้อมแบบไหน
ทำลายหรืออนุรักษ์ธรรมชาติ คำตอบอยู่ที่อาหารมื้อนั้น
เราคิดถึงพลังงานและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนหรือไม่ นอกจากความอร่อยและ ทันสมัย
ถึงเวลาแล้วที่เราทุกคนต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตของเราให้กลับมาใกล้ชิดธรรมชาติยิ่งขึ้น
โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน
เพียงเลือกกินพืชผักผลไม้ที่ผลิตด้วยวิธีการแบบธรรมชาติให้มากขึ้น
กินอาหารตามฤดูกาล และลดปริมาณอาหารที่ผลาญพลังงานอย่างเนื้อสัตว์และน้ำตาลลง
เราก็ได้ช่วยลดการใช้พลังงาน ลดภาวะโลกร้อน และช่วยโลกอีกหลายด้านในคราวเดียว
ดีต่อโลก แถมดีต่อสุขภาพอย่างนี้ ต้องร่วมแรงร่วมใจกันทำเพื่ออนาคตของโลกเราทุกคน
สาเหตุการเกิดมลภาวะโลกร้อน
เศรษฐกิจและการเงินโลกกับภาวะโลกร้อน
โลกร้อน สาเหตุ 10 ปรากฏการณ์ประหลาด
ภาวะโลกร้อน
ผลกระทบต่อระดับน้ำทะเลขึ้นสูง
ภาวะโลกร้อนกับชีวิตพอเพียง
ภาวะโลกร้อนกับการประมง
ฟันฉลาม ไขปริศนาภาวะโลกร้อน
ถุงพลาสติกกับภาวะโลกร้อน
หลอดตะเกียบ ประหยัดไฟลดภัยโลกร้อน
กินอาหารลดโลกร้อน
80
วิธีลดภาวะโลกร้อน
10 ข้อ ใกล้ตัวลดโลกร้อน
ฉลากคาร์บอน
ผลกระทบจากภาวะโลกร้อนที่มีต่อเกษตรไทย
ประเทศไทยกับภาวะโลกร้อน
เตรียมรับมือกับภาวะโลกร้อน