สุขภาพ ความงาม อาหารและยา สมุนไพร สาระน่ารู้ >>
โรคไข้ริฟต์วาลเลย์
(Rift Valley fever, RVF)
สำนักโรคติดต่ออุบัติใหม่ กรมควบคุมโรค พฤษภาคม 2553
โรคไข้ริฟต์ วาลเลย์ (Rift Valley fever,
RVF) เป็นโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน
ซึ่งโรคสามารถก่อให้เกิดโรคและอาจเกิดอาการรุนแรงทั้งในสัตว์และคน
โดยการระบาดของโรคก่อให้ความเสียหายทางเศรษฐกิจที่สำคัญ
เนื่องจากการตายและการแท้งในสัตว์ที่มีการติดเชื้อไวรัสริฟต์วาลเลย์
เชื้อสาเหตุ : เกิดจากเชื้อไวรัสริฟต์ วาลเลย์ (Rift Valley Fever virus)
อยู่ในกลุ่ม (genus) Phlebovirus ซึ่งเป็นสมาชิกของวงศ์ (family) Bunyaviridae
แยกเชื้อได้ครั้งแรกในที่หุบเขาริฟต์ วาลเลย์ ในประเทศเคนยา ทวีปแอฟริกา
หลังจากนั้นก็พบการรายงานการระบาดของโรคใน sub - Saharan และแอฟริกาเหนือ ระหว่าง
ค.ศ.1997-1998 เกิดการระบาดใหญ่เกิดขึ้นในประเทศเคนยา และในเดือนกันยายน ค.ศ. 2000
พบในประเทศโซมาเลีย และแทนซาเนีย
และมีรายงานการพบผู้ป่วยยืนยันในประเทศซาอุดีอาระเบีย และเยเมน
ซึ่งเป็นการพบการรายงานการเกิดโรคนอกทวีปแอฟริกา
และเพิ่มความกังวลว่าอาจขยายถึงส่วนอื่นๆ ในทวีปเอเชียและยุโรป
การติดเชื้อในคน
ส่วนใหญ่การติดเชื้อในคน เกิดจากการติดต่อโดยตรงหรือทางอ้อม
จากการสัมผัสเลือดหรืออวัยวะของสัตว์ที่ติดเชื้อ
โดยไวรัสสามารถแพร่สู่คนได้ในระหว่างการฆ่าหรือการชำแหละสัตว์ที่ติดเชื้อไวรัส
การทำคลอด การดูแลหรือให้การรักษาสัตว์ หรือการทำลายซากสัตว์ กลุ่มเกษตรกร
คนงานโรงฆ่าสัตว์ และสัตวแพทย์จึงมีความเสี่ยงสูงของการติดเชื้อ
โดยไวรัสสามารถแพร่กระจายเชื้อผ่านทางแผล
หรือการสูดดมละอองฝอยในระหว่างการฆ่าสัตว์ที่ติดเชื้อ
ซึ่งการแพร่เชื้อผ่านทางการสูดดมละอองฝอย
สามารถเกิดขึ้นกับผู้ปฏิบัติงานในห้องปฏิบัติการได้ด้วย
- มีหลักฐานว่าคนอาจติดเชื้อ RVF ได้จากการดื่มนมที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการพาสเจอร์ไรส์ หรือการรับประทานน้ำนมดิบของสัตว์ที่ติดเชื้อ
- ยุงโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยุงลาย (Aedes sp.) สามารถแพร่กระจายเชื้อไวรัส RVF ได้
- แมลงบินที่ดูดเลือดสามารถนำเชื้อได้เช่นเดียวกัน
- ปัจจุบันยังไม่มีรายงานการแพร่กระจายเชื้อระหว่างคนสู่คน และยังไม่พบรายงานการติดเชื้อในกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์
- ยังไม่พบรายงานการระบาดของ RVF ในพื้นที่เขตเมือง
ลักษณะอาการ
ลักษณะอาการไม่รุนแรง (Mild)
- ระยะเวลาในการฟักตัวของเชื้อไวรัส RVF (ตั้งแต่ได้รับเชื้อจนเริ่มปรากฏอาการ) อยู่ในช่วง 2-6 วัน
- ผู้ที่ได้รับเชื้ออาจไม่แสดงอาการโรค หรือมีอาการไม่รุนแรง โดยลักษณะอาการที่แสดง คือ มีไข้ฉับพลัน ปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ ปวดศีรษะ
- ผู้ป่วยส่วนใหญ่ จะมีอาการคอแข็ง แพ้แสง เบื่ออาหาร อาเจียน ในระยะแรกอาจจะทำให้วินิจฉัยผิดพลาดเป็นโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบได้
- ภายหลังผู้ป่วยมีอาการได้ 4-7 วัน จะตรวจพบการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน คือ ตรวจพบแอนติบอดีต่อเชื้อ และไวรัสค่อยๆ หายไปจากเลือด
ลักษณะอาการรุนแรง (Severe) ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการรุนแรง โดยลักษณะอาการรุนแรงที่พบ อาจพบได้มากกว่า 1ใน 3 กลุ่ม คือ ocular (eye) disease (0.5-2% ของผู้ป่วย), meningoencephalitis (พบน้อยกว่า 1% ของผู้ป่วย) และ haemorrhagic fever (พบน้อยกว่า 1% ของผู้ป่วย)
- รูปแบบอาการ ocular (eye) disease :
ลักษณะอาการนี้จะมีความเชื่อมโยงกับกลุ่มอาการที่ไม่รุนแรง
โดยผู้ป่วยจะเกิดรอยโรคบนจอประสาทตา และจะมีอาการประมาณ 1-3
สัปดาห์หลังจากที่แสดงอาการแรก โดยผู้ป่วยมักจะตาพร่า
หรือประสิทธิภาพการมองเห็นลดลง โรคสามารถหายได้เองภายใน 10-12 สัปดาห์
แต่หากเกิดแผลใน macula พบว่าผู้ป่วย 50% จะสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวร
การตายในผู้ป่วยที่มีอาการทางตาเพียงอย่างเดียวเป็นเรื่องที่ผิดปกติ
- รูปแบบอาการ Meningoencephalitis : กลุ่มอาการนี้ จะแสดงเมื่อ 1-4 สัปดาห์
หลังจากเริ่มมีอาการแรกของโรค ลักษณะอาการทางคลินิกที่พบ คือ
มีอาการปวดศีรษะรุนแรง สูญเสียของความจำ เกิดภาพหลอน มีความสับสน เวียนศีรษะ
ชัก ซึม และไม่รู้สึกตัว ภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาทจะปรากฏภายหลัง(มากกว่า 60
วัน) อัตราตายในผู้ป่วยกลุ่มนี้จะต่ำ
ถึงแม้ว่าจะมีอาการหลงเหลือจากการติดเชื้อทางระบบประสาท
ซึ่งอาจจะทำให้มีอาการรุนแรงก็เป็นเรื่องที่พบได้บ่อย
- รูปแบบอาการ haemorrhagic fever : อาการแสดงของโรคจะเริ่มปรากฏ 2-4 วันหลังจากเริ่มป่วย โดยผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการตับทำงานลดลงอย่างรุนแรง เช่น อาการดีซ่าน เป็นต้น ต่อมาเริ่มปรากฏอาการเลือดออก เช่น อาเจียนเป็นเลือด มีเลือดปนอุจจาระ มีผื่นจ้ำเขียว (ซึ่งเกิดจากเลือดออกใต้ผิวหนัง subcutaneous) มีเลือดออกจากจมูกหรือเหงือก เป็นต้น อัตราการป่วยตายของผู้ป่วยในกลุ่ม haemorrhagic fever ประมาณ 50% การตายมักจะเกิดขึ้นภายใน 3-6 วัน หลังจากเริ่มมีอาการป่วย โดยสามารถตรวจพบเชื้อไวรัสในกระแสเลือดของผุ้ป่วยกลุ่มนี้ ตั้งแต่เริ่มแรกจนถึง 10 วัน
การวินิจฉัยโรค
การวินิจฉัยโรคนี้ ใช้ Serological Test เช่น enzyme-linked immunoassay (ELISA
หรือ EIA) ซึ่งใช้ยืนยัน specific IgM antibodies ต่อไวรัส นอกจากนี้
ยังสามารถตรวจวินิจฉัยได้ด้วยเทคนิค virus propagation, antigen detection tests
และ RT-PCR
การรักษาและการใช้วัคซีน
ใช้การรักษาแบบประคับประคอง
ไม่มีการรักษาจำเพาะ ส่วนวัคซีนขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการศึกษาทดลอง
การควบคุมป้องกันโรค
ในการระบาดของ RVF
การสัมผัสใกล้ชิดกับสัตว์
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับของเหลวในร่างกายสัตว์ทั้งการสัมผัสโดยตรง หรือละอองในอากาศ
เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่สุดสำหรับการติดเชื้อไวรัส RVF ดังนั้น
ควรเพิ่มความตระหนักของของประชาชน ในการลดปัจจัยเสี่ยงของการติดเชื้อ RVF
เพื่อจะลดการติดเชื้อและเสียชีวิตของมนุษย์ได้
ข้อแนะนำที่ใช้ในการสื่อสารความเสี่ยงกับประชาชน ได้แก่
- ลดความเสี่ยงที่เกิดจากการเลี้ยงสัตว์และการฆ่า ที่อาจไม่ปลอดภัย ควรสวมถุงมือ และชุดป้องกันที่เหมาะสมทุกครั้ง เมื่อดูแลสัตว์ป่วย หรือการสัมผัสกับเนื้อเยื่อเมื่อมีการฆ่าสัตว์
- ลดความเสี่ยงที่เกิดจากการบริโภค เช่น การรับประทานเนื้อที่ไม่ปรุงสุก หรือน้ำนมดิบ ดังนั้น ควรจะรับประทานอาหารที่สุกอย่างทั่วถึง
- บุคคลและชุมชน ควรป้องกันยุงกัด โดยการใช้มุ้ง ขับไล่แมลง และควรสวมเสื้อผ้าสีอ่อน (เสื้อแขนยาวและกางเกง) และหลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้งในเวลาที่ยุงจะกัดสูงสุด
เอกสารอ้างอิง
- World Health Organization (WHO). Rift Valley fever Fact Sheet; Revised May 2010.[cited 2010 April 20]; Available from: URL:http://www.who.int/mediacentre/factsheets/fs207/en/