วิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา >>
ป่าเมี่ยง, สวนเมี่ยง ชา และเมี่ยง
การกระจายของต้นชา
ความเป็นมาของชนกลุ่มที่ปลูกชาเมี่ยง
ป่าเมี่ยง พื้นที่กันชนที่ป้องกันแหล่งต้นน้ำ
การใช้ประโยชน์ที่ดินในหมู่บ้านป่าเมี่ยง
โครงสร้างและความหลากหลายทางชีวภาพของป่าเมี่ยง
ต้นไม้ควบคุมบรรยากาศใกล้ผิวดินในป่าเมี่ยง
ต้นไม้ช่วยควบคุมการหมุนเวียนของธาตุอาหาร
รากของต้นไม้ป่าถ่ายทอดน้ำและธาตุอาหารให้กับรากของต้นชา
บทบาทของพืชต่อการควบคุมการชะล้างพังทลายของดิน
บทบาทของไม้พื้นล่างต่อการงอกของเมล็ดไม้และการรอดตายของกล้าไม้
การปลูกและผลิตเมี่ยง
ข้อเสนอแนะ
เอกสารอ้างอิง
การปลูกและผลิตเมี่ยง
ต้นชาหรือต้นเมี่ยงขึ้นทั่วไปในป่าบนภูเขาในภาคเหนือ
แม้แต่ในพื้นที่ยังไม่มีการเกษตรกรรม (Keen, 1978) ต้นชาที่พบมีขนาดเล็ก สูงประมาณ
5 เมตร ซึ่งเป็นลักษณะทั่วไปของชาตระกูลอัสสัม และกัมพูชา (Eden, 1976)
Weatherstone (1992)
อธิบายว่าชาดั้งเดิมในบริเวณเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีความสูงประมาณ 12-15 เมตร
จากการสำรวจต้นชาธรรมชาติที่สันเขาบริเวณบ้านแม่ตอนหลวงพบต้นเมี่ยงมีขนาดใหญ่สูงมากกว่า
15 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลางที่อกประมาณ 60 เซนติเมตร Preechapanya (1996)
ให้ความเห็นว่าพันธุ์ชาที่เหมาะสมในสภาพร่มเงาควรมีใบใหญ่ และวางตัวแนวนอน
เพื่อสามารถสังเคราะห์แสงได้มาก
Harler (1964) อธิบายว่าลักษณะอากาศที่แห้งสลับชื้น
และดินที่เป็นกรดเล็กน้อย
บนภูเขาในภาคเหนือของประเทศไทยเหมาะแก่การเจริญเติบโตของชาเป็นอย่างยิ่ง Kunstadter
(1978) อธิบายว่าสวนชาเมี่ยงส่วนใหญ่ขึ้นอยู่บนพื้นที่สูงตั้งแต่ 900 - 1,400
เมตรจากระดับน้ำทะเล และพบส่วนใหญ่ขึ้นอยู่ในพื้นที่เป็นป่าดิบเขา
ป่าเมี่ยงประกอบด้วยองค์ประกอบหลักทางนิเวศ คือ ต้นไม้ป่า ไม้พื้นล่าง
สัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะวัว และสัตว์ป่าขนาดเล็ก ที่ประกอบด้วย กระรอก นก อีเห็น
และสัตว์เลื้อยคลาน ชาวป่าเมี่ยงรู้จักใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ในสวน
เพื่อการควบคุมลักษณะอุตุนิยมใกล้ผิวดิน การหมุนเวียนของธาตุอาหาร
และการป้องกันการชะล้างพังทลายของดิน
ในระดับที่เข้าใจถึงประโยชน์ที่ได้รับจากสิ่งที่มีชีวิตนั้นๆ
แต่ไม่สามารถอธิบายถึงเหตุผลของขบวนการ
Preechapanya (1996)
พบระบบวนวัฒน์วิธีของการจัดการป่าไม้ของชาวสวนเมี่ยงหลายวิธี เช่น
ปลูกกล้าชาใกล้ต้นไม้ป่าในขณะที่ต้นไม้นั้นยังเป็นกล้าไม้ หรือไม้ขนาดกลาง
(Sapling) หากพบกล้าชาขึ้นโดยที่ไม่มีไม้ป่าขึ้น ก็จะหากล้าไม้ป่ามาปลูกใกล้ๆ
การเลือกระยะเวลาตัดต้นไม้ในช่วงที่ปลายฤดูแล้งเพื่อให้ตอไม้ที่เหลือมีโอกาสแตกหน่อออกมาได้
การตัดต้นไม้แบบเลือกตัด เพื่อลดผลกระทบจากการชะล้างพังทลายของดิน
และความรุนแรงของพลังงานจากแสงแดด โดยเปิดโอกาสให้ระบบนิเวศซ่อมแซมตัวเอง
ในบางสวนเกษตรกรปลูกต้นไม้เสริม ส่วนใหญ่แล้วเกษตรกรนิยมปลูกไม้ทะโล้ และก่อแป้น
ทั้งนี้เพราะว่าไม้ทั้งสองให้พลังงานความร้อนสูง
หากเปรียบเทียบความหลากหลายทางธรรมชาติของชนิดไม้ในสวนเมี่ยงกับป่าธรรมชาติ
พบว่าสวนเมี่ยงมีจำนวนชนิดไม้มากกว่า แต่มีไม้ต้นใหญ่น้อยกว่า ทั้งนี้เพราะว่า
สวนเมี่ยงอยู่ในช่วงของการช่อมแซมตัวเองจึงมีกล้าไม้หลายชนิดเข้ามาแข่งขันจำนวนมาก
ส่วนป่าธรรมชาติอยู่ในช่วงที่สมบูรณ์ (Climax stage) จึงมีชนิดของพันธุ์พืชน้อยกว่า
ทั้งนี้เพราะว่าไม้หลายชนิดไม่อาจอยู่รอดในระบบนิเวศที่สมบูรณ์แล้ว
Cattilo (1991), Preechapanya (1996) พบว่าไม่มีการใส่ปุ๋ย
และพ่นสารเพื่อป้องกันกำจัดศัตรูพืชในสวนเมี่ยง ซึ่งแสดงว่าไม่มีปัญหาดินเสื่อม
และศัตรูพืช
นอกจากนั้นในสวนเมี่ยงเกษตรกรบางคนยังนำวัวของตนเองไปเลี้ยงให้แทะเล็มหญ้า
และกินผลไม้ป่า วัวถูกปล่อยให้เดินได้อิสระแม้แต่ในสวนของผู้อื่น และป่าธรรมชาติ
โดยวัวช่วยกำจัดวัชพืช
พืชที่เป็นกาฝากเกาะที่บนต้นชา ได้แก่ Scurrula gracilifolia และ
Helixanthera parasitica โดยชาวสวนเมี่ยงมักเก็บใบของ S. gracilifolia
ในช่วงฤดูแล้งเพื่อทำชาจีนที่มีคุณภาพต่ำ
กาฝากทั้งสองขึ้นบนต้นเมี่ยงเนื่องจากนกกินเมล็ดแล้วถ่ายลงบนทรงพุ่มของต้นเมี่ยง
ถ้าไม่ดูแลรักษาโดยการเก็บหรือตัดออกนานไปจะทำให้ต้นชาตายในที่สุด
และเนื่องจากมีความชื้นมากในสวนเมี่ยงบางแห่ง
ทำให้พบกล้วยไม้ที่เกาะอยู่บนทรงพุ่มของต้นเมี่ยง ได้แก่ Dendrobium sp และ Vanda
denisonisns นอกจากนั้นพบสาหร่ายบางชนิดบนลำต้นของต้นเมี่ยง
โรคของต้นเมี่ยงเท่าที่พบ ได้แก่โรคใบจุดชนิดที่เรียกว่า Grey blight
และ Brown blight ซึ่งเกิดจากเชื้อ Pestalotia theae และ Collectotrichum camilliae
ตามลำดับ
โรคทั้งสองเกิดจากการที่มีรอยช้ำบนใบที่เปิดโอกาสให้เชื้อโรคเข้าทำลายได้ง่าย
(Rattan, 1992) อย่างไรก็ตามโรคเหล่านี้มิใช่โรคที่มีการระบาดรุนแรง
และไม่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ
กิจกรรมการผลิตเมี่ยงจากการศึกษาที่บ้านแม่ตอนหลวง Preechapanya (1996)
ตามรูปที่ 3 พบว่า ในช่วงแรกซึ่งเป็นฤดูแล้ง
เกษตรกรส่วนใหญ่ใช้เวลาไปกับการตัดต้นไม้เพื่อใช้ทำเป็นฟืนเตรียมไว้นึ่งเมี่ยง
เตรียมตอกสำหรับมัดเมี่ยง และสานตะกร้าสำหรับเก็บใบเมี่ยง
เกษตรกรบางคนใช้เวลาว่างในการเก็บใบชาใบแก่เพื่อผลิตเป็นใบชาตากแห้งโดยไม่ต้องนึ่ง
มีคุณภาพต่ำ ใช้ผสมในชาจีนคุณภาพต่ำขายในราคาถูก
หรือนำไปใส่ในบ่อเลี้ยงปลาหลังจากที่จับปลาเพื่อปรับสภาพความเป็นกรดเป็นด่างในบ่อปลา
ช่วงการเก็บใบเมี่ยงแบ่งออกเป็น 4 ช่วง
โดยเรียกผลผลิตที่เก็บได้แตกต่างกันไปตามช่วงเวลา ได้แก่ เมี่ยงหัวปี เมี่ยงกลาง
เมี่ยงซ้อย และเมี่ยงเหมย 'เมี่ยงหัวปี'
เป็นเมี่ยงที่เก็บในช่วงต้นฤดูการเก็บเกี่ยวชึ่งเป็นต้นฤดูฝนในเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม
จากนั้นฝนทิ้งช่วงประมาณ 15 วัน และเริ่มตกอีกครั้งประมาณกลางเดือนพฤษภาคม
เกษตรกรทิ้งช่วงให้ต้นเมี่ยงผลิตใบใหม่อีกครั้ง โดยเริ่มเก็บใหม่ในเดือนมิถุนายน
และเก็บไปจนถึงเดือนกรกฎาคม ในระยะนี้เรียกเมี่ยงที่เก็บได้ว่า'เมี่ยงกลาง'
ชึ่งเป็นช่วงที่ให้ผลผลิตมากที่สุดทั้งนี้เพราะว่าเป็นช่วงที่มีฝนตกมาก
แต่อย่างไรก็ตาม Cattilo (1990) พบที่บ้านกิ่วถ้วย
เมี่ยงหัวปีให้ผลผลิตมากกว่าเมี่ยงกลาง
โดยให้เหตุผลว่าเมี่ยงหัวปีมีช่วงพักที่ยาวนานกว่า ผลผลิตในช่วงถัดมาที่เรียกกันว่า
'เมี่ยงซ้อย' โดยเก็บในช่วงปลายฝนประมาณเดือนสิงหาคมถึงเดือนกันยายน
ส่วนเมี่ยงชุดสุดท้ายที่เรียกว่า 'เมี่ยงเหมย'
ซึ่งเป็นเมี่ยงที่เก็บในช่วงต้นฤดูหนาวที่ความชื้นของบรรยากาศ และในดินยังมากพอ
ประกอบกับเป็นช่วงที่เกิดน้ำค้างมาก เมี่ยงชุดนี้มีคุณภาพที่ดีมากแต่มีผลผลิตน้อย
ใบเมี่ยงมากกว่า 2/3
ถูกเก็บด้วยมือที่สวมนิ้วชี้ด้วยปลอกที่ติดใบมีดโกนเพื่อให้ง่ายต่อการตัดใบเมี่ยง
หากต้นเมี่ยงสูง คนเก็บเมี่ยงมักใช้ไม้ทำเป็นบันไดขึ้นไปเก็บ
หรืออาจโน้มต้นลงมาเก็บ
คนเก็บเมี่ยงมีตะกร้าสำหรับเก็บใบเมี่ยงพร้อมกับตอกสำหรับใช้มัดเมี่ยงที่มีขนาดกว้างประมาณ
1-1.5 เซนติเมตร และยาวประมาณ 30-40 เซนติเมตร
เมื่อเก็บเมี่ยงได้จำนวนมากเท่ากำมือก็มัดรวมกันเรียกเมี่ยงที่มัดรวมกันเป็น 'กำ'
ในวันหนึ่งเก็บเมี่ยงได้ประมาณ 30-50 กำ (Cattilo, 1990; Preechapanya, 1996)
พบว่าครอบครัวหนึ่งเก็บเมี่ยงเฉลี่ยประมาณ 7,500 กำ ต่อ ปี
Preechapanya (1996)
ศึกษารายได้ของชุมชนป่าเมี่ยงพบว่ารายได้หลักของครอบครัวได้จากผลผลิตเมี่ยงและผลผลิตอื่นจากต้นเมี่ยงดังแสดงในตารางที่
4 ซึ่งรายได้ทั้งหมดประมาณครอบครัวละ 39,000 บาท
สองในสามเป็นรายได้จากผลผลิตจากต้นชา ต่างจากการศึกษาของ Cattilo (1990)
ที่ศึกษาที่บ้านกิ่วถ้วยในปี พ.ศ. 2526 พบว่ารายได้เฉลี่ยประมาณ 10,000 บาท ต่อ
ครอบครัว หากเทียบรายประชาชาติเฉลี่ยประมาณ 54,000 บาท ต่อครอบครัว ในปี พ.ศ. 2530
(The Economist, 1994) รายได้ของชาวสวนเมี่ยงดี
และอยู่ในสภาพที่สามารถยังชีพอยู่ได้หากไม่มีรายจ่ายมากนัก