วิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา >>

ป่าเมี่ยง

ป่าเมี่ยง, สวนเมี่ยง ชา และเมี่ยง
การกระจายของต้นชา
ความเป็นมาของชนกลุ่มที่ปลูกชาเมี่ยง
ป่าเมี่ยง พื้นที่กันชนที่ป้องกันแหล่งต้นน้ำ
การใช้ประโยชน์ที่ดินในหมู่บ้านป่าเมี่ยง
โครงสร้างและความหลากหลายทางชีวภาพของป่าเมี่ยง
ต้นไม้ควบคุมบรรยากาศใกล้ผิวดินในป่าเมี่ยง
ต้นไม้ช่วยควบคุมการหมุนเวียนของธาตุอาหาร
รากของต้นไม้ป่าถ่ายทอดน้ำและธาตุอาหารให้กับรากของต้นชา
บทบาทของพืชต่อการควบคุมการชะล้างพังทลายของดิน
บทบาทของไม้พื้นล่างต่อการงอกของเมล็ดไม้และการรอดตายของกล้าไม้
การปลูกและผลิตเมี่ยง
ข้อเสนอแนะ
เอกสารอ้างอิง

ป่าเมี่ยง, สวนเมี่ยง ชา และเมี่ยง

'ป่าเมี่ยง' (Jungle tea) หรือ 'สวนเมี่ยง' (Tea garden) คำสองคำนี้มีความหมายที่แตกต่างกันในภาษาไทยและภาษาอังกฤษ โดยที่ 'ป่า' หรือ 'jungle' หมายถึง พื้นที่ที่มีต้นไม้ขึ้นเองตามธรรมชาติ และเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า ในขณะที่ 'สวน' หรือ 'garden' หมายถึง พื้นที่ที่ใช้ปลูกต้นไม้ ในภาษาไทยไม่จำกัดขนาดของพื้นที่ ในขณะที่ภาษาอังกฤษ หมายถึง พื้นที่ขนาดเล็ก เช่น สวนหลังบ้าน แต่สำหรับในความหมายของชาวสวนเมี่ยง หรือคนท้องถิ่นในภาคเหนือ 'ป่าเมี่ยง' และ 'สวนเมี่ยง' มีความหมายเดียวกัน ทั้งนี้เพราะว่าเป็นพื้นที่สวนที่มีลักษณะป่า กล่าวคือ ต้นไม้ที่ขึ้นไม่เป็นระเบียบเป็นแถวเป็นแนว มีลักษณะคล้ายป่า แต่เนื่องจากการมีต้นชา หรือ ต้นเมี่ยง และในพื้นที่ของเกษตรกรแต่ละครอบครัวมีขนาดเล็ก ทำให้มีความรู้สึกว่าเป็นการทำสวน แต่เนื่องจากสวนเหล่านี้ต่อกันเป็นผืนใหญ่ ไม่มีรั้วกั้นเหมือนการทำสวนทั่วไป ทำให้มีสภาพเป็นการปลูกพืชพื้นที่ผืนใหญ่ หรือ 'plantation' ดังนั้นจึงเรียกกันทั่วไปว่า ป่าเมี่ยง หรือสวนเมี่ยง แต่ส่วนใหญ่แล้วนิยมเรียกกันว่า 'ป่าเมี่ยง' มากกว่า เรียกเกษตรกรผู้ปลูก และผลิตเมี่ยงว่า 'ชาวป่าเมี่ยง' และเรียกหมู่บ้านที่เกษตรกรเหล่านั้นอยู่ว่า 'บ้านป่าเมี่ยง'

'เมี่ยง' เป็นคำเมืองในภาคเหนือ มีความหมายว่า 'ชา' ใบชาที่หมักไว้ระยะเวลาหนึ่ง แล้วจึงนำมาใช้บริโภคโดยการอม และดูด ผสมกับเกลือหรือน้ำตาล นิยมใช้บริโภคในชนบทภาคเหนือตอนบนเรียกกันว่า 'ใบเมี่ยง' ส่วนในรัฐฉาน ชาวไทยใหญ่เรียกว่า 'leppet-so' (Keen, 1978)

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย