เทคโนโลยี นวัตกรรม สิ่งประดิษฐ์ วิศวกรรม เกษตรศาสตร์ >>

นวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการศึกษา

สื่อมวลชนกับการศึกษานอกระบบโรงเรียน

ดังกล่าวมาแล้วว่า การศึกษานอกระบบเป็นการจัดการศึกษาหลายๆ ลักษณะ เพื่อตอบสนองความต้องการของคนกลุ่มหนึ่งในช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น การจัดดำเนินการในเรื่องต่างๆ จึงมีลักษณะยืดหยุ่นไม่แน่นอนตายตัว เช่น ในเรื่องของหลักสูตรที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ หลักสูตรใดที่มีคนต้องการเรียนมากก็จะใช้อยู่นาน หลักสูตรที่ไม่มีผู้เรียนแล้วก็ยกเลิกไป แล้วสร้างหลักสูตรใหม่ขึ้นมาใช้แทนเรื่อยไป เมื่อเวลาผ่านไปหากมีคนต้องการเรียนในหลักสูตรเดิมที่เคยเปิดสอนมาแล้ว ก็สามารถนำมาใช้ได้อีก เวลาสำหรับการเรียนอาจใช้เวลาตั้งแต่เริ่มเรียนจนถึงจบหลักสูตร เพียง 2-3 ชั่วโมง หรืออาจใช้เวลาเป็นปีก็ได้ แต่ส่วนใหญ่มักเป็นหลักสูตรระยะสั้น หน่วยงานที่จัดการศึกษานอกโรงเรียน รับผิดชอบงานด้านนี้ก็เป็นเพียงการประสานงาน หรือจัดการศึกษาได้เพียงส่วนน้อยเท่านั้น การจัดการศึกษาที่ไม่มีระบบแน่นอนและกระจัดกระจายเช่นนี้ บางคนอาจเห็นว่าเป็นการศึกษาที่มีประโยชน์น้อยไม่น่าเชื่อถือ คาดเดาความสำเร็จได้ยาก

ความจริงการจัดการศึกษาอบรมที่อยู่นอกระบบโรงเรียนในปัจจุบัน เป็นสิ่งที่มีคุณค่าและดำเนินการมาอย่างได้ผล เนื่องจากส่วนใหญ่สอนตามหลักสูตรที่คนต้องการเรียนจริงๆ วิธีการเรียนก็ใช้การปฏิบัติที่ผู้เรียนสามารถนำไปใช้ได้โดยตรง เนื้อหาด้านหลักทฤษฎีต่างๆ จะสอนเท่าที่จำเป็นเท่านั้น ตัวอย่าง เช่น การสอนตัดเย็บเสื้อผ้า ซ่อมรถยนต์ เพาะเห็ด การทำขนม อาจใช้เวลาเรียนเพียง 3 วัน ก็สามารถเรียนรู้และนำไปใช้ประกอบอาชีพในเบื้องต้นได้ ซึ่งมีตัวอย่างให้เห็นอยู่ทั่วไป

ลักษณะของหลักสูตรเนื้อหาและสถานการณ์ ของการศึกษานอกระบบ หากนำไปเปรียบเทียบกับการนำเสนอความรู้ข่าวสารของสื่อมวลชนต่างๆ ในปัจจุบัน จะเห็นได้ว่า มีลักษณะที่สอดคล้องกัน ซึ่งลักษณะที่สอดคล้องกันระหว่างการศึกษาที่จัดนอกระบบ กับการศึกษาที่ได้รับจากสื่อมวลชน สรุปเป็นข้อๆ ได้ดังนี้ คือ

  1. ความรู้ข่าวสารที่นำเสนอทางสื่อมวลชน ส่วนใหญ่จะเป็นเนื้อหาสั้นๆ นำเสนอทีละน้อยใช้เวลาสั้นๆ หลายๆ ครั้ง ให้ผู้รับนำไปเชื่อมโยงกันเอง เพราะหากนำเสนอเนื้อหามากใช้เวลานาน ผู้รับจะขาดความสนใจ ซึ่งนักการศึกษาบางท่าน เรียกการนำเสนอลักษณะนี้ว่า เป็นวัฒนธรรมแบบโมเสก ( Mosaic Culture ) ซึ่งหมายถึงความรู้ข่าวสารถูกแบ่งแยกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
  2. คัดเลือกเนื้อหาของข่าวสารตามความสนใจของผู้รับ นำเสนอเฉพาะเรื่องที่คนสนใจเป็นหลัก เรื่องใดที่คนสนใจมากก็ใช้เวลานำเสนอรายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อกันนาน หรือนำเรื่องเดิมมาเสนอซ้ำอีก
  3. เสนอความรู้ข่าวสาร ตามเวลาและสถานการณ์ที่เหมาะสม สื่อมวลชนถือเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องพิจารณาว่า ความรู้ข่าวสารใดมีความสำคัญ และเหมาะสมที่จะนำเสนอในเวลา และสถานการณ์ใด เช่น วิทยุโทรทัศน์ นำเสนอรายการสำหรับเด็กในช่วงเวลาหลังเลิกเรียน หรือวันหยุด ในภาวะที่เกิดโรคระบาดของสัตว์เลี้ยง สื่อมวลชนก็นำเสนอวิธีป้องกัน เป็นต้น
  4. มุ่งกระจายความรู้ข่าวสารให้ทั่วถึงมวลชน หรือ ประชาชนส่วนใหญ่ เช่นเดียวกับการศึกษานอกระบบ ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อเปิดโอกาสทางการศึกษาสำหรับประชาชน
  5. เสนอเนื้อหาที่หลากหลาย เพื่อเปิดให้ประชาชนเลือกรับความสนใจ เช่นเดียวกับหลักสูตรของการศึกษานอกโรงเรียน ที่มีจำนวนมากให้เลือกเรียนตามความพร้อมของแต่ละคน
  6. งานของสื่อมวลชนเป็นงานที่ทันสมัย บุกเบิกค้นหาความคิดใหม่มาใช้อยู่เสมอ เช่นเดียวกับการศึกษานอกระบบ ที่ต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงวิธีการให้การศึกษาให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงด้านอื่นๆ เสมอ ดังเช่นที่กรมการศึกษานอกโรงเรียนกำลังดำเนินการ โครงการการศึกษาผ่านดาวเทียมอยู่ในปัจจุบัน

จากลักษณะบางประการของสื่อมวลชน จะเห็นได้ว่า การศึกษานอกระบบและสื่อมวล ชน ทำหน้าที่สอดคล้องกัน ต่างกับการศึกษาในระบบโรงเรียน ที่ยังมีความแตกต่างหรือขัดแย้งกับสื่อมวลชนอยู่หลายด้าน ดังนั้นในสถานการณ์ปัจจุบัน ที่หลายฝ่ายกำลังให้ความสำคัญกับการศึกษานอกระบบโรงเรียน จึงน่าจะได้มีการพิจารณาใช้สื่อมวลชนกับการศึกษานอกโรงเรียนให้กว้างขวางยิ่งขึ้น กว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

การนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีทันสมัยมาใช้ในการพัฒนาการเรียนการสอน
นวัตกรรมการศึกษามวลชน
ความจำเป็นในการใช้สื่อมวลชนเพื่อการศึกษา
สื่อมวลชนกับการศึกษาในระบบโรงเรียน
ความแตกต่างระหว่างสื่อมวลชนกับระบบโรงเรียน
สื่อมวลชนกับการศึกษานอกระบบโรงเรียน
สื่อมวลชนกับการศึกษาตามปกติวิสัย
เนื้อหาทางการศึกษาของสื่อมวลชน
ปัจจัยสนับสนุนการใช้สื่อมวลชนเพื่อการศึกษา
สื่อมวลชนศึกษา (Media Education)
แนวทางในการจัดหลักสูตรสื่อมวลชนศึกษา
นวัตกรรมการศึกษารายบุคคล
การใช้เทคโนโลยีในการจัดการฐานข้อมูลขององค์การทางการศึกษา
การใช้เทคโนโลยีช่วยสนับสนุนการตัดสินใจของผู้บริหารองค์การทางการศึกษา
การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการบริหารองค์การทางการศึกษา
การใช้เทคโนโลยีเสริมสร้างคุณภาพองค์การทางการศึกษา
การนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีทันสมัยมาใช้ในการพัฒนาบุคลากรฯ
การพัฒนาบุคลากรด้วยการศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น
การพัฒนาบุคลากรทางการศึกษาโดยการสัมมนา
การพัฒนาบุคลากรทางการศึกษาโดยการศึกษาดูงาน
รูปแบบการแพร่นวัตกรรมและกระบวนการตัดสินใจ
ลักษณะที่สำคัญบางประการของการแพร่กระจายนวัตกรรม
ปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี
กระบวนการตัดสินใจนวัตกรรม (Innovation decision process)
การยอมรับนวัตกรรม
ปัจจัยเกี่ยวกับลักษณะของนวัตกรรม
ปัจจัยเกี่ยวกับผู้รับนวัตกรรม
ปัจจัยทางด้านระบบสังคม (social system)
การปฏิเสธและการยอมรับนวัตกรรม

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย