สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ การเมือง เศรษฐศาสตร์ >>

ประวัติศาสตร์สังคม

ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ ภาควิชาประวัติศาสตร์
คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์

ทำไมไม่เขียนประวัติศาสตร์สังคม
การขึ้นมาของประวัติศาสตร์สังคม
ประวัติศาสตร์วิพากษ์
โศกนาฏกรรมของประวัติศาสตร์ (Tragedy of history)
ประวัติศาสตร์กับความจริงทางสังคม (History and social reality)
ปฏิกิริยาต่อประวัติศาสตร์สังคม
บรรณานุกรม

ประวัติศาสตร์กับความจริงทางสังคม (History and social reality)

ทันทีที่นักประวัติศาสตร์สนใจและต้องการเขียนประวัติศาสตร์สังคม เราจะต้องตอบให้ได้ว่าทำไมจึงเลือกประวัติศาสตร์สังคม เป็นเพราะว่าประวัติศาสตร์สังคมสามารถให้ความเป็นจริงของสังคมที่เราต้องการศึกษาได้ดีกว่าประวัติศาสตร์ด้านอื่นกระนั้นหรือ นักวิจารณ์ด้านสังคมศาสตร์อื่นๆได้ติงนักประวัติศาสตร์เอาไว้ว่า การที่นักประวัติศาสตร์ตกลงใจเขียนถึงเรื่องอะไรเรื่องหนึ่งนั้น ก็เท่ากับเราตัดสินใจละเว้นไม่เขียนถึงเรื่องอื่นที่อาจมีความหมายสำคัญและควรจะเขียนถึงเหมือนเรื่องที่เราได้เลือกเช่นกัน เมื่อเป็นเช่นนี้นัยสำคัญประการสำคัญของการเริ่มพูดถึงสิ่งที่เรียกว่า "ประวัติศาสตร์สังคม" จึงเท่ากับว่าเราได้ปฏิเสธ (แม้จะโดยไม่ได้ตั้งใจก็ตาม) ประวัติศาสตร์เฉพาะด้านอื่นๆและประวัติศาสตร์สถาบันอีกมากมายลงไป เช่น ประวัติศาสตร์ภูมิปัญญา ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ ประวัติศาสตร์การเมืองและกฎหมาย ประวัติศาสตร์ครอบครัว ประวัติศาสตร์ศาสนาและประวัติศาสตร์สตรีเป็นต้น

ถ้าเป็นเช่นนี้ นักประวัติศาสตร์ผู้ต้องการเขียนหรือศึกษาประวัติศาสตร์สังคมจะให้คำตอบต่อผู้สงสัยอื่นๆ และต่อตัวเองอย่างไร

อาจจะมีนักประวัติศาสตร์บางท่านตอบว่า ในความเป็นจริงแล้วการพูดถึง"ประวัติศาสตร์สังคม" นั้นก็คือการพูดรวมเอาประวัติศาสตร์เฉพาะด้านต่างๆเหล่านั้นเข้ามาไว้ด้วยกัน จึงไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไร กลับจะเป็นคุณูปการต่อวิชาการประวัติศาสตร์เสียอีก แต่ในทางปฏิบัติประวัติศาสตร์สังคมที่แพร่หลายอย่างมากในสหรัฐอเมริกาและยุโรปภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากนักประวัติศาสตร์ด้านอื่นๆมาโดยตลอด ฝ่ายซ้ายก็ต่อว่าว่าประวัติศาสตร์สังคมโดยทั่วไปมักบิดเบือนการต่อสู้ทางชนชั้น แทนที่จะเน้นให้เห็นการกดขี่ขูดรีดที่นายทุนกระทำต่อกรรมกร กลับมัวไปศึกษาเรื่องครอบครัว การใช้ชีวิตยามว่างของกรรมกร ที่ร้ายกว่านี้คือนักประวัติศาสตร์สังคมกลับเอาเรื่องราวด้านลบของกรรมกรและคนชั้นล่าง เช่น การทะเลาะเบาะแว้งระหว่างผัวเมียระหว่างคนต่างเชื้อชาติและต่างศาสนาเป็นต้นออกมาตีแผ่ สร้างความเสื่อมเสียต่อการต่อสู้ของประชาชนและภาพลักษณ์ของชนชั้นกรรมาชีพ ฝ่ายอนุรักษ์หรือฝ่ายขวาก็โจมตีประวัติศาสตร์สังคมที่เอียงซ้าย กล่าวหาว่าเป็นแนวร่วมของฝ่ายซ้าย เรื่องดีๆตั้งเยอะแยะของผู้นำประเทศไม่ไปค้นคว้า กลับไปหลงคารมของพวกสังคมนิยม ศึกษาเรื่องชาวบ้านเพื่อให้พวกคัดค้านรัฐบาลและสังคมเพื่อเอาไปปลุกระดมเท่านั้นเอง ฝ่ายเสรีนิยมหรือฝ่ายเป็นกลางก็โจมตีงานประวัติศาสตร์สังคมที่เอียงไปทั้งซ้ายและขวา ว่าไม่มีหลักการและวิธีการทางประวัติศาสตร์อันเป็นธรรมหรือเที่ยงตรง (objective)



นั่นคือลักษณะทางสังคมของประวัติศาสตร์สมัยใหม่ในตะวันตก นับแต่ประวัติศาสตร์มีฐานะเป็นวิชาโดยตัวของมันเองเช่นวิชาปรัชญาและวิทยาศาสตร์ธรรมชาติแล้ว มันไม่เคยตั้งตัวอยู่โดดๆโดยไม่สัมพันธ์เกี่ยวข้องกับสังคมเลย ตรงกันข้าม ไม่ว่านักประวัติศาสตร์จะเขียนหรือศึกษาประวัติศาสตร์อะไรล้วนแล้วแต่มีปฏิสัมพันธ์กับปัจจัยที่เป็นอยู่ทางการเมือง เศรษฐกิจและวัฒนธรรมอย่างแนบแน่น จนมีคนกล่าวว่าสองศตวรรษของประวัติศาสตร์สมัยใหม่นั้น ศตวรรษแรกคือศตวรรษที่ 19 ประวัติศาสตร์ถูกครอบงำด้วยความคิดเรื่องข้อเท็จจริง (facts) และบรรยากาศของการเมืองชาตินิยมและการสร้างรัฐชนชั้นนายทุน ส่วนในศตวรรษที่ 20 ก็ถูกครอบงำด้วยแนวคิดสำนักปฏิบัตินิยมและปัญหาของอุดมการณ์ทางการเมืองระหว่างทุนนิยมกับสังคมนิยม เมื่อม่านหมอกของอุดมการณ์ทางการเมืองจางหายไป เราจะเห็นว่าลักษณะและความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในหมู่นักประวัติศาสตร์และระหว่างนักประวัติศาสตร์สังคมกับนักประวัติศาสตร์ด้านอื่นๆนั้นได้แก่การโต้แย้งว่าอะไรคือความเป็นจริงในทางประวัติศาสตร์ และนักประวัติศาสตร์ควรวางตัวอยู่ตรงไหนของความขัดแย้งทางการเมืองในสังคม ปัญหาเหล่านี้จะครอบงำวงการประวัติศาสตร์ต่อมาจนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้เนื่องมาจากการก่อรูปของประวัติศาสตร์สมัยใหม่ที่เรารู้จักกันนี้ พัฒนาขึ้นมาจากแนวความคิดประจักษ์นิยม(empiricism)ที่เชื่อว่าความรู้และความจริงล้วนมาจากประสบการณ์หรือการปฏิบัติ ทำให้วิธีการทางประวัติศาสตร์สมัยใหม่มีลักษณะเป็นวิทยาศาสตร์ไปด้วย ผลในทางปฏิบัติคือนำไปสู่การเขียนและตีความประวัติศาสตร์จากประสบการณ์ในปัจจุบันของนักประวัติศาสตร์เป็นสำคัญ ลักษณะสำคัญดังกล่าวนี้ของประวัติศาสตรสมัยใหม่ได้กระจายเป็นยาดำแทรกไปทั่วในการศึกษาและเขียนประวัติศาสตร์ ความขัดแย้งระหว่างข้อเท็จจริงกับการตีความ และระหว่างความเป็นภววิสัยกับสัมพัทธ์ จึงเป็นปัญหาทางความรู้โดยพื้นฐานของประวัติศาสตร์สมัยใหม่(นิธิ 2527ค)

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย