สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ การเมือง เศรษฐศาสตร์ >>

ประวัติศาสตร์สังคม

ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ ภาควิชาประวัติศาสตร์
คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์

ทำไมไม่เขียนประวัติศาสตร์สังคม
การขึ้นมาของประวัติศาสตร์สังคม
ประวัติศาสตร์วิพากษ์
โศกนาฏกรรมของประวัติศาสตร์ (Tragedy of history)
ประวัติศาสตร์กับความจริงทางสังคม (History and social reality)
ปฏิกิริยาต่อประวัติศาสตร์สังคม
บรรณานุกรม

โศกนาฏกรรมของประวัติศาสตร์ (Tragedy of history)

ลักษณะเด่นของประวัติศาสตร์สังคมปัจจุบันอยู่ตรงที่การประสานวิชาการข้ามสาขาหรือสหวิทยาการเข้ามา ในทางปฏิบัติคือการประสานวิชาการด้านมานุษยวิทยา สังคมวิทยาและจิตวิทยา ไปถึงวรรณคดีและปรัชญาภาษาศาสตร์เป็นต้น เข้ากับวิธีวิทยาทางประวัติศาสตร์ ความสำเร็จของนักประวัติศาสตร์สังคมในการใช้ความรู้ทางด้านสังคมศาสตร์ทำให้นักประวัติศาสตร์สามารถก้าวพ้นออกมาจากวังวนเก่าๆซ้ำซากและน่าเบื่อหน่ายของ “การเล่าเรื่องราวเหมือนกับว่ามันได้เกิดขึ้นอย่างนั้น” (ซึ่งจริงๆแล้วไม่มีใครในปัจจุบันรู้อย่างแน่นอนว่า “เรื่องราวนั้น” มัน “เกิดอย่างนั้น” จริงๆหรือ)

ที่กล่าวมานี้มิได้หมายความว่า วิธีการและเนื้อหาทางมานุษยวิทยา สังคมวิทยา รัฐศาสตร์และฯลฯ จะเอามาแทนที่ทรรศนะทางประวัติศาสตร์ได้ ทำนองเดียวกับการเอาตัวเลขสถิติหรือวิธีการทางคณิตศาสตร์มาเป็นคำอธิบายและคำตอบในประวัติศาสตร์ ซึ่งหากขาดความระมัดระวังผลก็คือ เป็นการเขียนและสร้างประวัติศาสตร์ที่เลวอีกแบบหนึ่งขึ้นมานั่นเอง ดังที่อานันท์ กาญจนพันธ์ นักมานุษยวิทยาชื่อดังได้กล่าวเตือนไว้ว่า การนำเอาทฤษฏีทางสังคมศาสตร์มาใช้โดยตรงในการเขียนประวัติศาสตร์หรือในลักษณะสหวิทยาก็ตาม เป็นเพียงการใช้ “ลัทธิความชำนาญพิเศษ” ของสาขาวิชาต่างๆเท่านั้น ซึ่งไม่อาจแก้ไขปัญหาที่ประวัติศาสตร์มีมิติของปัจเจกชนครอบงำลงไปได้ (อานันท์, 2530)

สิ่งที่ประวัติศาสตร์สังคมต้องการคือ เนื้อหาและภาพรวมของเหตุการณ์ทั้งหลาย ไม่ใช่แค่เหตุการณ์หนึ่งเหตุการณ์ใด หากต้องลงไปหาความสัมพันธ์ของเหตุการณ์ทั้งหลายออกมาให้ได้ นักประวัติศาสตร์จะทำอย่างนั้นได้ จะต้อง “สร้างจิตสำนึกทางประวัติศาสตร์ที่อยู่เหนือการแบ่งแยกการศึกษาออกเป็นสาขา และหันมามองสังคมจากภาพวิถีชีวิตทั้งหมดอย่างเป็นเอกภาพ” (อานันท์, 2530)

 

แต่สิ่งที่อานันท์ไม่ได้พูดถึงในกระบวนการค้นคว้าทางประวัติศาสตร์สังคมอีกประการหนึ่ง ที่มีความสำคัญไม่น้อยกว่าการ “มีจิตสำนึกทางประวัติศาสตร์และการมองสังคมทั้งสังคมอย่างเป็นเอกภาพ” ก็ได้แก่การซึมซับอารมณ์ ความรู้สึกและความใฝ่ฝันของผู้คนและยุคสมัยในประวัติศาสตร์นั้นๆออกมาให้ได้ด้วย เพราะสิ่งที่เรียกว่า “ภาพรวมของทั้งสังคม” นั้นกระทำได้ยากมากในวิธีการค้นคว้าทางประวัติศาสตร์ธรรมดาๆ นอกจากต้องอาศัยแว่นขยายของทฤษฎีทางสังคมเข้าช่วยด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ก็อาจทำให้นักประวัติศาสตร์เผลอหยิบเอาจุดยืนทางทฤษฎีมาเป็นเป้าหมายและวิธีการทางประวัติศาสตร์ไปได้ ซึ่งก็คือการทำให้ประวัติศาสตร์ขาดมิติของชีวิตแห่งปุถุชนที่เราอาจสัมผัสและรู้สึกได้ลงไปอย่างน่าเสียดาย นักประวัติศาสตร์ผู้ทรงคุณวุฒิและรู้จักกันดีในวงการประวัติศาสตร์อเมริกาท่านหนึ่ง เคยให้ข้อคิดที่น่าฟังมากว่า “นักประวัติศาสตร์ที่ไม่สามารถเข้าใจโศกนาฏกรรมที่แฝงเร้นของประวัติศาสตร์ก็ไม่อาจบอกเราได้มากนักถึงเรื่องราวในอดีต ปัจจุบันหรือในอนาคต” (Genovese, 1984)

แนวทางศึกษาและวิเคราะห์ประวัติศาสตร์จากมิติของชีวิตและความเป็นมนุษย์ดังทีกล่าวมาแล้วจะดูได้จากผลงานชิ้นสำคัญเรื่องหนึ่งของนิธิ เอียวศรีวงศ์ การเมืองไทยสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี (2529) ซึ่งอาจจะเป็นหนังสือประวัติศาสตร์ไทยเล่มแรกที่ดึงให้ประวัติศาสตร์ไทยเดินเข้าสู่ตำแหน่งแห่งที่ที่มันควรอยู่ ไม่ใช่ประวัติศาสตร์ของคนใดหรือกลุ่มบุคคลเดียวในสังคม หากแต่เน้นประวัติร่วมกันของชีวิต และชะตากรรมของคนไทยในยุคสมัยหนึ่งท่ามกลางบริบทของปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนกับสังคมที่เราอาจเข้าใจ รู้สึกและมีความสะเทือนใจได้ด้วยได้ ดังคำกล่าวของนิธิเองที่ว่า

“เวลาที่ใช้ในการค้นคว้าศึกษาหลักฐานและครุ่นคิดเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ในรัชสมัยของพระองค์เป็นเวลานานกว่า 5 ปี ทำให้ทัศนคติของข้าพเจ้าต่อพระเจ้ากรุงธนบุรีเปลี่ยนแปลงไป ไม่ใช่ในทางตรงกันข้าม แต่เป็นไปในทางที่ลึกขึ้น จนมองเห็น(หรือคิดว่ามองเห็น) ทั้งความอ่อนแอและความเข้มแข็งของพระองค์ มีความสามารถที่จะชื่นชมพระองค์ในฐานะมนุษย์ผู้ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่ทวยเทพที่จุติมาดับยุคเข็ญแก่มวลมนุษย์ พระเจ้ากรุงธนบุรีทรงเป็นมนุษย์ที่มีทั้งกิเลสตัณหาและความสง่างามของการเสียสละอันรุ่งโรจน์ คละเคล้าปะปนกันในการกระทำเหมือนมนุษย์ที่ยิ่งใหญ่อื่นๆ

“ภาพที่แจ่มชัดขึ้นของพระเจ้ากรุงธนบุรีจากการศึกษาทำให้เกิดปิติที่ได้สัมผัสทิพยวิมานของนักประวัติศาสตร์นั่นก็คือ ได้เห็นคนเป็นคน” (นิธิ, 2529)

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย