สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ การเมือง เศรษฐศาสตร์ >>

ประวัติศาสตร์สังคม

ทำไมไม่เขียนประวัติศาสตร์สังคม
การขึ้นมาของประวัติศาสตร์สังคม
ประวัติศาสตร์วิพากษ์
โศกนาฏกรรมของประวัติศาสตร์ (Tragedy of history)
ประวัติศาสตร์กับความจริงทางสังคม (History and social reality)
ปฏิกิริยาต่อประวัติศาสตร์สังคม
บรรณานุกรม

การขึ้นมาของประวัติศาสตร์สังคม

ความสนใจต่อการเขียนประวัติศาสตร์สังคมในตะวันตกในต้นศตวรรษที่ 20 เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงโดยพื้นฐานของสังคม วิทยาการสมัยใหม่ผลักดันให้เศรษฐกิจอุตสาหกรรม ก้าวกระโดดอันมีผลต่อชีวิตทางสังคมของประชาชน ที่สำคัญคือการเปลี่ยนแปลงทางด้านความคิดซึ่งมีผลต่อความรับรู้ทางประวัติศาสตร์ด้วย กล่าวได้ว่านักประวัติศาสตร์เริ่มนิยามสิ่งที่เรียกว่า "ความจริง" กันใหม่อีก หลังจากที่ตกอยู่ใต้อิทธิพลของแนวคิดปรัชญาสำนักปฏิฐานนิยม(Positivism) ตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 19 มา(สุนัย 2533) ที่สำคัญคือการขยายวิธีการทางประวัติศาสตร์ที่ใช้กันในศตวรรษก่อนให้สามารถครอบคลุมความจริงที่มีหลายมิติ จุดหมายอันสูงส่งของนักประวัติศาสตร์ยุคดังกล่าวนี้ จึงได้แก่การเข้าใจสังคม "ทั้งหมด" (total history) ไม่ใช่เล่าแต่ประวัติและวีรกรรมของกษัตริย์และขุนพลนักรบผู้กล้าแต่ฝ่ายเดียวอีกต่อไป แต่ในทางปฏิบัตินักประวัติศาสตร์ก็เช่นเดียวกับนักวิทยาศาสตร์ธรรมชาติที่จำต้องแบ่งงานและสร้างความเชี่ยวชาญเฉพาะเรื่องขึ้นมาเพราะพฤติกรรมของมนุษย์และสังคมทวีความซับซ้อนหลากหลายตามทฤษฎีความรู้สมัยใหม่ของเราด้วย ในแง่นี้นักประวัติศาสตร์สังคมจึงมักตอกย้ำเสมอๆว่าประวัติศาสตร์สังคมไม่ได้มีจุดหมายเพียงแค่การศึกษาเข้าใจเรื่องเฉพาะส่วนของสังคมเท่านั้น หากที่สำคัญต้องมุ่งไปที่ความเข้าใจ "ประวัติศาสตร์ทั้งหมด" หรือพูดในภาษาของอีริค ฮอบสบอม(Eric Hobsbawm) คือ ต้องทำให้เป็น "ประวัติศาสตร์ของสังคม" ไม่ใช่ "ประวัติศาสตร์สังคม" ที่เพียงแต่เล่าถึงประวัติอาหารหรือมารยาทในสังคมเท่านั้น( Hobsbawm, 1971)

ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองโดยเฉพาะในช่วงทศวรรษปีค.ศ. 1960 ประวัติศาสตร์สังคมหมายความถึงประวัติศาสตร์ที่ไม่ได้มีจุดศูนย์กลางของการเขียนและการศึกษาค้นคว้าอยู่ที่ชนชั้นสูงเช่น กษัตริย์ ขุนนาง นายทุน หรือวีรบุรุษ และสภาพสังคมหรือชีวิตความเป็นอยู่ด้านต่างๆของผู้คนเหล่านั้นเป็นสำคัญ ดังที่เราพบเห็นอยู่เนืองๆในหน้าหนังสือทางประวัติศาสตร์ หาก ประวัติศาสตร์สังคมจะให้ความสนใจค่อนข้างมากแก่ "ประชาชน" และชีวิตความเป็นอยู่กับสภาพทางสังคม เศรษฐกิจและการเมืองตลอดจนความคิดและวัฒนธรรมอันเกี่ยวเนื่องกับคนชั้นล่างและชั้นกลาง เหตุหนึ่งที่ประวัติศาสตร์สังคมได้รับความนิยมมากเนื่องมาจากกระแสการเมืองฝ่ายซ้ายและฝ่ายก้าวหน้าขึ้นมายึดพื้นที่ในแวดวงวิชาการได้ค่อนข้างมาก แต่การเฟ้อของ ประวัติศาสตร์สังคมทำให้งานด้านนี้ขาดมิติทางการเมืองลงไป คือลดจุดหมายจากการเป็น"ประวัติศาสตร์ของสังคม"ลงมาเป็นเพียง"ประวัติศาสตร์สังคม"ธรรมดา(ธเนศ 2531)

เมื่อพูดถึงเรื่องของ “ประวัติศาสตร์สังคม” ที่แพร่หลายนิยมกันอยู่ในยุโรปและอเมริกา จะพบว่าในอดีตก็เคยมีการเขียนประวัติศาสตร์ในเชิงสังคมดังกล่าวมาก่อนบ้างแล้ว เพียงแต่ยังไม่มีการให้สำนักและยี่ห้อ กล่าวได้ว่า “ประวัติศาสตร์สังคม” ในความหมายกว้างๆ ไม่ใช่ของใหม่เสียทีเดียว แม้มันจะกลับมามีอิทธิพลและความนิยมเอาในศตวรรษที่ 20 นี้ก็ตาม ความจริงประวัติศาสตร์สังคมนั้นมีมาแต่สมัยของเฮโรโดตัสก็ว่าได้ แต่ที่โด่งดังในปัจจุบันเพราะผู้คนยกย่อง “ฐานะ” ของมันขึ้นเด่นกว่าสาขาอื่นๆ โดยเฉพาะนับแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา

ท่ามกลางกระแสของการวิพากษ์และการค้นหาตัวเองของประวัติศาสตร์และนักประวัติศาสตร์ปัจจุบัน ประวัติศาสตร์สังคมเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่นักประวัติศาสตร์ตั้งแต่สำนัก Annales ของฝรั่งเศส มาถึงกลุ่มซ้ายใหม่ในทศวรรษที่ 1970 ใช้เป็นรูปแบบในการลงไปค้นหาคำตอบต่อคำถามว่าประวัติศาสตร์คืออะไร ข้อเท็จจริงกับการตีความสัมพันธ์กันอย่างไร และความรู้ควรรับใช้การปฏิบัติอย่างไร แต่ประวัติศาสตร์สังคมให้ความสนใจต่อปัญหาพื้นฐานของประวัติศาสตร์นิพนธ์น้อยเกินไปหรือแทบไม่ให้ความสำคัญเลย เพราะสิ่งที่ประวัติศาสตร์สังคมนำเสนอกลายเป็นการอุดช่องโหว่ของประวัติศาสตร์กระแสหลัก ในหลายกรณีเป็นการประนีประนอมไม่เอนเอียงไปทางสำนักประวัติศาสตร์นิยมหรือสำนักสัมพัทธ์นิยมแต่เพียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

ประวัติศาสตร์สังคมในตอนแรกๆดูจะสนุกกับการขุดค้นข้อมูลเก่าๆที่ไม่เคยมีใครสนใจเช่นเรื่องมารยาทในสังคม อาหารการกินการนอนไปจนถึงชีวิตทางประเพณีของชาวบ้านในยุคสมัยต่างๆ การนำเสนอข้อมูลใหม่ในรูปแบบที่น่าสนใจกว่าประวัติศาสตร์แบบเก่าบางครั้งนำไปสู่การตีความใหม่ของประวัติศาสตร์ได้เหมือนกัน แต่น้ำหนักของประวัติศาสตร์สังคมในการหักล้างการตีความแบบเก่าดูจะไม่หนักแน่นนัก เพราะโดยตัวมันเองประวัติศาสตร์สังคมไม่พยายามสร้างทฤษฎีขึ้นมาชุดหนึ่ง สำหรับเป็นอาวุธในการต่อสู้คัดง้างกับสำนักคิดอื่น และใช้ในการสร้างการตีความประวัติศาสตร์แบบใหม่อันเป็นลักษณะเฉพาะของตนขึ้นมา ประการหลังนี้กลุ่มประวัติศาสตร์สังคมไม่สนใจทำเลย งานด้านนี้ที่ผ่านมาจึงมักเป็นความสำเร็จเฉพาะตัวของนักประวัติศาสตร์สังคมรายบุคคลไป เช่น Norbert Elias(1978,1983), Marc Bloch (1964), Christopher Hill(1972), Rudè (1959), Emmanuel Le Roy Ladurie(1980), Fernand Braudel(1973), เป็นต้น แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่างานประวัติศาสตร์สังคมไม่มีผลกระทบหรือความหมายอันสำคัญต่อวงการประวัติศาสตร์ ตรงกันข้ามงานเขียนของบรรดานักประวัติศาสตร์สังคมที่เราเอ่ยถึงข้างบนนี้ล้วนเป็นประวัติศาสตร์คลาสสิกที่นักเรียนประวัติศาสตร์ในยุโรปอเมริกาต้องอ่านทั้งนั้น

ดังที่กล่าวแล้วแต่ต้นว่า วงการประวัติศาสตร์ไทยยังมีคนลงไปทำเรื่องประวัติศาสตร์สังคมอย่างเอาจริงเอาจังน้อยมาก ที่ผ่านมาเห็นจะได้แก่งานหลายชิ้นของนิธิ เอียวศรีวงศ์ที่พยายามสร้างภาพของสังคมไทยในอดีตขึ้นมาในงานประวัติศาสตร์ของเขา ที่สำคัญเช่น "สุนทรภู่ มหากวีกระฎุมพีไทย"(2527 ก), และ"นางนพมาศ" เป็นต้น(2527 ข), ในขณะที่ สังคมไทยในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ตอนต้น 2325–2411 ของ ม.ร.ว. อคิน รพีพัฒน์ก็เป็นงานบุกเบิกอีกด้านในการเสนอทฤษฎีระบบอุปถัมภ์สำหรับอธิบายลักษณะและความสัมพันธ์ในสังคมไทย โดยที่ไม่ได้วิพากษ์หรือตั้งคำถามต่อความคิดพื้นฐานของประวัติศาสตร์สกุลดำรงราชานุภาพ แม้ว่าศูนย์กลางของงานเหล่านี้จะยังอยู่ในรัศมีของชนชั้นสูงแต่งานเหล่านี้ควรถือเอาเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับผู้สนใจการเขียนประวัติศาสตร์สังคมของไทยได้

ในขณะเดียวกันมีความพยายามของนักประวัติศาสตร์บางท่านในการสร้างประวัติศาสตร์ของสังคมไทยในทุกๆด้านขึ้นมา เช่นงานประวัติศาสตร์ของชัย เรืองศิลป์ที่ใช้ชื่อว่า ประวัติศาสตร์ไทยสมัยพ.ศ. 2352-2453 ด้านสังคม (2519) แต่วิธีการเขียนและตีความตลอดจนถึงการใช้ข้อมูลยังถือว่าอยู่ในแบบประวัติศาสตร์ไทยกระแสหลัก เพียงแต่มีการเพิ่มด้านสังคมเข้าไป ซึ่งก็ยังกว้างๆไม่ได้มีคำนิยามว่า"สังคม"ในที่นี้หมายถึงอะไร หลักฐานและการตีความอย่างแคบและจำกัดจะทำให้เข้าใจสังคมไทยสมัยนั้นดีขึ้นอย่างไร ตัวอย่างอีกเล่มที่น่าพูดถึงคือ ประวัติศาสตร์สังคมไทย (2520)ของเฉลิม จันปฐมพงศ์และคณะ ผู้เขียน(ที่จริงเรียบเรียง)ชี้แจงแต่แรกเลยว่า "โครงเรื่องจะให้เน้นหนักโครงสร้างและเอกลักษณ์สังคมไทยซึ่งจะแสดงความสำคัญของสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ให้ปรากฏ" เป็นไปได้อย่างไร ที่สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ที่เพิ่งก่อรูปและถูกสร้างให้เป็นสถาบันแห่ง “ชาติ” ไปเมื่อไม่เกินร้อยปีมานี้ จะเอาไปอธิบายประวัติศาสตร์ไทยสมัยกรุงสุโขทัยและกรุงศรีอยุธยาได้ นี่เป็นตัวอย่างของปัญหาในการนิยามคำว่าประวัติศาสตร์สังคมในอดีตของไทย

 

เล่มล่าสุดได้แก่ผลงานของ มนฤทัย ไชยวิเศษเรื่อง “ประวัติศาสตร์สังคม ว่าด้วยส้วมและเครื่องสุขภัณฑ์ในประเทศไทย” (2545) ซึ่งเน้นศึกษาในหัวข้อที่ทุกคนรู้จักกันดี แต่ไม่เคยมีใครนำมาเขียนเป็นงานวิชาการที่จริงจัง นี่เป็นตัวอย่างของการที่สภาพแวดล้อมทางสังคมและความคิดสังคมในแต่ละยุคที่แตกต่างกัน ก็มีผลต่อการสร้างประวัติศาสตร์เรื่องอะไรด้วย ภายใต้บรรยากาศของแนวคิดโพสต์โมเดิร์น สภาพสังคมแบบโลกาภิวัตน์และระบบการเมืองที่ดำเนินไปบนหลักการรัฐธรรมนูญฉบับปฏิรูป(2540) ประกอบกับการเพิ่มความสำคัญของภาคสังคมลงไปถึงการยอมรับภูมิปัญญาท้องถิ่นต่างๆ ทั้งหมดนี้ทำให้งานศึกษาในเรื่องชีวิตประจำวันที่ง่ายๆเช่นเรื่องส้วมและพัฒนาการของมันเป็นสิ่งที่มีความหมายและน่าเรียนรู้ได้เหมือนกัน ผู้เขียนได้เปิดมิติใหม่และวิธีการศึกษาประวัติศาสตร์สังคมไทย โดยศึกษาจากตัวแบบเรื่องส้วมเป็นสำคัญ หนังสือเล่มนี้ไม่มีจุดอ่อนของประวัติศาสตร์สังคมที่ได้อธิบายมาแต่ต้น นั่นคือการละเลยมิติและปัจจัยด้านอื่นๆเช่นการเมือง เศรษฐกิจและสังคมส่วนอื่นๆที่ดูเหมือนไม่เกี่ยวพันออกไป ตรงกันข้ามผู้เขียนสามารถเชื่อมโยงมิติและปัจจัยทั้งหลายเข้ามาช่วยอธิบายและสร้างภาพของส้วมและความเป็นมาในสังคมไทยให้ครบถ้วนสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ทำให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในทางโลกทรรศน์ของคนและสังคมไทยจากยุคก่อนสมัยใหม่มาถึงยุคสมัยใหม่ ยุคพัฒนาและยุคโลกาภิวัตน์ ได้เห็นบทบาทของรัฐและกฎหมายในการนำเข้าและรับสิ่งใหม่จากภายนอก นำไปสู่การสร้างอุดมการณ์ของรัฐว่าด้วยการพัฒนา ได้เห็นระบบการศึกษาที่รับลูกจากรัฐในการอบรมบ่มเพาะความเชื่อและการปฏิบัติในอารยธรรมหรือ ความ”ศิวิไลซ์” ในเยาวชนของสังคม ไปถึงการสร้างความต้องการในการใช้ส้วมสมัยใหม่ของบริษัทผู้ผลิตและการโฆษณา ทั้งหมดนี้ประกอบกันเข้าเป็นประวัติศาสตร์สังคมของส้วมอย่างสวยงามและมีความรู้

ประวัติศาสตร์สังคมค่อยๆ ก้าวขึ้นมาเป็นที่ยอมรับกัน เมื่อมันสามารถให้คำอธิบายที่ผู้อ่านกำลังต้องการอยู่ นั่นคือสภาพสังคมและการเมืองยุโรปช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่ท่วงทำนองการเขียนและอธิบายแบบ “ประวัติศาสตร์การเมือง” ก่อนหน้านี้ ไม่เป็นที่พอใจของสังคมอีกต่อไปกลุ่มที่เป็นหัวหอกของการนำเสนอวิธีการประวัติศาสตร์สังคมได้แก่สำนัก Annales แห่งฝรั่งเศส ผลงานของกลุ่มนี้ ถือว่าเป็นการบุกเบิกและกลายมาเป็นคลาสสิคของสำนักประวัติศาสตร์สังคม นักประวัติศาสตร์สำคัญสองท่านคือ Lucien Febvre และ Marc Bloch ซึ่งเป็นบรรณาธิการวารสาร Annales d’histoire èconomique et sociale ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1929 วารสารเล่มนี้เป็นกุญแจหลักในการก่อรูปของประวัติศาสตร์ใหม่ ที่ตรงข้ามกับประวัติศาสตร์สถาบันการศึกษาที่ยึดแนวประวัติศาสตร์การเมืองอยู่ กลุ่มนี้ปฏิเสธประวัติศาสตร์ที่เขาเรียกว่า “เหตุการณ์กำกับ” (event-oriented history) จุดอ่อนของประวัติศาสตร์แนวเก่าคือ มันไม่สามารถเก็บรับความสมบูรณ์ของความจริงในมนุษย์ และกระทั่งเป็นอันตรายต่อสถานะของประวัติศาสตร์เองอีกด้วย Febvre กล่าวว่า “ประวัติศาสตร์จะต้องยุติการปรากฏออกมาในรูปของสุสานอันหลับใหลที่หลอนโดยแผนการณ์อันเปรียบเสมือนเงาของมัน” นักประวัติศาสตร์จะต้องแทรกแซงเข้าไปในพระราชวังอันเงียบสงัดที่เจ้าชายยังง่วงนอนอยู่ แล้วเปิดหน้าต่างประตูให้เกิดความสว่างและให้โลกของเสียงเข้ามาในห้อง ดังนั้นจึงจะทำให้เจ้าชายตื่นจากการหลับใหลขึ้นมาได้ (Febvre 1953) แนวการศึกษาสำคัญที่นักประวัติศาสตร์สังคมทั้งสองท่านเสนอก็คือ การดึงเอาเนื้อหาทางสังคมและวัฒนธรรมของยุคสมัยออกมา เรียกว่า “total mentalitè” ด้วยวิธีการและความรู้สึกอันละเอียดอ่อนดังปรากฏในหนังสือของบล๊อค ซึ่งกลายเป็นงานคลาสสิกไปแล้วคือเรื่อง Feudal Society (Bloch 1964)

อีกมุมหนึ่ง ประวัติศาสตร์สังคมก็มีพื้นฐานการพัฒนามาจากผลงานของมาร์กซและเองเกลส์ด้วยเช่นกัน แต่ความหมายของคำว่า “สังคม” ในที่นี้มีนัยถึง “สังคมนิยม” หรือไม่ก็อย่างน้อยต่อต้านการเมืองของระบบทุนนิยมหรือกระฎุมพี นอกจากนี้ “สังคม” ยังไม่ใช่หมายถึงเพียงสังคมทั้งประเทศเท่านั้น หากมุ่งถึงชนชั้นที่ต่อสู้เพื่ออำนาจการเมืองมากกว่า โดยเฉพาะคือกรรมกรและชนผู้ใข้แรงงานทั้งมวล ดังนั้นแนวการเขียนประวัติศาสตร์สังคมของสำนักมาร์กซิสต์ในยุคแรกๆ จึงมักออกมาในรูปของประวัติผู้ใช้แรงงานหรือ labor history งานสำคัญของมาร์กซในการเขียนแบบประวัติศาสตร์สังคมได้แก่ Eighteenth Brumaire Of Louis Bonaparte (Marx 1967) ในแง่นี้ประวัติศาสตร์สังคมของฝ่ายซ้ายก็คล้ายคลึงกับประวัติศาสตร์สังคมของฝ่ายเสรีนิยม ในแง่ที่เลือกพรรณาถึงประวัติราชวงศ์ กษัตริย์และพรรคการเมืองของชนชั้นนายทุนเป็นต้น แต่ความพยายามที่เอาความรู้สึกแบบสังคมนิยมเพียงอย่างเดียวมาแทนที่วิธีการศึกษาประวัติศาสตร์แบบเก่านั้น ไม่ประสบความสำเร็จทั้งในการพัฒนาวิชาการด้านประวัติศาสตร์สังคมและทฤษฎีลัทธิมาร์กซเองด้วย

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย