สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ การเมือง เศรษฐศาสตร์ >>

ประวัติศาสตร์สังคม

ทำไมไม่เขียนประวัติศาสตร์สังคม
การขึ้นมาของประวัติศาสตร์สังคม
ประวัติศาสตร์วิพากษ์
โศกนาฏกรรมของประวัติศาสตร์ (Tragedy of history)
ประวัติศาสตร์กับความจริงทางสังคม (History and social reality)
ปฏิกิริยาต่อประวัติศาสตร์สังคม
บรรณานุกรม

ทำไมไม่เขียนประวัติศาสตร์สังคม

กล่าวในด้านของประวัติศาสตร์นิพนธ์(historiography) หรือว่าด้วยวิธีวิทยาและปรัชญาของการเขียนประวัติศาสตร์ ประเด็นและข้อถกเถียงในเรื่องการเขียนประวัติศาสตร์บุคคลกับประวัติศาสตร์ของส่วนรวม เป็นประเด็นและมีการอภิปรายถกเถียงกันมากในทศวรรษปีค.ศ. 1930 ในโลกวิชาการตะวันตกเป็นต้นมา ในขณะที่การเขียนประวัติศาสตร์ทางสังคม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัวของบุคคลหรือเรื่องของส่วนรวม ที่เรียกรวมๆว่าประวัติศาสตร์สังคม(social history) ยังไม่เป็นปัญหาถกเถียงโต้แย้งกัน ไม่ว่าจะในด้านไหนของสังคมไทยที่ผ่านมาจนปัจจุบันนี้ เนื่องจากที่ผ่านมาสังคมไทยยังไม่แสดงถึงความต้องการและใช้ประโยชน์จากประวัติศาสตร์สังคมมากเท่าไรนัก ในทำนองเดียวกันนักประวัติศาสตร์ไทยจึงยังไม่ได้ก้าวลงมาทำงานด้านนี้กันอย่างจริงจัง

ลองพิจารณาเนื้อหาทางสังคมในหนังไทยและในวรรณกรรม จะพบว่าการสร้างอดีตขึ้นมาใหม่ให้เหมือนกับเป็นอดีตจริงๆนั้น เป็นเรื่องยากในการทำด้วยเหตุผลทางการเมืองเป็นอันดับแรก และเหตุผลทางองค์ความรู้และวิธีวิทยาในการศึกษาจัดการกับความจริงทั้งในอดีตและปัจจุบันเป็นอันดับสอง ดังนั้นหนังและละครประวัติศาสตร์ของสังคมไทย จึงมีอยู่สายเดี่ยวคืออดีตในพระราชพงศาวดาร ซึ่งเป็นความจริงที่เป็นความเชื่อทางอุดมการณ์การเมืองของรัฐ กล่าวให้ถึงที่สุดการไม่พัฒนาของประวัติศาสตร์สังคมก็คือผลต่อเนื่องทางการเมืองของรัฐและชนชั้นต่างๆในสังคมไทย ที่ยังไม่อาจยอมรับและให้ความจริงและการตีความอันหลากหลายในอดีตของสังคมดำรงอยู่ด้วยกันได้อย่างมีความหมายนัย เพราะกลัวว่ามันจะมีน้ำหนักต่อการผลักดันและเปลี่ยนแปลงทิศทางและโลกทรรศน์ไปถึงความเข้าใจและรับรู้ของคนไทยทั้งหลายอย่างจริงจัง



การที่นักประวัติศาสตร์จะเลือกศึกษาอดีตในลักษณะไหนจึงเป็นปัญหาที่เกี่ยวโยงถึงสภาพการเมืองเศรษฐกิจและวัฒนธรรมในสังคมนั้นๆที่มีผลต่อการสร้างความรู้และความต้องการหรือไม่ต้องการความรู้อะไรด้วย การที่ประวัติศาสตร์สังคมยังไม่มี"ตลาด" หรือผู้ผลิตในเรื่องนี้ ทำให้ประวัติศาสตร์ไทยที่เราศึกษาและเขียนกันอยู่จนปัจจุบันนี้ยังคงเป็นประวัติศาสตร์กระแสหลักที่มีกระแสเดียวนับแต่วันแรกมาถึงปัจจุบัน ซึ่งเรียกกันทั่วไปว่า “ประวัติศาสตร์ชาติ” หรือ national history (ชาญวิทย์ เกษตรศิริและสุชาติ สวัสดิ์ศรี 2519; นิธิ เอียวศรีวงศ์ 2521) นักประวัติศาสตร์บางท่านตั้งชื่อให้ด้วยว่าเป็นประวัติศาสตร์สกุลดำรงราชานุภาพ (กอบเกื้อ สุวรรณทัต-เพียร 2519) ล่าสุดมีการขยายความให้คมชัดขึ้นอีกโดยเรียกว่า “ประวัติศาสตร์ราชาชาตินิยม” (ธงชัย วินิจจะกูล 2544) การที่ประวัติศาสตร์แนวชาตินิยมไทยยังครองตลาดอยู่ได้อย่างแข็งขัน สะท้อนว่า”ความรู้”และ”ความจริง”ในอดีตแบบพระราชพงศาวดารนั้นยังสามารถสนองความต้องการของคนในสังคมได้(ส่วนความต้องการดังว่านี้จะดีหรือถูกต้องหรือไม่เป็นอีกปัญหาหนึ่ง) แม้ว่าจะมีนักประวัติศาสตร์รุ่นใหม่เริ่มตั้งคำถามและวิพากษ์วิจารณ์ประวัติศาสตร์สกุลนี้บ้างก็ตาม แต่ยังมีผลกระทบในวงการศึกษาและการสร้างประวัติศาสตร์แนวใหม่อื่นๆค่อนข้างน้อย

ที่เป็นเช่นนี้อธิบายได้ด้วยการพิจารณาลักษณะเด่นของประวัติศาสตร์ไทยกระแสหลักหรือสกุลดำรงราชานุภาพตามที่นิธิ เอียวศรีวงศ์ได้วิเคราะห์ ว่าเป็นประวัติศาสตร์การเมืองที่สามารถนำเอาพงศาวดารมาใช้"ประโยชน์" ได้อย่างเต็มที่ ได้แก่การใช้ประวัติศาสตร์ในการสร้างสยามให้เป็นรัฐประชาชาติสมัยใหม่ โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่สถาบันพระมหากษัตริย์เช่นเดียวกับที่ประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของยุโรปได้เป็นเครื่องมือในการสร้างรัฐประชาชาติที่มีศูนย์กลางอยู่ที่การก้าวขึ้นมาของชนชั้นนายทุนและความคิดว่าด้วยความก้าวหน้าและความศิวิไลซ์ของสังคมมาก่อนแล้ว นับจากนั้นมาภารกิจและปรัชญาอันรวมถึงวิธีการทางประวัติศาสตร์ของประวัติศาสตร์ไทยกระแสหลักก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพัฒนาการและรวมถึงความมั่นคงทางการเมืองของรัฐไทยสมัยใหม่มากระทั่งปัจจุบัน มองจากจุดนี้จะเห็นได้ว่าการเกิดขึ้นของการเขียนประวัติศาสตร์เฉพาะด้านอื่นๆ ที่จะมีความหมายต่อพัฒนาการของประวัติศาสตร์ไทยจึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะยากแม้ไม่ถึงกับเป็นไปไม่ได้เสียเลยทีเดียว (นิธิ 2523ก)

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย