ปรัชญา อภิปรัชญา ญาณวิทยา จิตวิทยา ตรรกศาสตร์ >>

ความหมายของอภิปรัชญา

สสารนิยมหรือวัตถุนิยม (Materialism)
จิตนิยม (Idealism)
ธรรมชาตินิยม (Naturalism)
เอกนิยม (Monism)
ทวินิยม (Dualism)

สสารนิยมหรือวัตถุนิยม (Materialism)

ความหมายของสสารนิยม เป็นคำศัพท์หนึ่งของคำ Materialism อีกศัพท์หนึ่งคือ วัตถุนิยม สสารนิยมบัญญัติขึ้นใช้ในอภิปรัชญา ส่วนวัตถุนิยมใช้ในจริยศาสตร์ เพื่อมิให้สับสน มีความหมายแตกต่างกันในสาระสำคัญ เช่น ที่ใช้ว่า นักศีลธรรมเรืองนาม บางพวกซึ่งไม่พอใจสภาวการณ์ในปัจจุบันของโลกกล่าวประณามการเข้ามาของ Materialism ว่าเป็นมูลเหตุให้ศีลธรรมเสื่อมตามนัยนี้ Materialism หมายถึง ทัศนะทางจริยศาสตร์คือศาสตร์ที่ถือว่า ทรัพย์สินเงินทองและอำนาจเป็นสิ่งสำคัญ เพราะอำนวยความสุขสูงสุดให้แก่ชีวิตได้ จึงได้มีการบัญญัติคำว่า วัตถุนิยม (ปัจจุบันทางอภิปรัชญาก็ใช้เรียก วัตถุนิยม) คำ Materialism ที่ใช้ในอภิปรัชญานั้น หมายถึงทัศนะที่ว่าสะสารหรือพลังงานเป็นเครื่องกำหนดลักษณะพื้นฐานของสิ่งและเหตุการณ์ทั้งหลาย แต่สสารเท่านั้นเป็นภาวะที่มีอยู่จริงนอกนั้นไม่เชื่อว่ามีอยู่จริง สิ่งที่เรียกว่าจิตหรือประสบการณ์ทางจิตไม่มีอยู่จริง เป็นเพียงภาวะอนุพันธ์คือ เกิดจากสสารนั้นเอง หรือเรียกได้ว่าเป็นผลผลิตของสสารจึงได้มีการ บัญญัติว่า สสารนิยม

กลุ่มสสารนิยมถือว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นสสารหรือวัตถุ สสารนิยมนี้เริ่มต้นตั้งแต่ปรัชญายุคแรกของกรีกที่พยายามค้นหาคำตอบของโลกและสรรพสิ่ง (วัตถุ) ที่ปรากฏอยู่ โดยได้คำตอบแตกต่างกัน เช่น ธาเลส ตอบว่าโลกเกิดจากน้ำ อแนกซีแมนเดอร์ ตอบว่าโลกเกิดจากธาตุ 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ เมื่อธาตุ 4 นี้รวมกันกับสรรพสิ่งย่อมเกิดขึ้นนี่เป็นความคิดเบื้องต้นของกลุ่มสสารนิยม ลิวคิปปุสและเคโมคลิตุส ได้เชื่อว่าเป็นผู้ก่อตั้งกลุ่มสสารนิยมขึ้นอย่างแท้จริงโดยถือว่าวัตถุหรือสสารนั้นเกิดขึ้นจากการรวมตัวกันเองของอะตอมจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน วัตถุหรือสสารนั้นเมื่อแบ่งแยกออกเป็นส่วนย่อยที่สุดจนไม่สามารถแบ่งแยกต่อไปอีกได้เรียกว่า อะตอม สสารนิยมแบ่งเป็น 2 กลุ่มย่อย คือ

อะตอม (Atomism)

หรือ ปรมาณูนิยมนี้มีความเชื่อว่า ความเป็นจริงมีแต่สสารเพียงอย่างเดียว มวลสารนี้สามารถแบ่งเป็นหน่วยย่อยที่สุด เรียกว่า อะตอม (หรือ ปรมาณู) ซึ่งคำว่าอะตอมที่ใช้ในทางปรัชญานี้หมายถึง อนุภาคที่เล็กที่สุด เป็นอนุภาคสุดท้ายที่แยกต่อไปอีกไม่ได้แล้ว อะตอมนี้เป็นอนุภาคนิรันดร ไม่เกิด ไม่ตายมีมาเอง ไม่มีใครสร้าง และไม่มีใครทำลายได้ หรือแม้ว่าจะทำให้มันแตกออกก็ย่อมไม่ได้ แต่ถึงแม้ว่าอะตอมจะเล็กสักปานใดก็ตาม ตะตอมก็เป็นมวลสารที่มีขนาดรูปร่างและน้ำหนักนั้นคือแม้จะมีจำนวนมากมายก็ตาม อะตอมก็มีปริมาณคงตัว และคุณภาพของอะตอมแต่ละอนุภาคก็คงตัว (ทฤษฎีจึงมีลักษณะเป็นพหุนิยม สสารนิยม) ซึ่งแต่ละอนุภาคอาจแตกต่างกันในเนื้อสาร มวลสาร ขนาดรูปร่างและน้ำหนัก

ฮ็อบส์ (Thomas Hobbes) ได้เอาทฤษฎีปรมาณูของเดโมครีตัส มาพัฒนาจนถึงกับอธิบายว่าชีวิตคือ เครื่องจักร จึงได้ชื่อว่าเป็นบิดาของลัทธิจักรนิยม (Machanicism)

ฮ็อบส์ กล่าวว่า ความเป็นจริงมีแต่สสารซึ่งมีพลังประจำตัว พลังนี้อาจถ่ายทอดจากเทห์หนึ่งไปสู่เทห์อื่นได้ด้วยการประชิด ปรากฏการณ์ทั้งหลายในเอกภพเกิดจากการเปลี่ยนที่ของเทห์ด้วยอำนาจของพลังที่ถ่ายทอดกันระหว่างเทห์ โดยมีกฎแน่นอนตายตัวตามหลักกลศาสตร์ไม่มีอะไรเกิดขึ้นโดยบังเอิญ มีผลก็ต้องมีสาเหตุ เช่น มีไอน้ำเกิดในอากาศเกินจุดอิ่มตัวมาก ๆ ก็ต้องตกลงมาเป็นฝน เป็นต้น เขายังกล่าวว่าชีวิต คือ เครื่องจักรกลซับซ้อน โดยเปลี่ยนให้ดวงตาเหมือนกล้องถ่ายรูป ปอดเหมือนเครื่องปั้มลม ปากเหมือนโม่บด แขนเหมือนคานงัด นอกจากนั้นเขายังเปรียบหัวใจเหมือนสปริง เส้นประสาทเหมือนสปริงจำนวนมาก กระดูกข้อต่อเหมือนวงจักร สิ่งเหล่านี้ทำให้ร่างกายมนุษย์เคลื่อนไหวได้

คาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) กล่าวว่า สสารมีพลังตัวเองตามกฎปฏิพัฒนาการของเฮเกล คือจะต้องวางตัวให้ขัดแย้งกันเพื่อจะได้หาทางประนีประนอมกัน แล้วส่วนรวมก็จะก้าวหน้า เมื่อประนีประนอมกันแล้วจะต้องวางตัวให้ขัดแย้งกันต่อไปอีกเพื่อให้ได้ให้ก้าวหน้าต่อไป มาร์กซ์ กล่าวว่า มนุษย์ที่ต่อสู้มากจะพัฒนาเร็วกว่ามนุษย์ที่หลีกเลี่ยงการต่อสู้ แต่นั้นเป็นวิธีก้าวหน้าที่ยังฉลาดไม่ถึงขั้น เมื่อมนุษย์เรียนปรัชญาฉลาดถึงขั้นบรรลุอุตรญาณแล้วก็จะเข้าถึงสัจธรรม จะเป็นแข้งว่าวิธีที่มนุษย์จะก้าวหน้าได้แนบเนียนที่สุดก็คือ การต่อสู้การงานเมื่อมนุษย์ เข้าถึงสัจธรรมนี้กันหมดแล้ว มนุษย์ก็จะไม้ต่อสู้กันระหว่างมนุษย์ด้วยกันอีกต่อไป และจะไม่มีการแบ่งพวกขัดแย้งกันอีกต่อไป



พลังนิยม (Energetism)

พลังนิยมมีความเห็นว่าสสารมิได้มีมวลสารดังที่มนุษย์มีประสบการณ์ด้วยประสาทสัมผัส แต่เนื้อแท้เป็นพลังงานซึ่งเมื่อทำปฏิกริยากับประสาทสัมผัสของมนุษย์ทำให้รู้สึกไปว่ามีมวลสารพวกพลังนิยมจึงยืนยันว่าความเป็นจริงเป็นพลังงานเพียงอย่างเดียวที่กระทำการให้เกิดสิ่งต่าง ๆ และเหตุการณ์ทั้งหลายในเอกภาพ พลังงานดังกล่าวอาจเรียกชื่อเป็นอย่างอื่นไป ทำให้มีชื่อผิดเพี้ยนกันออกไปได้ นักปรัชญาพลังนิยมที่สมควรกล่าวถึงคือ

อาร์ทูร์ โชเป็นเฮาเออร์ กล่าวว่าความเป็นจริงแล้วเป็นพลังตาบอดที่ดิ้นรนไปตามธรรมชาติของพลังแสดงออกมาเป็นพลังต่าง ๆ ในธรรมชาติ เช่น พลังแม่เหล็ก พลังไฟฟ้า พลังน้ำตก พลังดึงดูด และสูงขึ้นมาเป็นพลังในพืช พลังสัญชาตญาณและพลังกิเลสในมนุษย์ มนุษย์เราจึงดิ้นรนที่จะเอาชนะอยู่ตลอดเวลา พลังในธรรมชาติทุกอย่างเป็นพลังดิ้นรนหรือเจตจำนงที่จะมีชีวิต (the will-to-live) เพราะการดิ้นรนนี้ไม่มีแผนผลจึงอาจะเป็นการก้าวหน้าหรือถอยหลังก็ได้ ความจริงจึงขึ้น ๆ ลง ๆ ไม่ราบรื่น แม้ว่าพลังส่วนรวมจะตาบอด แต่พลังที่แบ่งส่วนมาเป็นมนุษย์แต่ละส่วนนี้มีความสำนึกได้ เพราะเป็นพลังที่เข้มข้นที่สุด และอาจจะช่วยวางแผนแก้ปัญหาให้แก่พลังส่วนรวมได้ ซึ่งโชเป็นเฮาเออร์ได้กล่าวไว้ในปรัชญาจริยะ

นิตเช่ (Friedrich Nietzsche) ได้กล่าวแก้ไขความคิดของโชเป็นเฮาเออร์ว่าพลังตาบอดนั้นมีลักษณะเป็นการดิ้นรนเพื่อการอยู่รอด นั้นก็คือการดิ้นรนเพื่ออำนาจดังนั้นพลังรวมของโชเป็นเฮาเออร์ ควรเรียกใหม่ให้ถูกต้องว่า เจตจำนงที่จะมีอำนาจ (the will-to-power) จะสังเกตได้ว่าพลังที่แสดงออกในธรรมชาตินั้น บางทีก็ยอมเสี่ยงการมีชีวติเพื่อจะมีอำนาจเหนือหน่วยอื่นยิ่งในหมู่มนุษย์ด้วยแล้ว ยิ่งสังเกตเห็นได้ชัดเจนมากขึ้น คนต่อสู้กับคนเพื่อรักษาตำแหน่งผู้นำ ชาติต่อสู้กับชาติเพื่อความเป็นเจ้าโลก การต่อสู้ดิ้นรนเช่นนี้จะทำให้มนุษย์พยายามพัฒนาตนเองให้มีความสามารถเหนือผู้อื่นยิ่ง ๆ ขึ้นไป และจะเกิดมนุษย์ที่มีความสามารถเหนือผู้อื่นที่เรียกันทั่ว ๆ ไปว่า อภิมนุษย์ (Superman) ขึ้นในอนาคต

ทักซ์ปลังค์ (Max Planck) และนักวิทยาศาาตร์นิวเคลียร์ปัจจุบันบางท่านกล่าวว่ามนุษย์เราสามารถแยกปรมณูออกได้เป็นประจุไฟฟ้าซึ่งเป็นพลังงาน ซึ่งเป็นอันว่ามวลสารทั้งหลายประกอบจากพลังงานทั้งสิ้น พลังงานเลห่านี้มิได้รวมเป็นเนื้อเดียวแต่เป็นกลุ่มของอนุพลังงานซึ่งแต่ละอนุภาคจะแบ่งออกต่อไปอีกไม่ได้ เรียกว่า (Quantum) ควันตัมเป็นหน่วยย่อยที่สุดของพลังงาน ซึ่งเมื่อรวมตัวกันในลักษณะต่าง ๆ แล้วทำให้เกิดสิ่งทั้งหลายและเหตุการณ์ต่าง ๆ ในเอกภพ พลังงานในเอกภพมีพลังมากมายเหลือเกินจนไม่มีใครกำหนดได้แต่ที่น่าสังเกตก็คือพลังงานมิใช่คงตัวอยู่อย่างเดิมแต่จะเปลี่ยนแปลงคุณภาพอยู้เสมอ อาจจะดีหรือเลวลงก็ได้ แ ต่เท่าที่สังเกตเป็นส่วนรวมปรากฏว่าดีขึ้นเรื่อย ๆ

โดยสรุปจะเห็นได้ว่าลักษณะร่วมของนักปรัชญาพลังนิยม คือ สิ่งทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้นไม่มีเกณฑ์ตายตัว อาจจะเกิดขึ้นตรงตามวัตถุประสงค์ของมนุษย์หรือไม่ก็ได้ เช่น มนุษย์บางคนดิ้นรนเพื่อการมีรชีวิตอยู่รอด แต่ผลอาจจะตายก็ได้

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย