สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ การเมือง เศรษฐศาสตร์ >>

ประชาธิปไตยกับการเมืองไทย

เหตุการณ์หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475
กลไกของรัฐตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
การปฏิรูปสภาผู้แทนราษฎร
การปฏิรูปวุฒิสภา
การปฏิรูปกระบวนการนิติบัญญัติ
การปฏิรูประบบราชการ
ศาลปกครอง
ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา

ศาลปกครอง

รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมิใช่รัฐธรรมนูญฉบับแรกที่บัญญัติให้มีศาลปกครอง เพราะรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2517 และรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2534 ก็มีบทบัญญัติในเรื่องศาลปกครองเช่นเดียวกัน แต่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเป็นรัฐธรรมนูญที่บัญญัติเรื่องศาลปกครองในระบบ “ศาลคู่” ซึ่งเป็นระบบที่แยกคดีปกครองออกจากคดีแพ่ง และคดีอาญาทั่วไป คดีปกครองมีศาลปกครองทำหน้าที่วินิจฉัย คดีแพ่งและคดีอาญามีศาลยุติธรรมทำหน้าที่ชี้ขาด ศาลปกครองและศาลยุติธรรมต่างก็มีศาล 3 ชั้นเคียงคู่ขนานกันไป

รัฐธรรมนูญมาตรา 276 บัญญัติให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่เป็นคดีข้อพิพาทระหว่างหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ในบังคับบัญชาหรือในกำกับดูแลของรัฐบาลกับเอกชน หรือระหว่างหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ในบังคับบัญชาหรือในกำกับดูแลของรัฐบาลด้วยกัน ซึ่งเป็นข้อพิพาทอันเนื่องมาจากการกระทำหรือการละเว้นการกระทำที่หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้นต้องปฏิบัติตามกฎหมาย หรือเนื่องจากการกระทำหรือการละเว้นการกระทำที่หน่วยราชการของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้น ต้องรับผิดชอบในการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย

การปฏิรูปกระบวนการทำงานของศาล

การนั่งพิจารณาคดี
มาตรา 236 ของรัฐธรรมนูญบัญญัติว่า “การนั่งพิจารณาคดีของศาลจะต้องมีผู้พิพากษาหรือตุลาการครบองค์คณะ และผู้พิพากษาหรือตุลาการซึ่งมิได้นั่งพิจารณาคดีใด จะทำคำพิพากษาหรือคำวินิจฉัยนั้นมิได้ เว้นแต่มีเหตุสุดวิสัย หรือมีเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้”

เพิ่มความอิสระในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดี

มาตรา 249 วรรค 2 บัญญัติว่า “การพิจารณาพิพากษาอรรถคดีของผู้พิพากษาและตุลาการไม่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาตามลำดับขั้น นอกจากนี้” มาตรา 249 วรรค 5 ยังบัญญัติว่า “การโยกย้ายผู้พิพากษาและตุลาการ โดยมิได้รับความยินยอมจากผู้พิพากษาและตุลาการนั้นจะกระทำมิได้ เว้นแต่เป็นการโยกย้ายตามวาระที่กฎหมายบัญญัติ เป็นการเลื่อนตำแหน่งให้สูงขึ้น เป็นกรณีที่อยู่ในระหว่างถูกดำเนินการทางวินัย หรือตกเป็นจำเลยในคดีอาญา

การจ่าย การเรียกคืน และการโอนสำนวนคดี

มาตรา 249 วรรค 3 และ วรรค 4 บัญญัติให้ การจ่ายสำนวนคดีต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายบัญญัติและการเรียนคืนสำนวนคดีจะกระทำมิได้ เว้นแต่เป็นกรณีที่จะกระทบกระเทือนต่อความยุติธรรมในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดี

การให้ผู้พิพากษาที่ครบเกษียณอายุราชการสามารถดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโสได้

เป็นที่ทราบกันดีว่าในปัจจุบันระบบศาลยุติธรรมของเรานั้น เป็นระบบที่มีการเลื่อนตำแหน่งไปตามอายุราชการโดยระบบอาวุโส ศาลชั้นต้นจึงแทบไม่มีผู้พิพากษาอาวุโสที่มีประสบการณ์นั่งพิจารณาพิพากษาคดีเลย อันกระทบต่อคุณภาพของคำพิพากษาของศาลชั้นต้นเป็นอย่างมาก รัฐธรรมนูญมาตรา 334 (2) ได้บัญญัติให้มีการตรากฎหมายกำหนดหลักเกณฑ์ให้ผู้พิพากษาศาลยุติธรรมซึ่งจะมีอายุครบ 60 ปี บริบูรณ์ในปีงบประมาณใด ไปดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโส เพื่อนั่งพิจารณาพิพากษาคดีในศาลชั้นต้น ตั้งแต่วันถัดจากวันสิ้นปีงบประมาณที่มีอายุ 60 ปีบริบูรณ์ จนถึงวันสิ้นปีงบประมาณที่ผู้พิพากษาผู้นั้นอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ และหากผู้พิพากษาอาวุโสใดผ่านการประเมินตามที่กฎหมายบัญญัติยังมีสมรรถภาพในการปฏิบัติหน้าที่ ก็ให้ดำรงตำแหน่งต่อไปจนถึงวันสิ้นปีงบประมาณที่ผู้พิพากษาผู้นั้นมีอายุครบ 70 ปีบริบูรณ์

 

การสร้างกลไกในการชี้ขาดข้อขัดแย้งระหว่างศาลต่างๆ

เดิมเรื่องนี้เป็นอำนาจหน้าที่ของตุลาการรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตาม รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้เปลี่ยน แปลงหลักการดังกล่าว โดยบัญญัติให้เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการชุดหนึ่ง มาตรา 248 บัญญัติว่า “ในกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลยุติธรรม ศาลปกครอง ศาลทหาร หรือศาลอื่น ให้พิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดโดยคณะกรรมการคณะหนึ่ง ซึ่งประกอบด้วยประธานศาลฎีกาเป็นประธาน ประธานศาลปกครองสูงสุด ประธานศาลอื่น และผู้ทรงคุณวุฒิอื่นอีกไม่เกิน 4 คน ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้เป็นกรรมการ

3. องค์กรอื่นๆ ตามรัฐธรรมนูญ

แนวความคิดที่ถือว่าอำนาจอธิปไตยแบ่งเป็น 3 ประเภท คือ อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการนั้น กล่าวได้ว่าเป็นแนวความคิดที่ไม่ได้รับการยอมรับในปัจจุบัน ทั้งนี้เพราะมีอำนาจอธิปไตยเพียงหนึ่งเดียว แต่แยกใช้โดยองค์กรต่างๆ ตามรัฐธรรมนูญเท่านั้น และในปัจจุบันรัฐธรรมนูญไม่ได้บัญญัติถึงองค์กรนิติบัญญัติ องค์กรบริหาร และองค์กรตุลาการเท่านั้น องค์กรหลายองค์กรได้รับการจัดตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญ และมีอำนาจหน้าที่แตกต่างกันเป็นอย่างมาก จนน่าจะจัดองค์กรเหล่านี้ออกมาอีกกลุ่มต่างหาก

ตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมีองค์กรที่ได้รับจัดตั้งขึ้นใหม่อยู่ 6 องค์กรด้วยกัน

สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติมีหน้าที่ที่สำคัญ 2 ประการ (มาตรา 89) คือ

  1. ให้คำปรึกษา และข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีในปัญหาต่างๆ ที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจและสังคม
  2. ให้ความเห็นต่อแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือแผ่นอื่นตามที่กฎหมายกำหนด

คณะกรรมการการเลือกตั้ง

คณะกรรมการการเลือกตั้งประกอบด้วยประธานกรรมการคนหนึ่งและกรรมการอีก 4 คน ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามคำแนะนำของวุฒิสภา จากผู้ซึ่งมีความเป็นกลางทางการเมืองและมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ (มาตรา 136)

คณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้

  1. ออกประกาศกำหนดการทั้งหลายอันจำเป็นแก่การปฏิบัติตามกฎหมายตามมาครา 144 วรรค 2
  2. มีตำสั่งให้ข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ ปฏิบัติการทั้งหลายอันจำเป็นตามกฎหมาย ตามมาตรา 144 วรรค 2
  3. สืบสวนสอบสวนเพื่อหาข้อเท็จจริงและวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาหรือข้อโต้แย้งที่เกิดขึ้นตามกฎหมาย ตามมาตรา 144 วรรค 2
  4. สั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่หรืออกเสียงประชามติในหน่วยเลือกตั้งใดหน่วยเลือกตั้งหนึ่ง หรือทุกหน่วยเลือกตั้ง เมื่อมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าการเลือกตั้งหรือการออกเยงประชามติในหน่วยเลือกตั้งนั้นๆ มิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม
  5. ประกาศผลการเลือกตั้งและการออกเสียงประชามติ
  6. ดำเนินการอื่น ตามที่กฎหมายบัญญัติ

ในการปฏิบัติหน้าที่ คณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจเรียกเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องจากบุคคลใด หรือเรียกบุคคลใดมาให้ถ้อยคำ ตลอดจนให้ศาล พนักงานอัยการ พนักงานสอบสวน หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น ดำเนินการเพื่อประโยชน์แห่งการปฏิบัติหน้าที่การสืบสวน สอบสวน หรือวินิจฉัยชี้ขาด

คณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจแต่งตั้งบุคคล คณะบุคคล หรือผู้แทนองค์กรเอกชน เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามที่มอบหมาย (มาตรา 145)

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย