สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ การเมือง เศรษฐศาสตร์ >>

ประชาธิปไตยกับการเมืองไทย

เหตุการณ์หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475
กลไกของรัฐตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
การปฏิรูปสภาผู้แทนราษฎร
การปฏิรูปวุฒิสภา
การปฏิรูปกระบวนการนิติบัญญัติ
การปฏิรูประบบราชการ
ศาลปกครอง
ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา

กลไกของรัฐตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

ตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ซึ่งประกาศใช้เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ.2540 มีบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับ “การปฏิรูป” อยู่หลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปฏิรูปการเมืองซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับนี้

เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า เพื่อให้บรรลุถึงการปฏิรูปทางการเมืองดังกล่าวข้างต้น รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้ก่อให้เกิดผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อกลไกของรัฐ ซึ่งในกรณีนี้อาจแยกพิจารณาได้เป็นสี่กรณีด้วยกัน คือ กลไกของรัฐในทางนิติบัญญัติ กลไกของรัฐทางบริหาร กลไกของรัฐในทางตุลาการ และองค์กรอื่นๆ ตามรัฐธรรมนูญ

กลไกของรัฐในทางนิติบัญญัติ

กลไกของรัฐในทางนิติบัญญัติได้รับการเปลี่ยนแปลงจากรัฐธรรมนูญอยู่ 2 ประการใหญ่ๆ คือ การปฏิรูประบบผู้แทนและการปฏิรูปกระบวนการนิติบัญญัติ

การปฏิรูประบบผู้แทน

รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ยังคนยืนอยู่บนหลักการของการปกครองแบบรัฐสภา ที่ฝ่ายสภาและฝ่ายบริหารมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด กล่าวโดยเฉพาะฝ่ายสภานั้น แม้จะมีการอภิปรายถกเถียงกันเป็นอย่างมากในหมู่ สสร. ว่าควรจะเป็นแบบสภาเดียวหรือสองสภา แต่ในท้ายที่สุดสภาร่างรัฐธรรมนูญก็ยังเล็งเห็นถึงความสำคัญของการมีวุฒิสภาในฐานะที่เป็นองค์กรกลั่นกรองกฎหมายและองค์กรตรวจสอบ

ก่อนที่จะกล่าวถึงองค์ประกอบ ที่มา และอำนาจหน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ควรจะได้กล่าวถึงพรรคการเมืองในฐานะที่เป็นองค์กรภาคมหาชนองค์กรหนึ่งที่จะมีผลต่อการปฏิรูประบบผู้แทนอย่างแท้จริง



การปฏิรูปพรรคการเมือง

มีการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงอยู่หลายประเด็น ทั้งในเรื่องการจัดตั้ง การทำให้พรรคการเมืองเป็นประชาธิปไตย การเสริมสร้างระบบพรรคการเมือง การให้เงินอุดหนุนแก่พรรคการเมือง และควบคุมตรวจสอบพรรคการเมืองได้แก่

  1. การให้จัดตั้งพรรคการเมืองได้ง่ายโดยบุคคลอายุ 20 ปีบริบูรณ์ เพียง 15 คนขึ้นไป และยกเลิกการจดทะเบียนพรรคการเมือง แต่เปลี่ยนเป็นการจดแจ้งการจัดตั้งพรรคการเมืองแทน (มาตรา 328 อนุ 1) อย่างไรก็ตาม ภายใน 180 วัน นับแต่วันที่นายทะเบียนรับจดแจ้งการจัดตั้งพรรคการเมือง พรรคการเมืองต้องดำเนินการให้มีสมาชิกตั้งแต่ 5,000 คนขึ้นไป ซึ่งอย่างน้อยต้องประกอบด้วยสมาชิซึ่งมีที่อยู่ในแต่ละภาคตามบัญชีรายชื่อภาคและจังหวัดที่นายทะเบียนประกาศกำหนดและมีสาขาพรรคการเมืองอย่างน้อยภาคละ 1 สาขา (มาตรา 29 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2541)
  2. การจัดองค์กรภายใน การดำเนินกิจการและข้อบังคับของพรรคการเมืองต้องสอดคล้องกับหลักการพื้นฐานของการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (มาตรา 47 วรรค 2)
  3. การเปิดโอกาสให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นสมาชิกพรรคการเมืองจำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 4 ของจำนวนสมาชิกที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรรมการบริหารของพรรคการเมืองจำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของจำนวนกรรมการบริหารพรรคการเมือง หรือสมาชิกพรรคการเมืองจำนวนไม่น้อยกว่า 50 คน (พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2541 มาตรา 28) ซึ่งเห็นว่ามติหรือข้อบังคับในเรื่องใดของพรรคการเมืองที่ตนเป็นสมาชิกอยู่นั้น จะขัดต่อสถานะและการปฏิบัติหน้าที่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญนี้ หรือขัดแย้งกับหลักการพื้นฐานแห่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีสิทธิร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ามติหรือข้อบังคับดังกล่าวเป็นอันยกเลิกไปหรือไม่ (มาตรา 47 วรรค 3 และ 4
  4. การบังคับให้ผู้สมัคร ส.ส.ต้องสังกัดพรรคการเมืองและหาก ส.ส. พรรคใดขาดสมาชิกภาพพรรคเมื่อใดก็ต้องขาดจาก ส.ส. ไปด้วยเช่นกัน เหตุผลก็เพื่อรักษาเสถียรภาพและส่งเสริมประสิทธิภาพของระบบผู้แทนไว้ (มาตรา 117 อนุ 8)
  5. การให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ต้องเป็นสมาชิกพรรคการเมืองที่ลงสมัครไม่น้อยกว่า 90 วัน (มาตรา 107 อนุ 4) ซึ่งจะมีผลทำให้อนาคตจะมีการย้ายพรรคได้ยากขึ้นหรือแทบเป็นไปไม่ได้
  6. การให้มีการสนับสนุนทางการเงินหรือประโยชน์อย่างอื่นแก่พรรคการเมืองโดยรัฐ (มาตรา 328 อนุ 5) โดยในการจัดสรรเงินสนับสนุนจะต้องจัดสรรเป็นรายปี และให้คำนึงถึงจำนวนสมาชิกซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคการเมือง จำนวนคะแนนเสียงจากบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองที่พรรคการเมืองได้รับในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งหลังสุด จำนวนสมาชิกของพรรคการเมืองและจำนวนสาขาพรรคการเมืองตามลำดับ (มาตรา 58 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2541)
  7. การสนับสนุนการจัดตั้งและพัฒนาสาขาพรรคโดยรัฐ (มาตรา 328 อนุ 4)
  8. การจำกัดวงเงินค่าใช้จ่ายของพรรคการเมืองในการเลือกตั้งและการควบคุมการรับบริจาคเงินของพรรคการเมือง (มาตรา 328 อนุ 5)
  9. การตรวจสอบสถานะทางการเงินของพรรคการเมือง รวมทั้งการตรวจสอบและการเปิดเผยที่มาของรายได้และการใช้จ่ายของพรรคการเมือง (มาตรา 328 อนุ 6)
  10. การจัดทำบัญชีแสดงรายรับและรายจ่ายของพรรคการเมือง และบัญชีแสดงทรัพย์สินและหนี้สินของพรรคการเมือง ซึ่งต้องแสดงโดยเปิดเผยซึ่งที่มาของรายได้และการใช้จ่ายประจำปีของพรรคการเมืองในทุกรอบปีปฏิทิน เพื่อเสนอต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งเพื่อตรวจสอบและประกาศให้สาธารณชนทราบ (มาตรา 328 อนุ 7)

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย