สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ การเมือง เศรษฐศาสตร์ >>

พัฒนาการสังคมไทย
ดุจฤดี คงสุวรรณ์

สมัยกรุงรัตนโกสินทร์

(พุทธศตวรรษที่ 24-25)

หลังจากที่สมเด็จพระเจ้าตากสินได้ทรงกอบกู้เอกราชและสร้างราชธานีแห่งใหม่ที่กรุงธนบุรีเป็นเวลา 15 ปี ใน พ.ศ. 2325 ได้สถาปนาราชธานีกรุงเทพฯหรือที่เรียกว่ากรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นเป็นเมืองหลวง โดยมีพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเป็นปฐมกษัตริย์ โดยย้ายศูนย์กลางมาอยู่ฝั่งตรงข้ามและได้สร้างวัดใหม่ขึ้นในฐานะศูนย์กลางอันศักดิ์สิทธิ์ คือวัดพระศรีรัตนศาสดาราม

ในช่วงนี้บ้านเมืองยังคงวุ่นวายกับการพัฒนาเมืองหลวงแห่งใหม่ เช่น การขุดคลองรอบกรุง การจัดระเบียบชุมชน สร้างป้อมและกำแพงเมือง นอกจากนั้นยังมีการฟื้นฟูวรรณคดี และได้รวบรวมกฎหมายที่ตกทอดมาตั้งแต่สมัยอยุธยามาชำระใหม่เพราะยังมีความคลาดเคลื่อนและไม่ยุติธรรมอยู่ จึงเกิดเป็นกฎหมายตราสามดวงขึ้น และจารึกไว้ 3 ฉบับ ประทับตราราชสีห์ คชสีห์ และบัวแก้ว

สภาพสังคมในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ มีการแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่งขุนนางเป็นจำนวนมาก เพราะขุนนางเสียชีวิตในคราวสงครามกับพม่าปลายสมัยกรุงศรีอยุธยาแสมัยกรุงธนบุรีตลอดจนการจลาจลปลายสมัยกรุงธนบุรีเป็นจำนวนมาก ได้มีการแก้ไขปัญหาขาดแคลนข้าราชการโดยยกเลิกกฎเกณฑ์คุณสมบัติของผู้เข้าเป็นขุนนาง เปิดโอกาสให้สามัญชนซึ่งมีความรู้ ความประพฤติดีเข้าเป็นขุนนางได้

  1. พระมหากษัตริย์ ในสมัยนี้มีความใกล้ชิดกับขุนนางด้วยการสร้างความสัมพันธ์ทางเครือญาติกับบรรดาขุนนางตระกูลสำคัญ ๆ เพื่อเพิ่มความจงรักภักดีในหมู่ขุนนางให้แน่นแฟ้นมากขึ้น เป็นการสร้างเสถียรภาพและความมั่นคงของราชบัลลังก์ นอกจากนี้นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลในการค้าขายต่างประเทศให้พระบรมวงศ์ศานุวงศ์และขุนนางมีความสัมพันธ์ทางเครือญาติและอุปถัมภ์อย่างใกล้ชิด ทำให้สามารถแสวงหารายได้ผลประโยชน์จากตำแหน่งหน้าที่เป็นผู้ที่มีฐานะมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ มีอำนาจทางเศรษฐกิจ มีอำนาจทางการเมือง มีการประสานประโยชน์ระหว่างพระมหากษัตริย์ เจ้านาย และขุนนาง

    การเลื่อนฐานะของพวกเจ้านายในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์โดยเฉพาะสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มีลักษณะเป็นก้าวกระโดด เพราะเป็นช่วงตั้งเมืองหลวงและราชวงศ์ใหม่ การเลื่อนชั้นทางสังคมจึงเลื่อนจากสามัญชนในสกุลขุนนางซึ่งสนับสนุนพระองค์ในการปราบดาภิเษกและสถาปนาราชวงศ์ใหม่ขึ้นเป็นชนชั้นเจ้า การแต่งตั้งเจ้าให้ทรงกรมขึ้นอยู่กับความเป็นเครือญาติใกล้ชิดกับพระมหากษัตริย์ และมีความสามารถช่วยเหลือในการบริหารบ้านเมือง อำนาจของเจ้านายแต่ละพระองค์ไม่เท่าเทียมกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับตำแหน่งทางราชการกำลังไพร่ในสังกัดและตามพระราชอัธยาศัยของพระมหากษัตริย์ อนึ่งสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นมีการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับขอบเขตอำนาจเจ้านายในเรื่องไพร่สมในสังกัด ซึ่งเป็นปัญหาในสมัยกรุงศรีอยุธยา เพราะเจ้าทรงมีอำนาจและเป็นผู้คุกคามที่สำคัญของพระมหากษัตริย์ กล่าวคือมีการส่งข้าราชการชั้นสูงจากเมืองหลวงไปทำการสักไพร่ทั่วราชอาณาจักรทุกต้นรัชกาลใหม่ โดยสักชื่อมูลนายและชื่อเมืองที่สังกัดที่ข้อมือไพร่เป็นมาตรการจำกัดกำลังเจ้านายอีกประการหนึ่ง คือ ไพร่สมจะโอนเป็นไพร่หลวงเมื่อเจ้านายหรือขุนนางผู้ใหญ่ถึงแก่อนิจกรม เจ้านายมีสิทธิพิเศษตามกฎหมาย คือ จะพิจารณาคดีเจ้านายในศาลกรมวังเท่านั้น และจะนำเจ้านายไปขายเป็นทาสมิได้
  2. พระมหาอุปราช เป็นเจ้าวังหน้าตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคล และมักจะสถาปนาพระอนุชาให้ดำรงตำแหน่ง นอกจากนั้นยังมีอัครเสนาบดี และเสนาบดีจตุสดมภ์ คือ กรวมเวียง กรมวัง กรมคลัง กรมนา ตำแหน่งเหล่านี้ถ้าเกิดมาเหตุสงครามก็ต้องไปเป็นแม่ทัพ
  3. ไพร่ ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ได้รับการผ่อนปรนเรื่องการเกณฑ์แรงงานจากปีละ 6 เดือน (เข้าเดือนออกเดือน) ในสมัยกรุงศรีอยุธยา เหลือปีละ 4 เดือน (เข้าเดือนออก 2 เดือน) ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (กฎหมายตราสามดวง. 2506 : 205-207) ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยลดเหลือปีละ 3 เดือน (เข้าเดือนออก 3 เดือน) อัตราการเกณฑ์แรงงานปีละ 3 เดือนนี้ใช้ไปจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก่อนการประกาศใช้พระราชบัญญัติการเกณฑ์ทหาร อย่างไรก็ดีระบบไพร่ทำให้ขัดขวางความชำนาญในการทำอาชีพของคนไทย จึงทำให้ชาวต่างชาติโดยเฉพาะชาวจีนเข้าควบคุมกิจการด้านเศรษฐกิจเกือบทั้งหมด
  4. ทาส ทาสในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ยังคงมีสภาพเช่นเดียวกับทาสสมัยกรุงศรีอยุธยา ทาสในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น มักจะเป็นทาสสินไถ่ ซึ่งสามารถไถ่ตัวให้พ้นจากการเป็นทาสได้ ทาสเชลยไม่มีค่าตัวต้องเป็นเชลยไปตลอดชีวิตจนกระทั่ง พ.ศ.2348 จึงมีกฎหมายระบุให้ทาสเชลยมีค่าตัว และไถ่ตัวเองได้ ส่วนทาสในเรือนเบี้ยหรือลูกทาสต้องเป็นทาสตลอดชีวิต ไม่มีสิทธิไถ่ตัว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงออกพระราชบัญญัติ เกษียณอายุลูกทาสลูกไท พ.ศ.2417 ประกาศให้ลูกทาสที่เกิดตั้งแต่ปีที่พระองค์ขึ้นครองราชย์ (พ.ศ.2411) เป็นอิสระเมื่อมีอายุบรรลุนิติภาวะ และขายตัวเป็นทาสอีกไม่ได้
  5. ชาวต่างชาติ ชาวจีนเป็นผู้มีบทบาทและความสำคัญต่อสังคมไทยด้านเศรษฐกิจมาตั้งแต่สมัยอาณาจักรอยุธยา ชาวจีนอพยพเข้ามาอยู่ในดินแดนไทยมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ซึ่งอาจแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ประเภทแรก เป็นพวกที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับชนชั้นสูงในสังคมไทยและมีการอุปถัมภ์ซึ่งกันและกัน เพื่อเป็นหนทางในการเลื่อนฐานะทางสังคมและก้าวขึ้นสู่ชนชั้นขุนนางด้วยการให้ผลประโยชน์แก่เจ้านายและขุนนางไทยออกไปค้าขายยังประเทศจีน ดังจะเห็นได้จากการที่หัวหน้าชาวจีนได้เข้าสู่ชนชั้นขุนนางโดยการเป็นเจ้าภาษีนายอากร มียศหรือบรรดาศักดิ์ เป็นพระ ขุน หมื่น มีศักดินา 400 ขึ้นไป พ่อค้าหรือเจ้าภาษี ชาวจีนในหัวเมืองหลายคนได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมือง คนเหล่านี้มีฐานะมั่งคั่ง บางครอบครัวมีความสัมพันธ์โดยการแต่งงานกับชนชั้นเจ้านาย ขุนนาง หรือถวายตัวต่อพระมหากษัตริย์ ชาวจีนประเภทที่สอง คือ พวกที่รับจ้างเป็นกรรมกรเพื่อทำงานสาธารณูปโภค ต่าง ๆ แทนแรงงานไพร่ ทำงานในเหมืองแร่ดีบุก ช่างปูน ช่างต่อเรือ กรรมการในโรงงานน้ำตาลทราย ทำไร่อ้อย พริกไทย ยาสูบ และค้าขายแถบลุ่มแม่น้ำแม่กลอง หรือหัวเมืองชายทะเลตะวันออกและภาคใต้ของไทย

พ่อค้าชาวจีนได้รับอภิสิทธิ์หลายประการ เช่น เดินทางและตั้งถิ่นฐานได้ทั่วราชอาณาจักร ไม่ต้องเกณฑ์แรงงานแต่เสียเงินค่าผูกปี้ข้อมือเป็นเงิน 1.50 บาทต่อทุกสามปี ต่อมาในมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัฐบาลประกาศเลิกวิธีผูกปี้ข้อมือชาวจีนมาเป็นการเก็บเงินค่าราชการปีละ 6 บาท การที่การค้าของไทยทั้งการค้าต่างประเทศและการค้าภายในประเทศช่วงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ดำเนินการโดยพระมหากษัตริย์ เจ้านาย ขุนนาง และพ่อค้าจีน พ่อค้าเจ้าภาษีนายอากรชาวจีน มีฐานะมั่งคั่งเหล่านี้ได้เข้ามาอยู่ในสังคมชั้นเดียวกับชนชั้นสูงของไทยได้อาศัยระบบศักดินาและการอุปถัมภ์ของชนชั้นสูงเหล่านี้ดำเนินการธุรกิจจนกลายเป็นผู้มีฐานะร่ำรวย กลายเป็นค่านิยมที่เห็นความสำคัญของทรัพย์สมบัติหรือฐานะทางเศรษฐกิจควบคู่ไปกับค่านิยมการสะสมไพร่บริวาร

สภาพเศรษฐกิจของประเทศไทยในช่วงต้นจึงเป็นลักษณะแบบเลี้ยงตัวเอง พลเมืองมีอาชีพเกษตรเป็นหลัก ผลผลิตสำคัญคือข้าว ฝ้าย อ้อย ยาสูบ เป็นต้น รัฐบาลมีรายได้หลายทาง เช่น จังกอบ อากรฤชา ส่วย และรายได้จากการค้าต่างประเทศ การค้าสำเภา และการค้าแบบผูกขาด ภาษีส่วนใหญ่รัฐบาลมอบให้พ่อค้าจีนผูกขาดเก็บภาษีแทนรัฐบาล และจะมีการเดินสวนใหม่ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนรัชกาลเพื่อวัดที่ดินแล้วเก็บเงินตามโฉนดนั้น

ความสัมพันธ์กับต่างชาติอันดับแรกนั้นคือชาติจีนโดยมีการติดต่อค้าขายมาตั้งแต่ครั้งสมัยสุโขทัยแล้วโดยทางเรือสำเภา พอมาในสมัยรัตนโกสินทร์ชาวจีนก็ได้อพยพมาตั้งถิ่นฐานที่ประเทศไทยมากขึ้นเรื่อยๆ และส่วนใหญ่การค้าขายมักจะเป็นไปในลักษณะเกื้อกูลกัน ส่วนชาติตะวันตกที่เข้ามามีบทบาทคือ โปรตุเกสเพราะได้มีการส่งสาสน์ในการขอให้เรือของตนเข้ามาค้าขายได้อย่างสะดวก และทางไทยกำลังต้องการซื้อปืนมาใช้รักษาพระนคร อย่างไรก็ดีการติดต่อกับโปรตุเกสทำให้ไทยได้เรียนรู้วิทยาการต่างๆมากมาย เช่น การทำปืนไฟ ขนม ตำรายา เป็นต้น ซึ่งผิดกับการเข้ามาของชาวอังกฤษที่เริ่มในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือ การเมืองและการค้า โดยมีครอเฟริ์ด เป็นผู้ที่เข้าเจรจาทางการค้ากับไทยคนแรกๆ โดยไทยยังคงได้ผลประโยชน์อยู่บ้าง แต่ต่อมาเฮนรี เบอร์นี ซึ่งเป็นทูตคนทีสองได้เข้ามาได้ตกลงทำสัญญาค้าขายให้อังกฤษเข้ามาทำการค้าได้โดยเสรี ส่วนอเมริกานั้นก็เข้ามาในประเทศไทยด้วยเช่นกันและก็ได้ให้ความรู้เกี่ยวกับการศึกษาไว้มาก แต่อย่างไรก็ดีจุดประสงค์หลักคือการได้เข้ามาข้าขายในประเทศไทยได้อย่างเสรี

» วิวัฒนาการทางสังคมไทย

» สมัยทวารวดี

» สมัยศรีวิชัย

» สมัยลพบุรี

» สมัยหริภุญไชย

» สมัยล้านนา

» สมัยสุโขทัย

» สมัยกรุงศรีอยุธยา

» สมัยกรุงรัตนโกสินทร์

» สังคมไทยสมัยใหม่

» การเปลี่ยนแปลงทางสังคม

» สังคมไทยในยุคโลกาภิวัตน์

» สังคมไทยในภาคเหนือ

» สังคมไทยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

» สังคมไทยในภาคกลาง

» สังคมไทยในภาคใต้

» สังคมเมือง

» การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมของสังคมเมืองและสังคมชนบท

» การเปลี่ยนแปลงและพัฒนาสังคมชนบทในภาคเหนือ

» การเปลี่ยนแปลงและพัฒนาสังคมชนบทในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

» การเปลี่ยนแปลงและพัฒนาสังคมชนบทในภาคใต้

» การเปลี่ยนแปลงและพัฒนาสังคมชนบทในภาคกลาง

» ปัญหาสังคมและแนวทางแก้ไข

» ลักษณะของปัญหาสังคม

» สาเหตุของการเกิดปัญหาสังคม

» แนวทางในการศึกษาปัญหาสังคม

» ปัญหายาเสพติด

» ปัญหาคอร์รัปชั่น

» ปัญหาความยากจน

» ปัญหาการแพร่กระจายของโรคเอดส์

» ด้านการศึกษาและสังคม

» ปัญหาเด็กและเยาวชน

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย