สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ การเมือง เศรษฐศาสตร์ >>
พัฒนาการสังคมไทย
ดุจฤดี คงสุวรรณ์
สมัยกรุงศรีอยุธยา
(พุทธศตวรรษที่ 20-23)
สภาพสังคมในสมัยกรุงศรีอยุธยา
พัฒนามาจากรัฐเล็กรัฐน้อยบริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา รวมเป็นอาณาจักร
โดยมีสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) เป็นผู้สถาปนาอาณาจักรขึ้นใน
พ.ศ.2310 อยุธยามีแม่น้ำสายหลักที่ไหลมาจากหัวเมืองทางเหนือ คือ แม่น้ำป่าสัก
แม่น้ำลพบุรี และแม่น้ำเจ้าพระยา
โอบล้อมตัวเมืองเป็นเกาะแล้วไหลไปทางใต้ลงสู่อ่าวไทย
ด้วยสภาพภูมิประเทศที่เอื้อต่อเส้นทางคมนาคมและค้าขายกับชุมชนภายนอกซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราชธานีแห่งนี้มีความเจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว
นอกจากนั้นยังมีความเข้มแข็งด้วยมีเมืองสุพรรณบุรี และลพบุรีเป็นฐานอำนาจสำคัญ
ด้วยเหตุดังกล่าวอยุธยาจึงจำเป็นต้องมีแรงงานในการสร้างบ้านเมือง
ทำนาทำไร่ตลอดจนเป็นกำลังรบในยามสงคราม
อาณาจักรอยุธยามีพื้นที่ดินอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การทำนาโดยไม่ต้องอาศัยการจัดชลประทานขนาดใหญ่โดยรัฐ
ดังนั้นการควบคุมแรงงานราษฎรและการรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางของรัฐ
ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้นจึงมีขอบเขตจำกัด
ต้องประนีประนอมผลประโยชน์และอำนาจทางการเมือง หรือชนชั้นผู้นำ เรียกว่า ระบบไพร่
ซึ่งรากฐานการควบคุมแรงงานนี้มาจากการจัดตั้งชุมชนเล็ก ๆ ในท้องถิ่นนั่นเอง
หลักฐานจากฎหมายลักษณะรับฟ้อง พ.ศ. 1899
แสดงว่าระบบไพร่คงมีมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง)
โดยแบ่งคนในสังคมเป็น 2 ชั้น คือ ผู้ปกครอง ได้แก่ มูลนาย
และผู้อยู่ใต้การปกครองคือ ราษฎร ต้องมีมูลนายที่ตนสังกัด
จึงจะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย
การจัดหมวดหมู่ราษฎรในระบบไพร่ระยะแรกนี้มูลนายและไพร่แจะมีภูมิลำเนาอยู่ในเมืองเดียวกัน
เพื่อสะดวกในการเกณฑ์ยามเกิดศึกสงคราม หรืองานราชการพึงประสงค์
สะท้อนให้เห็นว่าเจ้าเมืองหรือผู้นำท้องถิ่นเป็นผู้ควบคุมแรงงานไพร่ในเมืองของตนเป็นเอกเทศ
สามารถสะสมไพร่ได้ไม่จำกัดขอบเขต โดยที่พระมหากษัตริย์ไม่แทรกแซงเกี่ยวข้องมากนัก
โดยเฉพาะเจ้านายที่ปกครองเมืองลูกหลวง ดังนั้นการเมืองสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น
เมื่อพระมหากษัตริย์องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์
จึงมักต้องเผชิญกับการท้าทายอำนาจจากเจ้าเมืองลูกหลวงที่เข้มแข็งกว่า
สามารถเคลื่อนทัพเข้ามายังกรุงศรีอยุธยาทำการยึดอำนาจและปกครองเสียเอง
การเมืองและสถาบันกษัตริย์จึงขาดเสถียรภาพ
เป็นสาเหตุหนึ่งทำให้สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงปรับเปลี่ยนรูปแบบการบริหารราชการใหม่
และออกกฎหมายจัดระเบียบการควบคุมคนให้รัดกุมโดยใช้ระบบศักดินาซึ่งได้รับการเปลี่ยนแปลงบ้างให้เหมาะสมกับกาลเวลาและใช้เรื่อยมา
จนมีการยกเลิกระบบไพร่ พ.ศ.2448 ปลายสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
นอกจากนี้ยังมีการตรากฎหมายพระไอยการตำแหน่งนาพลเรือน
และพระไอยการตำแหน่งนายทหารหัวเมือง พ.ศ.1998
เป็นกฎหมายควบคุมกำลังคนอย่างมีระบบและรวมอำนาจสู่ศูนย์กลางกำหนดหน้าที่สิทธิในการควบคุมกำลังคนตั้งแต่ระดับพระราชวงศ์ชั้นสูงจนถึงชั้นต่ำ
คือ ทาสทำให้ทุกคนมีศักดินาประจำตัวตามฐานะหน้าที่หรือตามยศชั้นของบุคคล
กลุ่มคนในสังคมไทยแบ่ง 2 ชนชั้น คือ ชนชั้นปกครอง ประกอบด้วยพระมหากษัตริย์ เจ้านาย
และขุนนางซึ่งเรียกว่ามูลนาย ชนชั้นถูกปกครอง ได้แก่ ไพร่และทาส
โดยมีพระสงฆ์เชื่อมระหว่างความสัมพันธ์ระหว่างคนในสังคมเข้าด้วยกัน มีรายละเอียด
ดังนี้
- พระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุขของอาณาจักร
ในทางการเมืองพระองค์ทรงอยู่ในฐานะเจ้าชีวิต
มีพระราชอำนาจเหนือชีวิตทุกคนในสังคม
ทรงปกครองโดยมีพวกเจ้านายและขุนนางเป็นผู้ช่วยทรงดำรงตำแหน่งเป็นจอมทัพบังคับบัญชาทหารทั้งปวง
พระองค์ทรงอยู่ในฐานะพระเจ้าแผ่นดินเป็นเจ้าของดินทั้งราชอาณาจักร ในทางสังคม
พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้นำทางทางสังคมอยู่ในฐานะเป็นธรรมราชา
ทรงอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาที่ประชาชนส่วนใหญ่นับถือพุทธศาสนาจึงมีบทบาทในการสร้างเอกภาพของสังคม
ในแง่ของสถาบันสังคม
กรุงศรีอยุธยาได้รับเอาระบอบการปกครองและวัฒนธรรมของเขมรมาปรับปรุงให้เข้ากับของไทย
พระมหากษัตริย์จึงเปลี่ยนฐานะจากมนุษย์ขึ้นเป็นเทวราชา
โดยมีพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาซึ่งอ้างถึงเทพเจ้าต่างๆในศาสนาพราหมณ์เพื่อเสริมพระราชอำนาจทางการเมือง
แต่ตามความเป็นจริงนั้นถึงแม้ว่าพระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจมาก
แต่ก็ถูกจัดอยู่ภายใต้ขอบเขตอย่างกว้าง ๆ ประกอบด้วยหลักธรรม
ทรงอยู่ทศพิธราชธรรมและขอบเขตทางการเมือง
เพราะสังคมอาณาจักรอยุธยาถือว่าการปราบดาภิเษกเป็นการก้าวสู่ราชบัลลังก์โดยชอบธรรม
ต่อมาในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น
คติเทวราชาตามลัทธิพราหมณ์ได้เสมือนที่รวมแห่งกฎหมายและถือว่าพระมหากษัตริย์เป็นพระโพธิ์สัตว์
ทรงป้องกันคุ้มครองประชาชนทั้งในเรื่องทรัพย์สมบัติ
และพระมหากษัตริย์ทรงนำทัพต่อสู่กับข้าศึกด้วยพระองค์เอง
ตลอดจนสั่งสอนให้ราษฎรประพฤติอยู่ในศีลธรรมทรงปฏิบัติพระองค์ใกล้ชิดกับราษฎรมาก
กว่าสมัยกรุงศรีอยุธยา
- เจ้านาย คือ พระญาติของพระมหากษัตริย์
เป็นชนชั้นที่ได้รับเกียรติยศและอภิสิทธิมาตั้งแต่กำเนิด มีศักดินาตั้งแต่
50,000 ลงไปจนถึง 400 ยศของเจ้านายแบ่งเป็นสกุลยศและอิสริยยศ
สกุลยศ เจ้านายแต่ละองค์จะได้รับมาตั้งแต่กำเนิดสมัยอาณาจักรอยุธยาตอนต้นคงเรียกเจ้านายว่า เจ้า ต่อมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระเอกาทศรถ ได้แบ่งสกุลยศเป็น 3 ชั้น คือ เจ้าฟ้า พระองค์เจ้า และหม่อมเจ้า ส่วนหม่อมราชวงศ์ และหม่อมหลวงตั้งขึ้นในสมัยพระบทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และไม่นับว่าอยู่ในฐานะเจ้า
อิสริยยศ เป็นยศที่ได้รับพระราชทานจากการรับราชการแผ่นดินช่วยเหลือพระมหากษัตริย์ อิสริยยศที่ได้รับพระราชทานตั้งแต่สมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ถึงสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททองจะขึ้นด้วยคำว่า พระ ตั้งแต่สมเด็จพระนารายณ์มหาราชเมื่อมีการตั้งเจ้าทรงกรม อิสริยยศจึงเปลี่ยนเป็นกรมหมื่น กรมขุน กรมหลวง กรมพระและกรมสมเด็จพระ สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ อิสริยยศสูงสุดของเจ้านายคือ มหาอุปราช เมื่อมีการทรงกรมใช้ชื่อยศว่า กรมพระราชวังบวรสถานมงคล - ขุนนาง เป็นกลุ่มคนในสังคมที่มีอำนาจ อภิสิทธิ์ และเกียรติยศ
มีโอกาสเข้ารับราชการอยู่ใกล้ชิดกับพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นศูนย์อำนาจทางการเมือง
มีส่วนร่วมช่วยเหลือในการบริหารปกครองอาณาจักรให้มีเสถียรภาพ
จึงเป็นผู้มีอำนาจทางสังคมสูง
ได้รับการยกย่องและมีบริวารแวดล้อมมีฐานะทางเศรษฐกิจซึ่งได้รับผลประโยชน์จากการควบคุมไพร่สมและไพร่หลวงที่ได้รับพระราชทาน
ในการเพิ่มพูนโภคทรัพย์ทางด้านการเกษตรและการค้า
พวกขุนนางชั้นสูงจึงมีฐานะมั่งคั่ง
สมัยกรุงศรีอยุธยาขุนนางมีฐานะตั้งอยู่บนเกณฑ์ 4 ประการ คือ ศักดินา ยศ
หรือบรรดาศักดิ์ ตำแหน่งและราชทินนาม
ศักดินา ขุนนางซึ่งพระมหากษัตริย์เป็นผู้แต่งตั้งด้วยพระองค์เองนั้นมีศักดินา 400-30,000 ขุนนางผู้มีศักดินาต่ำกว่า 400 ลงไปได้รับการแต่งตั้งจากผู้บังคับบัญชาซึ่งเป็นเจ้านายหรือ ขุนนางชั้นสูง ขุนนางชั้นต่ำมีจำนวนมากไม่มีสิทธิพิเศษ ต้องทำมาหากินเช่นเดียวกับราษฎรทั่วไป ในขณะที่ขุนนางชั้นสูงมีอภิสิทธิ์ เช่น ตัวเองและบุคคลในครอบครัวไม่ต้องถูกเกณฑ์แรงงาน เมื่อมีคดีความสามารถแต่งทนายหรือผู้แทนตนได้ เว้นแต่ในกรณีที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏ มีสิทธิเข้าเฝ้าพระมหากษัตริย์ในขณะเสด็จออกว่าราชการ ขุนนางมีหน้าที่รับผิดชอบต่อพระมหากษัตริย์ในการควบคุมคน (ไพร่สมและไพร่หลวง) ในสังกัดจำนวนหนึ่ง ซึ่งเป็นกำลังคนที่แข็งแรงมีประสิทธิภาพพอที่จะใช้ในยามสงครามและราชการอื่น ๆ ขณะเดียวกันขุนนางมีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของไพร่และส่งทนายไปแก้คดีให้เมื่อคนในสังกัดตนต้องคดี
ยศ หรือบรรดาศักดิ์ของขุนนางสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้นลดหลั่นลงไปตามลำดับ คือ พระยาหรือออกญา เจ้าหมื่น พระ จมื่น หลวง ขุน จ่า หมื่น และพัน สำหรับบรรดาศักดิ์เจ้าพระยาและสมเด็จเจ้าพระยามีในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย
ตำแหน่งของข้าราชการ ได้แก่ อัครมหาเสนาบดี เสนาบดี จางวาง เจ้ากรม ปลัดกรม สมุห์บัญชี สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้นเสนาบดีมีบรรดาศักดิ์เป็นพระยา ต่อมาได้รับการเลื่อนให้มีบรรดาศักดิ์เป็นเจ้าพระยา ตำแหน่งของขุนนางไทยไม่มีการสืบสกุล เป็นเพียงตำแหน่งเฉพาะตัว
ราชทินนาม ทำเนียบข้าราชการฝ่ายทหารและพลเรือนจะกำหนดราชทินนามไว้ประจำตำแหน่ง บอกหน้าที่ราชการทุกตำแหน่ง เมื่อผู้ใดพ้นจากตำแหน่งเดิมไปรับตำแหน่งใหม่ก็ต้องเปลี่ยนราชทินนามไปด้วย ดังนั้นเมื่อบุคคลใดเข้ารับราชการแล้ว ชื่อ-สกุล ของตนจะหมดสิ้นไป คงเหลือแต่บรรดาศักดิ์และราชทินนาม จึงไม่มีขุนนางผู้ใดต้องการออกจากตำแหน่ง เพราะว่าเมื่อออกจากตำแหน่งต้องสูญเสียศักดินา ยศหรือบรรดาศักดิ์และราชทินนาม ขุนนางส่วนมากจึงพยายามอยู่ในตำแหน่งจนกว่าจะสิ้นอายุหรือถูกออกจากตำแหน่ง การที่สังคมสมัยกรุงศรีอยุธยายอมรับการขึ้นมาสู่อำนาจโดยการปราบดาภิเษก การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองจึงเป็นเรื่องของชนชั้นสูง หรือผู้มีอำนาจ ขุนนางเจ้านายผู้มีศักดินาสูงซึ่งมีคนในควบคุมจำนวนมากจนเป็นการท้าทายพระราชอำนาจและเสถียรภาพของพระมหากษัตริย์ กฎมณเฑียรบาลจึงมีมาตรการและบทลงโทษที่รุนแรง ป้องกันมิให้เจ้านาย ขุนนาง ล้มล้างราชบัลลังก์ - ไพร่ คือราษฎรสามัญทั้งชายหญิงเป็นคนส่วนใหญ่ในสังคมไทย
ไพร่ทุกคนต้องขึ้นทะเบียนสังกัดมูลนาย
พระมหากษัตริย์ทรงเป็นเจ้าของไพร่พลทั้งหมดแต่ผู้เดียว
พระองค์ทรงแจกจ่ายไพร่ให้อยู่ใต้การปกครองของเจ้านายและขุนนางตามตำแหน่งและศักดินา
ไพร่จึงเป็นสมบัติของมูลนายเป็นฐานอำนาจที่สำคัญอย่างยิ่งขอชนชั้นปกครองในด้านการเมือง
เศรษฐกิจและสังคม ไพร่ที่มีความสำคัญในสังคมไทยมี 3 ประเภท คือ ไพร่หลวง ไพร่สม
ไพร่ส่วย ไพร่หลวงเป็นไพร่ของพระมหากษัตริย์
พระองค์ปกครองไพร่หลวงผ่านทางมูลนายผู้ควบคุมไพร่หลวงจะสังกัดกรมขุนนางต่างๆ
ยามปกติไพร่หลวงจะถูกเกณฑ์ทำงานให้กับรัฐ
สมัยกรุงศรีอยุธยาไพร่หลวงต้องเข้าเวรรับราชการปีละ 6 เดือน เรียกว่า
เข้าเดือนออกเดือน เวลามาทำงานต้องเตรียมเสบียงอาหารมาเอง
ไพร่สมเป็นไพร่ที่สังกัดมูลนาย มีหน้าที่รับใช้มูลนาย เช่น ซ่อมแซมวัง ส่งสาร
ตามเป็นบริวาร ทำนาทำสวนและเป็นช่างฝีมือ ส่วนไพร่ส่วย คือ
ไพร่หลวงที่ทำมาหากินอยู่หัวเมืองห่างไกลไม่สามารถเดินทางเข้ามาทำงานเวรเมืองหลวงได้สะดวก
จึงกำหนดให้มีการส่งสิ่งของมาแทนแรงงานได้
นอกจากนี้ยังอนุญาตให้มีการจ่ายเงินแทนการมาใช้แรงงานที่เรียกว่า
ไพร่ส่วยเงิน
การมีระบบไพร่ทำให้ประชาชนขาดสิทธิเสรีภาพ และส่งผลให้หญิงมีบทบาทมากในครอบครัว เพราะต้องทำหน้าที่เลี้ยงดูครอบครัวแทนผู้ชายที่ถูกเกณฑ์แรงงาน และนอกจากนี้ไพร่ยังเป็นกำลังผลิตในทางเศรษฐกิจ เป็นแรงงานให้แก่ทางราชการ เป็นกำลังรบในยามสงคราม และยังเป็นฐานอำนาจทางการเมืองของมูลนาย เพราะมูลนายที่มีไพร่พลขึ้นสังกัดมากก็ทำให้มีกำลังการผลิต กำลังแรงงานและกำลังรบมากด้วย - ทาส เป็นคนกลุ่มน้อยในสังคม จัดอยู่ในบุคคลนอกระบบไพร่
ไม่ถูกเกณฑ์แรงงานทาส สมัยกรุงศรีอยุธยาตามกฎหมายลักษณะทาส พ.ศ.2191 มี 7
ประเภท คือทาสสินไถ่ ทาสในเรือนเบี้ย ทาสที่บิดามารดายกให้ลูกของตน ทาสท่านให้
ทาสที่ได้มาโดยการช่วยเหลือให้พ้นจากโทษปรับ
ทาสที่ได้มาโดยการช่วยให้พ้นจากความอดอยาก และทาสเชลย
การมีทาสถือว่าเป็นลักษณะอย่างหนึ่งของสังคมไทย ที่ถือว่าทาสเป็นกรรมสิทธิ์ของนายเงิน แต่มิได้หมายความว่าทาสนั้นจะต้องเป็นทางตลอดชีวิต อาจหลุดพ้นจากความเป็นทาสได้ในกรณีนี้
เมื่อนายเงินให้บวชเป็นภิกษุ หรือสามเณร หรือนางชี ก็ถือว่าหลุดพ้นจากความเป็นทาสหรือแม้เมื่อลาสิกขาบทแล้ว ก็จะเอามาเป็นทาสอีกไม่ได้
เมื่อนายเงินใช้ทาสไปทำสงครามแล้วถูกจับเป็นเชลย เมื่อหลุดรอดมาได้ก็จะพ้นจากความเป็นทาสได้
ทาสฟ้องว่าเป็นนายกบฏ และสอบสวนได้ความว่าเป็นจริง ให้พ้นจากความเป็นทาสได้
นายเงิน พ่อ หรือพี่น้อง ลูกหลานของนายเงินเอาทาสเป็นภรรยาให้ทาสนั้นเป็นไท ลูกที่เกิดมาให้เป็นไทด้วย)
การไถ่ ทาสจะไถ่ตัวเองหรือผู้ใดมาไถ่ก็ได้
อย่างไรก็ดี การจะหลุดพ้นจากความเป็นทาสก็มิใช่เรื่องง่ายนัก เพราะทาสเปรียบเสมือนเป็นทรัพย์สมบัติ การมีทาสแสดงว่ามีอำนาจบารมีมาก จึงไม่มีนายเงินคนใดยอมปล่อยให้ทาสหลุดพ้นจากการครองครองของตน และอีกประการหนึ่ง แม้ทาสจะมีสิทธิไถ่ตนเองได้ แต่ค่าตัวทาสก็เพิ่มทวีขึ้นเรื่อยเช่นเดียวกันกว่าจะหมดค่าตัวก็เมื่อชราหรือตายไปก่อนแล้ว ดังนั้นทาสจึงมีคู่สังคมไทยเรื่อยมาจนถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ จึงประกาศเลิกทาสได้สำเร็จในปี พ.ศ. 2448 - พระสงฆ์
สถาบันสงฆ์มีความสำคัญต่อสังคมไทยมีหน้าที่อบรมศิลปะวิทยาการแก่คนในสังคม
ตั้งแต่เจ้านาย ขุนนาง ไพร่ และทาส
มีหน้าที่เป็นคนกลางเชื่อมระหว่างพระมหากษัตริย์ เจ้านาย ขุนนาง ไพร่ และทาส
สถาบันสงฆ์เป็นที่รวมของชนชั้นต่าง ๆ
จัดเป็นศูนย์กลางของสังคมพระสงฆ์มีฐานะเป็นผู้นำสังคมทางอ้อม
ในพระไอยการศักดินาพลเรือน กำหนดศักดินาของพระสงฆ์ตั้งแต่ 100-2,400
โดยพระมหากษัตริย์มีอำนาจในการแต่งตั้งสมณะศักดิ์หรือถอดถอนได้
พระสงฆ์ไม่ต้องถูกเกณฑ์แรงงาน พระสงฆ์ยังได้รับผลกระโยชน์จากไพร่ที่เป็นเด็กวัด
ทาส เชลย นักโทษ ซึ่งพระมหากษัตริย์ เจ้านาย ขุนนาง
อุทิศถวายเพื่อให้ช่วยทำงานรับใช้กิจการของวัดและปรนนิบัติพระสงฆ์
- ชาวต่างชาติ เป็นคนอีกกลุ่มหนึ่งที่มีบทบาทในสังคมไทย คนกลุ่มนี้มีสถานพิเศษเนื่องจากไม่ต้องถูกเกณฑ์แรงงาน ไม่ต้องขึ้นทะเบียนสังกัดมูลนาย จึงสามารถเป็นแรงงานอิสระสามารถทำการค้าและเดินทางค้าขายได้ทั่วประเทศ พระมหากษัตริย์ไทยมิได้แสดงความรังเกียจชาวต่างชาติที่เข้ามาพึ่ง พระบรมโพธิ์สมภาค มีการพระราชทานที่ดินให้ชาวต่างชาติอยู่ในเมืองไทยมาก มีการตั้งเป็นหมู่บ้านชาวต่างในกรุงศรีอยุธยา เช่น หมู่บ้านชาวโปรตุเกส หมู่บ้านชาวญี่ปุ่น และหมู่บ้านชาวฮอลันดา เป็นต้น
เศรษฐกิจของชาวอยุธยาส่วนใหญ่มักเป็นผลผลิตทางการเกษตรและงานหัตถกรรมและเป็นเพียงการผลิตเพื่อบริโภคหรือแลกเปลี่ยนกันแต่ในชุมชนของตน แต่ต่อมาผลิตบางอย่างโดยเฉพาะสินค้าประเภทงานหัตถกรรมของอยุธยาจะได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย รายได้ของอยุธยาอาจแบ่งได้ 3 ทาง คือ
- เศรษฐกิจที่มีรายได้มาจากการทำการเกษตร
- เศรษฐกิจที่ได้มาจากการเกณฑ์แรงงานไพร่ หรือส่วย
- เศรษฐกิจที่มีรายได้จากการค้าขายกับต่างชาติ
ศูนย์กลางค้าขายสินค้าในอยุธยาคือตลาด มีทั้งตลาดบกและตลาดน้ำ ตลาดบกนั้นมักจะอยู่ใกล้กับวัด มีอาคารที่เป็นหลักแหล่งและมีการควบคุมราคาสินค้า ส่วนตลาดน้ำมักจะอยู่ฝั่งตะวันออกและตะวันตกของตัวเมือง มักจะมีชาวต่างชาตินำสินค้าตามฤดูกาลมาขาย
» สังคมไทยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
» การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมของสังคมเมืองและสังคมชนบท
» การเปลี่ยนแปลงและพัฒนาสังคมชนบทในภาคเหนือ
» การเปลี่ยนแปลงและพัฒนาสังคมชนบทในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
» การเปลี่ยนแปลงและพัฒนาสังคมชนบทในภาคใต้
» การเปลี่ยนแปลงและพัฒนาสังคมชนบทในภาคกลาง