สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ การเมือง เศรษฐศาสตร์ >>
พัฒนาการสังคมไทย
ดุจฤดี คงสุวรรณ์
สมัยล้านนา
(พุทธศตวรรษที่ 18-23)
ในราวพุทธศตวรรษที่ 17 มีหัวหน้าเผ่าหนึ่งชื่อ ลวจักราช
ปกครองดินแดนภาคเหนือตอนบนบริเวณรอยต่อระหว่างประเทศไทย จีน พม่า และลาวในปัจจุบัน
เผ่านี้สืบราชวงศ์ลงมาจนถึงพระเจ้ามังราย และเคยครองเมืองเงินยาง (เชียงแสน)
มาก่อนที่จะลงมายึดเมืองหริภุญไชย ในปี พ.ศ.1836 พระองค์ประทับอยู่ประมาณ 2 ปี
ก่อนที่จะไปสร้างเวียงกุมกาม แล้วจึงมาสร้างเมืองเชียงใหม่ในปี พ.ศ.1839
โดยมีชื่อเรียกว่า พิงครัฐ มีอาณาเขตอยู่ภาคเหนือตอนบน บริเวณเชิงดอยสุเทพ
ต้นน้ำจากดอยไหลล้อมรอบตัวเมืองก่อนที่จะไหลไปรวมกับแม่น้ำปิง
และเคยมีอาณาเขตลงมาถึงเมือง น่าน เมืองแพร่
และศรีสัชนาลัยไว้ได้ช่วงระยะเวลาหนึ่งด้วย
การสร้างเมืองครั้งนี้มีผู้ร่วมปรึกษาด้วยคือ พ่อขุนรามคำแหงแห่งเมืองสุโขทัย
และพระยางำเมืองแห่งเมืองพะเยา โดยมีชาวเผ่าลื้อ ลัวะ ลาว ไต ม่านเม็ง
เป็นกลุ่มชนที่รวมตัวกันอยู่ภายในอาณาจักรล้านนาขณะนั้น
ในแต่ละเมืองมีการปกครองกันเองและมีความสัมพันธ์ระหว่างเมือง
ทั้งนี้อยู่ภายใต้การปกครองเดียวกันโดยมีผู้ปกครองช่วยเหลือเกื้อกูลในระบบเครือญาติโดยการแต่งงานหรือยอมรับไมตรี
เช่น การแต่งงานกับเมืองใกล้เคียง ในแต่ละสังคมประกอบด้วยผู้คน 3 กลุ่ม คือ
ผู้ปกครอง พระสงฆ์ และพลเมือง
- ผู้ปกครอง มีเจ้าเมืองที่ปกรองเองโดยอิสระ
โดยจะมีขุนหรืออำมาตย์ช่วยในการปกครอง โดยจะช่วยทำหน้าที่ในการจัดเก็บภาษี
ตัดสินคดีความ ดูและความเป็นอยู่ของประชาชน รวมทั้งการช่วยเหลือการศึกสงคราม
- พระสงฆ์ เนื่องจากศาสนาพุทธมีบทบาทมาก
พระสงฆ์จึงเป็นเสมือนตัวแทนของพุทธศาสนา และเป็นที่พึ่งทางใจให้กับประชาชน
รวมทั้งทำหน้าที่สอนหนังสือให้กับเหล่าขุนนาง และประชาชนในล้านนาด้วย
- พลเมือง ส่วนใหญ่คือไพร่ ซึ่งเป็นสามัญชนโดยอาจจะเป็นคนพื้นเมืองหรืออพยพมาจากที่อื่น ในเวลาปกติจะประกอบอาชีพเกษตรกรรม ค้าขาย แต่ต้องส่งส่วยให้กับขุนนางหรือพระยา ในบางครั้งอาจจะถูกเกณฑ์แรงงานให้ช่วยสร้างสาธารณะประโยชน์ของเมือง เช่น คูเมือง กำแพงเมือง วัด ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งคือ ทาส คือกลุ่มที่เป็นบริวารรับใช้ให้กับชนชั้นสูง และเป็นเสมือนทรัพย์สิน สามารถซื้อขายหรือเป็นมรดกได้
กรุงศรีอยุธยาที่ก่อตั้งอาณาจักรบริเวณภาคกลางมีอำนาจขึ้นมาอย่างรวดเร็วต่อมาไม่นานในราวปลายพุทธศตวรรษที่
20 อยุธยายึดสุโขทัยเอาไว้ได้
จึงได้เมืองพิษณุโลกเป็นเมืองหน้าด่านโดยมีพระบรมไตรโลกนาถเป็นเจ้าเมือง
ดังนั้นอำนาจของกรุงศรีอยุธยาจึงขึ้นมาเผชิญหน้ากับอำนาจของล้านนาในสมัยของพระเจ้าติโลกราช
อำนาจทางการทหารเริ่มลดถอยลงจึงทำให้ล้านนาตกอยู่ภายใต้อำนาจของพม่าในรัชกาลของ
พระเจ้าเมกุฏิ ในราว พ.ศ.2101 และต่อเนื่องเป็นระยะเวลาถึง 200 ปี
ในช่วงนี้เองที่ทำให้ล้านนาต้องรับเอาศิลปวัฒนธรรมของพม่ามาผสมผสาน
พม่าปกครองล้านนาด้วยการส่งขุนนางพม่าหรือแต่งตั้งเจ้านายล้านนาขึ้นปกครองหัวเมืองต่างๆ
โดยมีนโยบายคือสนับสนุนให้หัวเมืองล้านนาปกครองกันเองแต่จะอยู่ภายใต้อำนาจของพม่า
ซึ่งเป็นนโยบายที่ไม่ให้หัวเมืองเหล่านั้นรวมตัวกันได้ โดยใช้ล้านนาเป็นแหล่งเสบียง
พม่าใช้ล้านนาเพื่อเป็นทางผ่านไปยึดอยุธยา ในที่สุดอยุธยาก็เสียให้แก่พม่า
ต่อมาสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีเสด็จขึ้นมายึดเมืองเชียงใหม่คืนได้ใน พ.ศ.2317
โดยมีพระเจ้ากาวิละ เจ้าเมืองเชียงใหม่ขณะนั้นให้ความช่วยเหลือ
และบูรณะบ้านเมืองขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง จนใน พ.ศ.2475
เมืองเชียงใหม่จึงเป็นจังหวัดหนึ่งในระบอบการปกครองแห่งราชอาณาจักรไทย
ในช่วงรัชกาลพระเจ้ากือนา (พ.ศ.1898-1928)
มีบทบาทสำคัญในการรับพุทธศาสนาลัทธิเถรวาทแบบลังกาวงศ์จากสุโขทัยมายังล้านนา
คือได้ทูลขอต่อพระยาลิไทแห่งอาณาจักรสุโขทัยเพื่ออนุญาตให้พระสุมรเถรขึ้นมาเผยแผ่ศาสนาที่เมืองเชียงใหม่
จึงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของงานศิลปกรรมล้านนาอย่างมาก
กล่าวคือศิลปะสุโขทัยทุกด้านจะปนกลิ่นอายความเป็นสุโขทัยอยู่ด้วย
ต่อมาในสมัยพระเจ้าสามฝั่งแกน (พ.ศ.1945-1990)
พุทธศาสนาแบบลังกาวงศ์ได้มีลัทธิใหม่เกิดขึ้น คือนิกายวัดป่าแดง
และมีการสนับสนุนในรัชสมัยของพระเจาติโลกราช (พ.ศ. 1984-2030)
ซึ่งถือได้ว่าเป็นยุคทองของล้านนา หลังจากนั้นในสมัยของพระเมืองแก้ว
(พ.ศ.2039-2069) ได้ทรงรวบรวมพุทธศาสนาทั้ง 3 นิกายเข้าด้วยกัน
คือนิกายที่มีมาแต่เดิมเมื่อครั้งสมัยหริภุญไชย นิกายวัดสวนดอก และนิกายวัดป่าแดง
» สังคมไทยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
» การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมของสังคมเมืองและสังคมชนบท
» การเปลี่ยนแปลงและพัฒนาสังคมชนบทในภาคเหนือ
» การเปลี่ยนแปลงและพัฒนาสังคมชนบทในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
» การเปลี่ยนแปลงและพัฒนาสังคมชนบทในภาคใต้
» การเปลี่ยนแปลงและพัฒนาสังคมชนบทในภาคกลาง