วิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา >>
ฉลากคาร์บอน
ทางเลือกใหม่เพื่อลดภาวะโลกร้อนและลดต้นทุนการผลิต
ดร.คชินท์ สายอินทวงศ์
ภาวะโลกร้อนที่กำลังคุกคามโลกอยู่ขณะนี้เกิดจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจกอื่นๆ
ปริมาณมากมายที่มนุษย์เป็นผู้ก่อถูกปล่อยออกมาสู่ชั้นบรรยากาศโลกซึ่งก๊าซเหล่านี้เป็นตัวการกักเก็บความร้อนจากแสงอาทิตย์ไว้ไม่ให้คายออกไปสู่บรรยากาศ
ซึ่งมีต้นเหตุจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงต่างๆ
การขนส่งทั้งในด้านการขนส่งวัตถุดิบเพื่อป้อนเข้าสู่โรงงานหรือการขนส่งผลิตภัณฑ์รวมทั้งการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม
พร้อมๆกับการที่เราตัดไม้ทำลายป่าจำนวนมาก
ทำให้กลไกในการดึงเอาก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกไปจากระบบบรรยากาศถูกลดทอนประสิทธิภาพลง
และได้หวนกลับมาสู่เราในลักษณะของภาวะโลกร้อน
ซึ่งจะส่งผลให้อุณหภูมิของบรรยากาศโลกสูงขึ้นจนถึงระดับอันตราย
ผืนน้ำแข็งบริเวณขั้วโลกเหนือและธารน้ำแข็งบนภูเขาทั้งหมดทั่วโลกค่อยๆ
ละลายลงเรื่อยๆ
และทำให้ระดับน้ำทะเลทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้นจนอาจท่วมเมืองสำคัญริมชายฝั่งหลายแห่งโดยเฉพาะกรุงเทพของเรา
โดยปกตินั้นชั้นบรรยากาศของโลกประกอบไปด้วยก๊าซต่างๆเป็นจำนวนมาก
โดยเฉพาะก๊าซเรือนกระจก เช่น คาร์บอนไดออกไซด์ มีเทน และไนตรัสออกไซด์
ซึ่งทำหน้าที่เหมือนหลังคากระจกของโลก
ป้องกันมิให้ความร้อนจากดวงอาทิตย์ที่ส่องลงมายังพื้นโลกสะท้อนกลับออกไปได้หมด
และทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกค่อนข้างคงที่ หากปราศจากหลังคากระจกธรรมชาตินี้แล้ว
พื้นผิวโลกจะเย็นกว่าปรกติถึง 30 องศาเซลเซียส
ซึ่งไม่อบอุ่นพอที่จะทำให้สิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่และเจริญเติบโตได้ ในศตวรรษที่ผ่านมา
มนุษย์หันไปพึ่งการเผาผลาญเชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น น้ำมัน ถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติ
เพื่อผลิตพลังงาน
และในกระบวนการการเผาผลาญเชื้อเพลิงฟอสซิลจะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกตัวสำคัญที่สุดออกสู่ชั้นบรรยากาศเป็นจำนวนมหาศาล
ก๊าซเหล่านี้มีคุณสมบัติพิเศษคือสามารถดูดกลืนและคายรังสีคลื่นยาวช่วงอินฟราเรดได้ดีมาก
ดังนั้นเมื่อพื้นผิวโลกคายรังสีอินฟราเรดขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ
กาซเหล่านี้จะดูดกลืนรังสีอินฟราเรดเอาไว้
ต่อจากนั้นมันก็จะคายความร้อนสะสมอยู่บริเวณพื้นผิวโลก และชั้นบรรยากาศเพิ่มมากขึ้น
พื้นผิวโลกจึงมีอุณหภูมิสูงขึ้น เราเรียกก๊าซที่ทำให้เกิดภาวะแบบนี้ว่า
"ก๊าซเรือนกระจก (greenhouse gases)"
ก๊าซเรือนกระจกนอกจากจะส่งผลกระทบต่อการเพิ่มอุณหภูมิของพื้นผิวโลกโดยตรงแล้ว
มันยังส่งผลกระทบโดยทางอ้อมด้วย กล่าวคือมัน จะไปทำปฏิกิริยาเคมีกับก๊าซอื่น ๆ
และเกิดเป็นก๊าซเรือนกระจกชนิดใหม่ขึ้นมา
หรือกาซเรือนกระจกบางชนิดอาจรวมตัวกับโอโซน ทำให้โอโซนในชั้นบรรยากาศ
ลดน้อยลงส่งผลให้
รังสีคลื่นสั้นที่ส่องผ่านชั้นโอโซนลงมายังพื้นผิวโลกได้มากขึ้นรวมทั้งปล่อยให้รังสีที่ทำอันตรายต่อมนุษย์และสิ่งมีชีวิต
ส่องผ่านลงมาทำอันตรายกับสิ่งมีชีวิตบนโลกได้ด้วย
ในอุตสาหกรรมเซรามิกนั้นถึงแม้ไม่ได้เป็นตัวการหลักในการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
ออกสู่ชั้นบรรยากาศเท่ากับอุตสาหกรรมอื่นๆแต่ก็มีการปล่อยก๊าซออกไปไม่น้อยเนื่องจากอุตสาหกรรมเซรามิกมี
กระบวนการเผา ซึ่งเป็นการเผาเอาสารอินทรีย์ที่อยู่ในดิน แร่
ให้กลายไปเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และใช้เชื้อเพลิงในการเผาทั้งกาซธรรมชาติ LPG
น้ำมันเตา หรือแม้กระทั่งถ่านหิน
ถ้าประเมินจากวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ (Life Cycle Assessment : LCA)
ของเซรามิกไม่ว่าจะเป็นส้วม กระเบื้อง หลังคา ถ้วยชาม ลูกถ้วยไฟฟ้า ของตกแต่ง
จะพบว่าตลอดกระบวนการเรามีการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกเหล่านี้มากมาย
ตั้งแต่รถขนส่งวัตถุดิบ ถ้าโรงงานกระเบื้องขนาดใหญ่ตั้งอยู่ที่สระบุรี
และใช้ดินจากลำปางเราจะต้องใช้รถพ่วงใหญ่ขนดินมาเป็นระยะทางกว่า 500 กิโลเมตร
ซึ่งรถเหล่านี้ก็จะปล่อยควันเสียทั้งขาไปและขากลับ
วัตถุดิบที่งานเซรามิกใช้ส่วนใหญ่คือดินที่มีสารอินทรีย์พวกคาร์บอนอยู่มาก
ยิ่งถ้าดินเหนียวก็ยิ่งมีค่าสูง โดยทั่วไปจะมีค่าอยู่ตั้งแต่ 3-10%
ซึ่งสารอินทรีย์เหล่านี้เมื่อเผาแล้วจะกลายไปเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกไปจากเตาได้
และเซรามิกบางชนิดยังมีการใช้หินปูนและโดโลไมท์ทั้งในเนื้อดินและสีเคลือบซึ่งวัตถุดิบพวกนี้จะปลดปล่อยกาซคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่า
50% ของตัวมันเอง
นอกจากนี้ในขั้นตอนการอบแห้งก็จำเป็นต้องใช้พลังงานความร้อนด้วยเช่นกัน
เซรามิกบางประเภทเช่นสุขภัณฑ์และลูกถ้วยไฟฟ้า
ใช้พลังงานในการอบแห้งเป็นสัดส่วนเกือบเท่ากับพลังงานที่ใช้ในการเผาชิ้นงานทีเดียว
ดังนั้นถ้าโรงงานเซรามิกมีแนวทางที่จะลดปริมาณการปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่บรรยากาศได้ก็จะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยกันลดปัญหาโลกร้อนไปได้
ปัจจุบันองค์การบริหารจัดการกาซเรือนกระจกได้ร่วมกับสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย
พัฒนาระบบฉลากคาร์บอนกับสินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆ
ขึ้นเพื่อสอดรับกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก
จุดประสงค์หลักเพื่อเป็นการเตรียมพร้อมให้กับผู้ประกอบการไทย
ในการส่งออกสินค้าไปยังสหภาพยุโรป ที่อนาคตจะมีความเข้มงวดในเรื่องดังกล่าวมากขึ้น
ทั้งนี้ ฉลากคาร์บอนจะทำให้ผู้บริโภคได้รับทราบว่า ในขั้นตอนการผลิตสินค้านั้นๆ
ผู้ประกอบการได้ลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก เป็นปริมาณเท่าใด
หลังจากผู้ประกอบการได้ปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตแล้ว
โดยฉลากคาร์บอนนั้นจะแสดงระดับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกสู่บรรยากาศต่อหน่วยผลิตภัณฑ์
โดยการประเมินวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ (Life Cycle Assessment : LCA)
หรือสินค้าตั้งแต่การจัดเตรียมวัตถุดิบ การผลิต การใช้ และการจัดการหลังการใช้ โดย
LCA
ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือเพื่อประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของการได้มาซึ่งสินค้าหรือบริการ
โดยแสดงผลอยู่ในรูปของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (CO2 equivalent)
ฉลากคาร์บอนแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
- ฉลากแบบที่ 1 ซึ่งพิจารณาการประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากทั้งวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ (Cradle to Grave) ตั้งแต่การได้มาซึ่งวัตถุดิบ การขนส่ง การผลิต การบรรจุหีบห่อ การใช้งาน จนกระทั่งการกำจัดของเสียที่เกิดขึ้น ซึ่งการดำเนินงานจะใช้เวลาค่อนข้างมากเนื่องจากมีกระบวนการประเมินซับซ้อ
- ฉลากแบบที่ 2 ซึ่งพิจารณาการประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยพิจารณาเฉพาะก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นจากกระบวนการผลิต (Production stages) เท่านั้น ซึ่งวิธีนี้จะใช้เวลาในการดำเนินงานน้อยกว่าแบบแรก โดยในช่วงแรกของโครงการจะมุ่งเน้นการออกฉลากคาร์บอนแบบที่ 2 เพื่อให้การดำเนินการออกฉลากกระทำได้รวดเร็ว เพื่อรองรับกระแสของผู้บริโภคในการมีส่วนร่วมเพื่อช่วยบรรเทาปัญหาภาวะโลกร้อน
ฉลากคาร์บอนจะแสดงข้อมูลให้ผู้บริโภคทราบว่า
สินค้าหรือบริการนี้มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับสูง ค่อนข้างสูง ปานกลาง
ค่อนข้างต่ำ หรือ ต่ำ โดยแสดงผลเป็น 5 ระดับ โดยใช้หมายเลข 1 - 5
สินค้าที่ได้ฉลากคาร์บอนเบอร์ 5 หมายความว่า
สินค้านั้นอยู่ในกลุ่มที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่บรรยากาศน้อยที่สุดและมีความเป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศ
หรืออีกนัยหนึ่งคือสินค้าหรือบริการนั้นมีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสามารถช่วยบรรเทาปัญหาภาวะโลกร้อนได้
การพิจารณาขึ้นทะเบียนให้ "ฉลากคาร์บอน"
จะเปรียบเทียบปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ระหว่างปีพ.ศ. 2545 ซึ่งเป็นปีฐาน
กับปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในปีล่าสุด
สินค้าที่จะได้รับฉลากคาร์บอนจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.)
จะต้องเป็นสินค้าที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิตอย่างน้อย 10% ขึ้นไป
โดยพิจารณาจากการลดปริมาณการใช้กระแสไฟฟ้า
การลดปริมาณเชื้อเพลิงฟอสซิลในกระบวนการผลิตเช่นกาซธรรมชาติ น้ำมันเตา น้ำมันดีเซล
และการลดการใช้วัตถุดิบหรือการเกิดของเสียที่มีศักยภาพก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจก
รวมทั้งบางกรณีที่มีการปรับเปลี่ยนการใช้พลังงานเป็นพลังงานหมุนเวียนทั้งหมด
ซึ่งเป็นพลังงานสะอาด
ข้อดีของการมีฉลากคาร์บอน
ในแง่ผู้บริโภค จะได้มีทางเลือกใหม่ในการซื้อสินค้าและบริการ
เป็นตัวกระตุ้นให้ผู้ผลิตปรับปรุงกระบวนการผลิต การได้มาซึ่งวัตถุดิบ
และผลิตสินค้าที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อย
ซึ่งถือว่ามีส่วนร่วมในการช่วยลดปัญหาภาวะโลกร้อน
ในแง่ผู้ผลิต
จะสามารถลดต้นทุนการผลิตจากการพัฒนากระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น
ลดการใช้พลังงานฟอสซิล เพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียน ลดของเสียในกระบวนการผลิต
ซื้อวัตถุดิบได้ถูกลงจากการปรับเปลี่ยนสูตรในการผลิตและสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่บริษัท
แนวทางการขึ้นทะเบียนฉลากคาร์บอน
เกณฑ์การประเมินการผลิตสินค้าเพื่อขึ้นทะเบียนฉลากคาร์บอน
- กระบวนการผลิตมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลดลงเฉลี่ยตั้งแต่ร้อยละ 10 ขึ้นไป
ระหว่างปี พ.ศ.2545 ถึงปีล่าสุดที่ครบ 12 เดือน หรือ
- กระบวนการผลิตมีระบบกำเนิดไฟฟ้าจากวัสดุชีวมวล
หรือจากของเสียเพื่อใช้ภายในโรงงาน
โดยอาจซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตภายนอกได้แต่ต้องไม่เกินร้อยละ 5
ของปริมาณไฟฟ้าทั้งหมดที่ใช้ในการผลิตสินค้า ทั้งนี้
จะไม่มีการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ในกระบวนการผลิต
(ยกเว้นเพื่อการเริ่มต้นเดินระบบกำเนิดไฟฟ้าและเพื่อการเคลื่อนย้ายสิ่งของภายในพื้นที่สถานประกอบการเท่านั้น)
และไม่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากของเสีย (น้ำเสีย หรือกากของเสีย/ขยะมูลฝอย)
หรือ
- กรณีที่กระบวนการผลิตมีการใช้เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูงในภาคอุตสาหกรรมประเภทนั้นๆ คณะทำงานส่งเสริมการใช้ฉลากคาร์บอนจะพิจารณาเป็นกรณีไป
ปัจจุบันอุตสาหกรรมเซรามิกบ้านเราเริ่มตื่นตัวกับเรื่องฉลากคาร์บอนมากขึ้นโดยมีผู้ได้รับการรับรองฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์แล้วคือผลิตภัณฑ์กระเบื้องบุผนังขนาด
10x16 นิ้ว ของบริษัทเซรามิคอุตสาหกรรมไทย จำกัดหรือกระเบื้องคอตโต้
ส่วนฉลากคาร์บอนนั้นก็มีทั้งกระเบื้องคัมพานา คอตโต้ และโสสุโก้
(ของบริษัทเดอะสยามเซรามิคกรุ๊ปอินดัสทรี้จำกัด)
สำหรับผลิตภัณฑ์บนโต๊ะอาหารนั้นมีเพียงบริษัทอิมพิเรียลพอตเตอรี จำกัด ที่ลำปาง
เจ้าของแบรนด์ลีลา บราลี ที่เป็นผู้ผลิตถ้วยชามเจ้าแรกที่ได้การรับรองฉลากคาร์บอน
ซึ่งที่บริษัทบริษัทอิมพิเรียลพอตเตอรี
จำกัดนี้ได้มีโครงการมากมายในการอนุรักษ์พลังงาน
การลดของเสียในกระบวนการโดยการนำเอาระบบ TQM
เข้ามาใช้ให้พนักงานมีส่วนร่วมในการปรับปรุงกระบวนการและลดของเสีย และมีการลด Gas
consumption ของเตาเผาอย่างต่อเนื่อง
สำหรับผู้ผลิตกระเบื้องรายถัดไปที่กำลังดำเนินการขอคือบริษัทสหโมเสคอุตสาหกรรม
จำกัด (มหาชน)
ที่มีการปรับปรุงกระบวนการผลิตมาอย่างต่อเนื่องจนในปัจจุบันสามารถลดค่า Gas
consumption ในการเผาลงมากกว่า 20%
ลดปริมาณสารอินทรีย์ในเนื้อดินที่จะทำให้เกิดเป็น CO2 ภายหลังการเผาไหม้ ลงกว่า 20%
ลดระยะทางในการขนส่งแร่และวัตถุดิบลงกว่า 200 กิโลเมตร
จนน่าจะเป็นผู้ผลิตกระเบื้องเจ้าเดียวที่ใช้ระยะทางเฉลี่ยของวัตถุดิบโดยถ่วงน้ำหนักจากเปอร์เซนต์ในสูตรเนื้อดินทั้งหมด
ต่ำกว่า 150 กิโลเมตรสำหรับกระเบื้องปูพื้นและต่ำกว่า 100
กิโลเมตรสำหรับกระเบื้องบุผนังโดยไม่มีการใช้แร่และดินจากทางลำปางอีกเลยนั่นหมายถึงค่าขนส่งวัตถุดิบจะลดลงอย่างมากซึ่งจะช่วยให้ต้นทุนในการผลิตโดยรวมลดลงและยังช่วยลดการปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากรถบรรทุกขนาดใหญ่ที่ต้องวิ่งส่งวัตถุดิบทั้งเที่ยวไปและเที่ยวกลับอีกด้วย
นอกจากนี้ยังลดของเสียในกระบวนการผลิตลงทั้งหมด
รวมทั้งการปลดปล่อยความร้อนจากปล่องเตา
โดยการปรับเปลี่ยนกระบวนการเผาใหม่ให้มีอุณหภูมิของลมร้อนที่ปลดปล่อยออกไปสู่บรรยากาศลดลงกว่า
40%
จะเห็นว่านี่คือข้อดีของการได้มาซึ่งฉลากคาร์บอน
ซึ่งเหมือนเครื่องยืนยันว่าองค์กรนั้นได้มีการบริหารจัดการพลังงานและทรัพยากรให้ใช้อย่างประหยัดและยั่งยืนซึ่งจะมีผลดีกับทั้งตัวองค์กรเองและกับโลกที่ยุ่งเหยิงของเรา
สาเหตุการเกิดมลภาวะโลกร้อน
เศรษฐกิจและการเงินโลกกับภาวะโลกร้อน
โลกร้อน สาเหตุ 10 ปรากฏการณ์ประหลาด
ภาวะโลกร้อน
ผลกระทบต่อระดับน้ำทะเลขึ้นสูง
ภาวะโลกร้อนกับชีวิตพอเพียง
ภาวะโลกร้อนกับการประมง
ฟันฉลาม ไขปริศนาภาวะโลกร้อน
ถุงพลาสติกกับภาวะโลกร้อน
หลอดตะเกียบ ประหยัดไฟลดภัยโลกร้อน
กินอาหารลดโลกร้อน
80
วิธีลดภาวะโลกร้อน
10 ข้อ ใกล้ตัวลดโลกร้อน
ฉลากคาร์บอน
ผลกระทบจากภาวะโลกร้อนที่มีต่อเกษตรไทย
ประเทศไทยกับภาวะโลกร้อน
เตรียมรับมือกับภาวะโลกร้อน