สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ การเมือง เศรษฐศาสตร์ >>

จักรวรรดิไบเซ็นไทน์ (Byzantine)

      ไบเซ็นไทน์เดิมเป็นดินแดนอาณานิคมของกรีก เรียกกันว่า ไบเซส ( Byzas) ต่อมาเมื่อ ค.ศ.330 จักรพรรดิคอนสแตนตินได้ใช้เป็นฐานอำนาจสำรองของกรุงโรม ในช่วงสุดท้ายของจักรวรรดิโรมัน ซึ่งถูกคุกคามโดยอนารยชนอย่างต่อเนื่อง และเมื่อจักรวรรดิโรมันสิ้นสุดยุคแห่งความยิ่งใหญ่ด้วยฝีมือของพวกชนเผ่าป่าเถื่อนจากดินแดนทางเหนือที่ยกกำลังมายึดครองกรุงโรมในค.ศ. 476 เมืองไบเซ็นไทน์จึงเป็นเมืองหลวงโดยสมบูรณ์ของอาณาจักรโรมันตะวันออก สืบทอดอารยธรรมกรีก-โรมันโบราณ ภาษาราชการใช้ภาษาละตินเป็นหลัก ทำให้นักปราชญ์ในดินแดนต่างๆ ที่ยังชื่นชมกับความรุ่งโรจย์ของจักรวรรดิโรมันและนับถือศาสนาคริสต์ ถือว่าภาษาละตินเป็นภาษาสำคัญเหนือภาษาท้องถิ่นของตน ผู้คนในโลกยุคนั้นเรียนเมืองหลวงแห่งนี้ว่า เมืองแห่งคอนสแตนติโนเปิล (The City of Constantine) หรือ คอนสแตนติโนเปิล

ปัจจุบันนี้ คอนสแตนติโนเปิลคือ อิสตันบูล เมืองหลวงของประเทศตุรกี ประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม ในช่วงสงครามเย็น เมืองอิสตันบูลจัดว่าเป็นเขตที่สหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต แข่งขันกันสืบราชการลับ เพื่อขยายอิทธิพลทางการเมืองมากที่สุดเขตหนึ่ง เพราะเป็นจุดยุทธศาสตร์ คือทางออกทางทะเลด้านใต้ของสหภาพ โซเวียต ทั้งคุมเส้นทางระหว่างช่องแคบบอสฟอร์รัสและดาดาร์แนล ที่เชื่อมทะเลดำและทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

สีสรรของเมืองนี้เริ่มจากความหลากหลายของประชากรทั้งยากดีมีจน ไม่มีเขตแดนเฉพาะสำหรับผู้คนที่มีฐานะต่างกัน ต่างรวมอยู่ในเมืองขนาดใหญ่รวมแล้วนับแสนคน การสร้างบ้านสมัยใหม่ของเมืองนี้ นิยมทำระเบียงยื่นออกมา ทำให้มองเห็นกิจกรรมต่างๆ ของเพื่อนบ้าน จึงมีกฏหมายบังคับเรื่องความสูงของระเบียงและห้ามออกไปยื่นเกินสามเมตร เพราะจะใกล้ชิดเพื่อนบ้านมากไป ทั้งยังควบคุมการระบายน้ำเสียจากบ้านเรือน ต้องมีท่อระบายลงทะเล (มีแนวคิดเรื่องการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม แต่ยังอยู่เฉพาะในวงแคบ-ผู้เรียบเรียง ) การฝังศพในเขตเมืองเป็นเรื่องผิดกฎหมายร้ายแรง ยกเว้นได้รับพระราชานุญาตเป็นการเฉพาะจากองค์จักพรรดิ และที่ก้าวหน้าด้านสุขอนามัยอีกเรื่องหนึ่ง คือ ในแต่ละเขต ต้องมีเจ้าหน้าที่ด้านการแพทย์



ความสดชื่นของเมืองอยู่ที่สวนที่ตกแต่งงดงามและลานอเนกประสงค์ที่เรียกว่า ฟอรัม ( forums ) จะพบเห็นโบสถ์ วิหาร โรงพยาบาลและโรงเลี้ยงเด็กกำพร้าอยู่ทั่วไป แต่ละถนน มีย่านขายสินค้าเป็นหมวดหมู่ เช่น ช่างทองตั้งร้านอยู่ใกล้ช่างเงิน หรือผ้าไหมกับสินค้าประเภทผ้าอื่น ๆ ก็จำหน่ายในบริเวณเดียวกัน เหมือนกับสินค้าไม้ก็จำหน่ายใกล้เครื่องเรือน เป็นต้น

ถนนขนาดใหญ่ที่น่าตื่นตาตื่นใจมากที่สุด คือ เมส (Mese) เป็นเส้นทางยาวถึงสามกิโลเมตร สำหรับขบวนเกียรติยศของจักรพรรดิ มุ่งสู่ประตูทองด้านตะวันออก แต่สถาปัตยกรรมที่อลังการมากที่สุดคือ พระราชวังยังเป็นที่นิยมศักดิ์สิทธืของจักรพรรดิ ที่มีการประดับประดาด้วยทองและพลอยล้ำค่าหลากหลาย ติด ๆ กันเป็นโบสถ์ฮาเจียโซเฟีย หรือวิหารแห่งปัญญา ( The Church of Hagia Sophia or Holy Wisdom ) และสถานที่ที่ขาดไม่ได้คือ สนามกีฬา ( The Hippodrome ) จุผู้คนกว่า 60,000 คน สำหรับแข่งรถม้าศึก จัดการต่อสู้ของกลาดิเอเตอร์ หรือปรับเปลี่ยนเป็นสถานที่จัดพิธีกรรมทางศาสนาที่สำคัญ รัฐพิธีขององค์จักรพรรดิ หรือแม้แต่การประหารบุคคลสำคัญ เป็นต้น

เศรษฐกิจของไบเซ็นไทน์รุ่งเรืองมาก จนกระทั่งเงินตราของไบเซ็นไทน์เป็นที่ยอมรับของดินแดนต่าง ๆ อย่างกว้างขวางในสมัยนั้น เพราะเป็นศูนย์รวมของสินค้าจากตะวันออกและตะวันตก ขณะที่ท่าเรือแหลมฮอร์นคับคั่งด้วยสินค้าสมุนไพร ของป่าจากอินโดจีน พริกไทยจากหมู่เกาะมาลาบาร์ ทองแดงจากอินเดีย เพชรพลอยจากลังกา นำมาแลกเปลี่ยนกับสินค้าของไบเซ็นไทน์ เช่น อำพัน หนังสัตว์ โลหะ และทาสจากดินแดนทางเหนือ

เรื่องที่น่าสังเกตอีกประเด็นหนึ่งคือ ชนชั้นนำของจักรวรรดิไบเซ็นไทน์นิยมผ้าไหมและผ้าทอลายชนิดต่าง ๆ ที่ช่างได้แสดงฝีมือไว้อย่างงดงามตัวอย่างเช่น ชุดและผ้าคลุมสีม่วงขององค์จักรพรรดิ สำหรับทรงสวมในรัฐพิธี หรือผ้าคลุมศพผู้ตายที่เป็นชนชั้นสูง เป็นค้น การค้าขายกับจีนด้วยเส้นทางไหมน่าจะมีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมการแต่งกายด้วยผ้าไหมหรือไม่ก็คงมีการลักลอบนำตัวไหมและวิธีการทอออกมาที่ไบเซ็นไทน์ในราวคริสต์ศตวรรษที่ 6 โดยพวกมิชันนารีที่เดินทางไปจีน แล้วช่างฝีมือของไบเซ็นไทน์จึงได้พัฒนาเป็นลักษณะเฉพาะตัวด้วย จนเป็นที่นิยมตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 9 และ 10 เป็นต้นมา การแต่งกายด้วยผ้าไหมถือเป็นเรื่องที่ ชนชั้นสูงของไบเซ็นไทน์ภาคภูมิใจและเป็นที่ชื่นชมของผู้พบเห็นดังเช่นที่ปรากฏในบันทึกของเสปนเรื่องการรับขบวนราชฑูตจากไบเซ็นไทน์ ซึ่งใส่ชุดผ้าไหมว่า “ All the people look like princes. Everybody is dressed in silk, purple and gold.”

จักรพรรดิไบเซ็นไทน์เป็นผู้นำทั้งด่านอษราจักรและมีอำนาจแต่งตั้งพระสังฆราชหรือผู้นำทางศาสนาคริสต์นิกายกรีกอออโธดอกซ์ ( Greek Orthodox) ทั้งยังนำรูปเคารพ ( iconoclasts ) มาใช้บูชาอย่างแพร่หลาย ด้วยการใช้รูปแบบศิลปะเฉพาะตัวเรียกกันว่า the Macedonian Renaissance ) ผสมผสานระหว่างรูปแบบของตะวันออก ตะวันตกและกรีก ซึ่งยังเป็นที่นิยมในศาสนสถานในซีเรียและ คาบสมุทรอนาโตเลีย เน้นการใช้ปูนเปียกหรือเฟรสโกและโมเสค ( mosaics ) งานศิลปะที่งดงามที่สุดปรากฏในวิหาร สำคัญที่สุด คือ วิหารเฮเจีย โซเฟีย แห่งคอนสแตนติโนเปิล

ผู้นำทางศาสนาที่คอมสแตนติโนเปิลเรียกว่า พระสังฆราช( the patriarch )และพระชั้นผู้ใหญ่ (the bishops ) แต่อำนาจของศาสนจักรยังเป็นรองจากองค์จักรพรรดิ ทั้งยังมีการแข่งขันระหว่างคริสต์นิกายโรมันคาธอลิคทางตะวันตกกับกรีกออธอดอกซ์ทางตะวันออก เช่น การช่วงชิงการเผยแผ่ศาสนาในหมู่ชนเผ่าสลาฟ ( slaves ) และที่สำคัญคือ ความพยายามปกป้องดินแดนปาเลสไตน์จากมุสลิม แต่ไม่สำเร็จจึงต้องขอความช่วยเหลือไปยังองค์สันตปะปาแห่งโรมันคาธอลิค ให้ส่งกองทัพคริสเตียนมาขับไล่มุสลิม จนนำไปสู่สงครามครูเสดตั้งแต่ ค.ศ. 1096 – 1291 ในสงครามครูเสดครั้งที่ 4 ค.ศ. 1204 กองทัพครูเสดได้เข้าปล้นกรุงคอนสแตนติโนเปิลเสียเอง ทำให้เสียหาย จนเป็นเหตุสู่ความเสื่อมโทรมต่อเนื่องและต้องตกเป็นของกองทัพมุสลิมพร้อมกับความพ่ายแพ้ในสงครามครูเสด นับเป็นการสิ้นสุดความยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิโรมันตะวันออกอย่างแท้จริงในค.ศ. 1453

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย