สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ การเมือง เศรษฐศาสตร์ >>

มานุษยวิทยา

ชาติพันธุ์วิทยาหรือมานุษยวิทยาวัฒนธรรม

(ในอเมริกาคำว่า “Ethnology” และ “Cultural anthropology” สามารถใช้แทนกันได้) เป็นการศึกษาเปรียบเทียบความเหมือนและความแตกต่างกันของวัฒนธรรมต่างๆที่มีอยู่ในโลกปัจจุบัน โดยมีมโนภาพ “วัฒนธรรม” เป็นกรอบแนวคิดที่สำคัญ มานุษยวิทยาวัฒนธรรมเป็นวิทยาศาสตร์สาขาหนึ่งที่ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ในสังคม นักมานุษยวิทยาวัฒนธรรมมีหน้าที่ในการศึกษาวิเคราะห์เปรียบเทียบและอธิบายพฤติกรรมมนุษย์ในทุกแง่มุมของชีวิตทางสังคม ทั้งนี้เพื่อวางกฏเกณฑ์ทั่วไปเกี่ยวกับพฤติกรรมมนุษย์ให้เป็นที่ยอมรับกันทั่วไป

ลักษณะที่สำคัญอย่างหนึ่งของมานุษย์วิทยาวัฒนธรรม คือนักมานุษยวิทยาจะศึกษาพฤติกรรมมนุษย์ในทุกแง่มุมของชีวิตในสังคมต่าง เช่นการศึกษาของมาลิเนาสกี้ (Mailnowski) ที่ทำการศึกษาพิธีกรรมการค้าขายพบว่าการแลกเปลี่ยนสิ่งของมีค่าสองชิ้นของสังคมโทรเบรียนนั้นเกี่ยวข้องกับทุกสิ่งทุกอย่างที่ชาวเกาะทำคือเกี่ยวกับระบบเศรษฐกิจ สถานภาพทางสังคม เกียรติคุณ ความเชื่อและการปฏิบัติกิจกรรมทางศาสนา รวมทั้งค่านิยมและทัศนคติด้วย

ดังจะเห็นได้ว่าแม้มานุษยวิทยาจะเป็นวิชาที่มีขอบข่ายที่กว้างขวางมาก แต่ในความเป็นจริงนักมานุษยวิทยาแต่ละคนศึกษาแต่ปัญหาแคบๆเท่านั้น

ลักษณะที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของมานุษยวิทยาวัฒนธรรมคือการใช้ “ระเบียบวิธีการเปรียบเทียบ” (Comparative Method) เพื่อเสาะแสวงหาความสม่ำเสมอ หากระบวนการที่วัฒนธรรมเปลี่ยนแปลงไปหรือกระบวนการที่ต่อเนื่องของวัฒนธรรมในทุกสังคมทุกเวลาและทุกสถานที่ในโลกนี้ ข้อมูลสำคัญที่ใช้ในการเปรียบเทียบวัฒนธรรมต่างๆทำให้วิชามานุษยวิทยาวัฒนธรรมมีขอบเขตเนี้อหาสาระที่กว้างขวางที่สุดในหมวดสังคมศาสตร์ เพราะมีลักษณะเป็นการศึกษาข้ามวัฒนธรรม มานุษยวิทยาวัฒนธรรมให้ทัศนคติในการมองโลก (World View) ที่ให้ความหมายแก่ทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์เห็นและทำ ความหมายของมานุษยวิทยาจะช่วยให้มนุษย์มีความสำเร็จในวิชาชีพ ที่สำคัญที่สุดคือการมีชีวิตอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข มานุษยวิทยาให้ความรู้ที่กว้างขวางเกี่ยวกับโลกที่เราอยู่อาศัย และเพื่อนมนุษย์ที่อาศัยในสังคมต่างๆในโลกนี้

แต่ก่อนการศึกษาของนักมานุษยวิทยาวัฒนธรรม เน้นศึกษาสังคมดั้งเดิมหรือสังคมที่ยังไม่รู้หนังสือ ในขณะที่ปัจจุบันนักมานุษยวิทยาวัฒนธรรมหันกลับมาให้ความสนใจศึกษาสังคมทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นสังคมระดับดั้งเดิม สังคมเกษตรกรรมหรือสังคมอุตสาหกรรมตามรายละเอียดที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น

นอกจากนี้มานุษยวิทยาวัฒนธรรมยังประกอบไปด้วยสาขาย่อยๆอีกหลายสาขา โดยที่นักมานุษยวิทยาแต่ละคนจะเลือกศึกษาวัฒนธรรมด้านใดด้านหนึ่งโดยเฉพาะที่ตัวสนใจเท่านั้น มานุษยวิทยาวัฒนธรรมจึงแบ่งเป็นสาขาต่าง ๆ ดังนี้

  1. มานุษยวิทยาการเมืองปกครอง (Political Anthropology) นักมานุษยวิทยาประเภทนี้ เน้นศึกษาระบบการเมืองหรือศึกษาเรื่องอำนาจและการใช้อำนาจในสังคมหรือชุมชนนั้นๆ
  2. มานุษยวิทยาศาสนา (Anthropology of Religion) เน้นศึกษาระบบความเชื่อทางศาสนา รวมทั้งการปฏิบัติในทางศาสนาหรือพิธีกรรมต่างๆ ด้วย
  3. มานุษยวิทยาเศรษฐกิจ (Economic Anthropology) เน้นศึกษาระบบเศรษฐกิจหรือวิธีทำมาหากินของมนุษย์ในสังคมต่างๆ
  4. การศึกษาระบบเครือญาติและการจัดระเบียบทางสังคม (Kinship and Social Organization) เน้นศึกษาระบบครอบครัวและเครือญาติในสังคมต่างๆ
  5. มานุษยวิทยาเชิงจิตวิทยา (Psychological Anthropology) เน้นศึกษาพฤติกรรมมนุษย์ในระดับบุคคล เช่นเดียวกันกับจิตวิทยาสังคม
  6. ภาษาและวัฒนธรรม (Language and Culture) เน้นศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาษาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม กับวัฒนธรรมด้านอื่นๆ
  7. มานุษยวิทยานคร (Urban Anthropology) เน้นศึกษาชุมชนเมืองในสังคมกำลังพัฒนาและสังคมที่พัฒนาแล้ว
  8. นิเวศน์วิทยาวัฒนธรรม (Cultural Ecology) เน้นศึกษาการปรับตัวของมนุษย์เข้ากับสิ่งแวดล้อมทางกายภาพและทางสังคม
  9. มานุษยวิทยาการแพทย์ (Medical Anthropology) เน้นศึกษาการแพทย์แผนโบราณ การสาธารณสุข การรักษาพยาบาลเมื่อเจ็บไข้ได้ป่วยในสังคมกำลังพัฒนาและที่พัฒนาแล้ว
  10. การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม (Culture Change) เน้นศึกษาถึงปัจจัย หรือกระบวนการต่างๆที่ทำให้วัฒนธรรมเปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาทางสังคมหรือชุมชนด้วย

ตัวอย่างงานวิจัยของนักชาติพันธุ์วิทยา (Ethnologist)

การศึกษาเกี่ยวกับกระบวนการสูญเสียวัฒนธรรม (Deculturation) และการผสมผสานทางวัฒนธรรม(Assimilation) ของกลุ่มชาติพันธุ์ย่อยต่างๆ ได้แก่ ระบบเศรษฐกิจที่อาจจะถูกบูรณาการเข้ากับระบบเศรษฐกิจของศูนย์กลาง ลำดับชั้นทางการเมืองตามประเพณี อาจจะถูกเปลี่ยนแปลงหรือยกเลิก ลัทธิความเชื่อทางศาสนา ได้แก่การถือผีบรรพบุรุษและผีต่างๆ ก็จะถูกศาสนาของศูนย์กลาง (คือศาสนาพุทธ) เข้ามาแทนที่ โครงสร้างความสัมพันธ์ทางสังคม เช่นการแต่งงาน การเลือกที่อยู่หลังการแต่งงาน ก็จะถูกครอบงำด้วยอิทธิพลของแบบแผนทางวัฒนธรรมของศูนย์กลาง เช่นเดียวกับภาษาก็ย่อมจะตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของศูนย์กลางเช่นเดียวกัน

เฟรดริก บาธ ได้ชี้ให้เห็นว่าถ้าเราจะถือกลุ่มชาติพันธุ์เป็นหน่วยที่ยึดถือวัฒนธรรม (Culture-bearing Unit) จะทำให้เรากำหนดและแยกความแตกต่างทางชาติพันธุ์ โดยอาศัยรูปลักษณ์ภายนอก (Morphological Characteristics) ของวัฒนธรรม ซึ่งจะทำให้เกิดความเข้าใจผิดสำคัญ 2 ประการ คือ ประการแรก ถ้าเราไปเน้นความสำคัญของหน่วยที่ยึดถือวัฒนธรรมจะทำให้การจำแนกประเภทบุคคลเหรือกลุ่มท้องถิ่นที่เป็นสมาชิกของกลุ่มชาติพันธุ์ต้องอาศัยลักษณาการทางวัฒนธรรม (Cultural Traits) ที่ปรากฏให้เห็นจากการสังเกตการณ์ของนักมานุษยวิทยา ในอาณาเขตทางวัฒนธรรมหนึ่งโดยไม่ได้คำนึงถึงลักษณะ ประเภทและความรู้สึกนึกคิดของคนภายในกลุ่ม เมื่อเป็นดังนั้นความแตกต่างระหว่างกลุ่มก็จะกลายเป็นรายการลักษณะความแตกต่าง (trait inventories) และการวิเคราะห์เองก็จะกลายเป็นการวิเคราะห์วัฒนธรรม (Ethnic Organization) นอกจากนี้ความสันพันธ์ในลักษณะพลวัตรระหว่างกลุ่มก็จะได้รับการพิจารณาในลักษณะที่เป็นการผสมผสานทางวัฒนธรรม (Acculturation) ซึ่งเป็นแนวการศึกษาที่นักมานุษยวิทยาในสมัยอาณานิคมเคยใช้ศึกษาอิทธิพลของการติดต่อทางวัฒนธรรมระหว่างชาวตะวันตกกับกลุ่มชนพื้นเมืองซึ่งในปัจจุบันเป็นแนวการศึกษาที่พ้นสมัยไปแล้ว

ประการที่สอง รูปลักษณ์วัฒนธรรมที่ปรากฏให้เห็นภายนอกอาจถือได้ว่า เป็นผลของการปรับตัวทางนิเวศน์วิทยา (Ecological Effects) ของกลุ่มต่อสภาพแวดล้อมภายนอก อย่างเช่น ในเรื่องอาหารการกินของชนกลุ่มหนึ่งก็อาจจะสะท้อนให้เห็นถึงพืชพันธ์ธัญญาหาร ตลอดจนสัตว์สิ่งที่มีชีวิตที่ปลูกหรือเลี้ยงหรือสามารถจะหาได้ในบริเวณที่อยู่อาศัยของชนกลุ่มนั้น อย่างปัจจุบันในภาคเหนือพืชเมืองหนาวจำพวกกะหล่ำปลี แครอต มันฝรั่งและอื่นๆ ได้รับการแนะนำเข้าไปและปลูกเป็นพืชเศรษฐกิจของกลุ่มชาติพันธุ์ทั้งที่อยู่บริเวณพื้นราบและบนภูเขา วัสดุที่ใช้ในการปรุงอาหาร ตลอดจนรูปแบบของอาหารการกินก็เปลี่ยนไป อาหารประเภทโปรตีนอย่างเช่นเนื้อ นมและปลาก็มีเพิ่มมากขึ้นจากเดิมโปรตีนที่เคยได้รับจากพืชผักเป็นส่วนใหญ่ การปลูกบ้านเรือนก็เช่นเดียวกัน วัสดุที่ใช้แต่เดิมก็เป็นสิ่งที่หาได้ในบริเวณนั้น เช่น บ้านของชาวเขาในบางจังหวัดของภาคเหนือ สมัยหนึ่งอาจจะใช้ไม้จริงและไม้ไผ่เป็นวัสดุและส่วนประกอบที่สำคัญของบ้านเรือน แต่ต่อมาเมื่อต้นไม้ใหญ่และป่าไผ่หมดไป ประกอบกับการได้เรียนรู้เทคนิคในการทำผนังบ้านด้วยดิน จากชนกลุ่มอื่น (เช่นจากชาวยูนาน ที่อพยพจากดินแดนตอนใต้ของจีน) ชาวเขาในบริเวณจังหวัดเชียงรายก็เริ่มหันมาสร้างกำแพงบ้านด้วยดิน หรือใช้วัสดุก่อสร้างที่หาซื้อได้จากในเมือง เช่น ซีเมนต์บล็อกและกระเบื้อง และใช้สังกะสีมุงหลังคา รูปลักษณ์ของบ้านเรือนตามประเพณีดั้งเดิม จากบ้านชั้นเดียวใต้ถุนสูงหรือปลูกติดกับดินก็อาจจะเปลี่ยนมาเป็นบ้านสองชั้น เช่นเดียวกับชาวไทยที่อยู่บนพื้นราบหรือในเมือง เรื่องเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มก็เช่นเดียวกัน ด้ายหรือไหมที่ใช้ทอผ้าที่เคยผลิตเองจากฝ้ายหรือปอที่ปลูกในไร่ ก็สามารถซื้อหามาได้จากตลาดรวมทั้งเสื้อผ้าสำเร็จรูปแบบคนเมือง เราจะเห็นได้ว่าในปัจจุบันเสื้อผ้าและการแต่งกายของชาวเขาได้เปลี่ยนรูปแบบและมีความแตกต่าง จากที่เคยเป็นอยู่เมื่อไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมาเป็นอย่างมาก วิถีชีวิตความเป็นอยู่ ตลอดจนขนบธรรมเนียมประเพณีอื่นๆก็มีการปรับเปลี่ยนให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมภายนอกเช่นเดียวกัน

ดังนั้นจะเห็นได้ว่ากลุ่มชาติพันธุ์ที่ยึดถือวัฒนธรรมหนึ่งมีระบบค่านิยมและความคิดต่างๆเหมือนกัน อาจจะมีวิถีการดำเนินชีวิตและพฤติกรรมที่ยอมรับเป็นสถาบันแตกต่างกัน ถ้าต้องเผชิญกับโอกาสที่เปิดให้ ในสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน และในทำนองเดียวกันกลุ่มชาติพันธุ์ที่แพร่หลายกระจายอยู่ในอาณาบริเวณที่มีสภาพแวดล้อมทางนิเวศน์วิทยาต่างกัน อาจจะมีรูปแบบพฤติกรรมที่เป็นสถาบันที่ไม่แตกต่างกันก็ได้ ดังนั้นจึงไม่เป็นการเพียงพอที่เราจะยึดถือรูปลักษณ์ภายนอกว่าเป็นส่วนประกอบของลักษณะสำคัญทางวัฒนธรรมในระยะเวลาหนึ่ง ในการกำหนดอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ เนื่องจากรูปลักษณ์ภายนอกต่างๆดังกล่าวเป็นผลของการปรับตัวทางนิเวศน์วิทยาเท่าๆกับเป็นการถ่ายทอดทางวัฒนธรรม ขณะเดียวกันเราก็ไม่อาจจะกล่าวได้ว่าความแตกต่างที่ปรากฎอยู่ในกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่ง จะเป็นตัวกำหนดในขั้นแรกที่จะก่อให้เกิดการแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อย หรือการขยายกลุ่มเพิ่มขึ้น เพราะจากหลักฐานที่มีอยู่กลุ่มชาติพันธุ์ที่มีระดับองค์กรทางเศรษฐกิจง่ายๆที่มีอยู่ในบริเวณนิเวศน์วิทยาที่แตกต่างจำนวนหนึ่ง จะสามารถดำรงความเป็นเอกภาพทางวัฒนธรรมไว้ได้ตลอดระยะเวลายาวนานระยะหนึ่ง

นั่นคือเฟรดริก บาธ ได้ชี้ให้เห็นว่าในการศึกษากลุ่มชาติพันธุ์ที่เกี่ยวข้องกับผลกระทบทางด้านสภาพแวดล้อมนิเวศน์วิทยาที่มีต่อพฤติกรรมและผลกระทบที่เกิดจากขนบธรรมเนียมประเพณีทางวัฒนธรรม ในการศึกษาวิเคราะห์และกำหนดความแตกต่างของกลุ่มชาติพันธุ์ จำเป็นต้องแยกปัจจัยสองประเภทออกจากกันและทำการวิเคราะห์องค์กรทางสังคม แทนที่จะเป็นลักษณะภายนอกอันเป็นผลการปรับตัวของสภาพแวดล้อมทางนิเวศน์

งานศึกษาเกี่ยวกับหน่วยและพรมแดนทางชาติพันธุ์ (สุเทพ สุนทรเภสัช 2543) การกำหนดขอบเขตของหน่วยชาติพันธุ์ (ethnic unit) และการที่จะอธิบายว่าหน่วยชาติพันธุ์หนึ่งสามารถจะดำรงอยู่ได้อย่างไร เป็นประเด็นปัญหาที่มีความสำคัญในหมู่นักมานุษยวิทยาและสังคมศาสตร์อื่นๆ แม้กระนั้นก็ยังไม่มีความเห็นลงรอยกันเกี่ยวกับเกณฑ์ที่ใช้กำหนดหน่วยชาติพันธุ์ ปัญหาและความสับสนที่เกิดขึ้นในความพยายามดังกล่าวเป็นผลมาจากการที่นักมานุษยวิทยา ขาดความชัดเจนเกี่ยวกับเกณฑ์ต่างๆที่จะใช้เป็นตัวกำหนดตัวตนทางสังคม เป็นต้นว่ากลุ่มชน (Peoples) เผ่าพันธุ์ (Tribes) สังคม (Society) และวัฒนธรรม (Culture)



ราอูล นาโรลล์ นักมานุษยวิทยาจึงได้ทำการศึกษาและเสนอเกณฑ์ที่จะใช้กำหนดหน่วยทางชาติพันธุ์ที่สำคัญ 6 ประการ ได้แก่

  1. การกระจายตัวของลักษณะสำคัญ (TRAITS DISTRIBUTION)
  2. ความใกล้ชิดทางอาณาเขต (TERRITORIAL CONTIGUITY)
  3. องค์กรทางการเมือง (POLITICAL ORGANIZATION)
  4. ภาษา (LANGUAGE)
  5. การปรับตัวทางนิเวศน์ (ECOLOGICAL ADJUSTMENT)
  6. โครงสร้างชุมชนท้องถิ่น (LOCAL COMMUNITY STRUCTURE)

ในขณะเดียวกันไมเคิล มอร์มัน นักมานุษยวิทยาชาวอเมริกันที่เคยเข้ามาศึกษาหมู่บ้านชาวไทลื้อที่อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา กลับโต้แย้งว่าเกณฑ์ต่างๆที่นาโรล เสนอนั้นก็คือเกณฑ์ที่ใช้กำหนดหน่วยทางชาติพันธุ์ในฐานะที่เป็นหน่วยยึดถือวัฒนธรรมที่เขาเห็นว่ามีข้อจำกัดสำคัญ 3 ประการ คือ

  1. เนื่องจากตัวกำหนด เช่นภาษา วัฒนธรรมและองค์กรทางการเมือง ขาดสหสัมพันธ์ต่อกันอย่างสมบูรณ์ หน่วยต่างๆที่กำหนดโดยเกณฑ์อย่างหนึ่งอาจจะไม่สอดรับกับหน่วยที่ใช้เกณฑ์อีกอย่างหนึ่งกำหนด
  2. ถ้าคำว่า “วัฒนธรรม” ถูกใช้โดยต้องการจะให้หมายถึงแบบแผน แผนการหรือโครงร่างของการดำเนินชีวิตแล้ว หน่วยที่เกิดอันเป็นผลมาจากผลรวมของตัวกำหนดดังกล่าวรวมทั้งตัวกำหนดอื่นๆที่นาโรลล์เสนอก็อาจถือได้ว่า เป็นหน่วยยึดถือวัฒนธรรมที่อาจจะเกิดขึ้นในสภาวการณ์และระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น
  3. เป็นการยากที่ใช้ภาษา วัฒนธรรม องค์กรทางการเมือง สังคมหรือระบบเศรษฐกิจ เป็นตัวกำหนดขอบเขตตัวตนของกลุ่มชาติพันธุ์ได้อย่างชัดเจนด้วยเหตุผลต่างๆดังกล่าว ดังนั้น มอร์มัน จึงมีความเห็นว่าการกำหนดหน่วยชาติพันธุ์ เป็นปัญหาในทุกภูมิภาคของโลกโดยที่เราไม่สามารถใช้ลักษณะวัตถุวิสัยหรือที่เป็นรูปธรรม (Objective Characteristics) อย่างเช่นภาษาและแบบแผนการดำเนินชีวิต ในการกำหนดหน่วยชาติพันธุ์หนึ่งว่าเริ่มต้นตรงไหนและสิ้นสุดตรงไหนได้

ด้วยความยากลำบากในการที่จะแบ่งกลุ่มวัฒนธรรมต่างๆที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกันได้อย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรมนี้เอง นักวิชาการบางคนจึงต้องอาศัยลักษณะสำคัญ (Traits) และสถาบันต่างๆจำนวนหนึ่งที่ดูเหมือนจะมีความสำคัญ ไม่ว่าในทางทฤษฎีหรือที่สถาบันในสังคมต้องพึ่งพาอาศัย หรือไม่ก็อาจจะเป็นลักษณะสำคัญที่หน่วยวัฒนธรรมนั้นใช้กำหนดตนเอง หรือถูกกำหนดโดยกลุ่มเพื่อนบ้าน เป็นเกณฑ์ในการแบ่ง

ในปัจจุบันการศึกษาวิเคราะห์ต่างวัฒนธรรม หน่วยที่ใช้ในการศึกษาเปรียบเทียบมักจะเป็นหน่วยสังคม (Society) มากกว่าวัฒนธรรม นักมานุษยวิทยา อาจจะใช้เกณฑ์ต่างๆเช่น “การสิ้นสุดของการพึ่งพาอาศัยกัน” (Discontinuities Of Dependency) เป็นเครื่องช่วยในการแบ่งหน่วยสังคม แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้ปัญหาความยุ่งยากลดน้อยลง ในการที่จะกำหนดว่าระดับการเมือง เขตแดน วัฒนธรรมและภาษา ของหน่วยๆหนึ่งสิ้นสุดลงและเริ่มต้นใหม่ที่ตรงไหน นอกจากนี้เราจะไม่พบตัวตนทางสังคมใดที่ “มีความสมบูรณ์เบ็ดเสร็จในตัวเอง” จากการศึกษาของนักมานุษยวิทยาในบริเวณแผ่นดินใหญ่ของเอเชียอาคเนย์ ซึ่งเป็นบริบทของดินแดนในภาคเหนือของประเทศไทย พบว่ากลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมหลากหลายอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมทางนิเวศน์ ทั้งที่คล้ายคลึงกันและแตกต่างกันอย่างมาก ต่างก็มีรูปแบบการพึ่งพาอาศัยกันและกันในลักษณะที่ไม่สามารถจะแยกเป็นอิสระจากกันได้อย่างชัดเจน

จากความเป็นจริงดังกล่าว การศึกษาชาวไทลื้อในอำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา ของไมเคิล มอร์มันได้พบว่า การที่จะกำหนดอัตลักษณ์ของความเป็นไทลื้อหรือการที่จะกล่าวว่าชาวไทลื้อ มีตัวตนและการที่จะเข้าว่ากลุ่มชาติพันธุ์ลื้อ สามารถดำรงอยู่ได้อย่างไรในประเทศไทยปัจจุบันจะไม่สามารถทำได้โดยการแยกพิจารณาชาวไทลื้อว่าเป็นเผ่าพันธุ์อิสระจากชาวไทยเหนือและกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกัน หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งความเป็นชาวไทลื้อจะต้องพิจารณาในบริบทของสังคมในส่วนรวม (Larger Social System) ที่มีกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆรวมอยู่ด้วย มอร์มันได้อ้างคำกล่าวของอาร์.เอฟ.เมอร์ฟี ที่ว่า “ความเป็นสมาชิกภาพในกลุ่มความร่วมมือขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่จะใช้กำหนดผู้ที่ไม่ใช่สมาชิกของกลุ่ม (The Excluded) คือความรู้สึกในความเป็นคนอื่น (Otherness) เป็นสิ่งสำคัญ ในการที่จะนิยามหน่วยสังคม กำหนดและธำรงไว้ซึ่งพรมแดนของหน่วยสังคม” หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ปุถุชนคนหนึ่งจะถือว่าเป็นสมาชิกของสังคมหนึ่งก็โดยที่เขาไม่ได้เป็นสมาชิกของสังคมอื่นใดในการกำหนดตัวตนทางชาติพันธุ์นั้น ปุถุชนจะกำหนดว่าตัวเองแตกต่างจากคนอื่นอย่างไร ใครบ้างที่ถือว่าเป็นสมาชิกของกลุ่มและใครบ้างที่ไม่ใช่สมาชิกของกลุ่ม ซึ่งก็เท่ากับเป็นการกำหนดพรมแดนทางชาติพันธุ์ (Ethnic Boundaries) ของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆที่เข้ามามีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน

นอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้นแล้วมีนักมานุษยวิทยาบางท่าน ได้แบ่งสาขามานุษยวิทยาออกเป็นเพียง 2 สาขาใหญ่เท่านั้น โดยใช้เกณฑ์ตามเนื้อหาสาระของวิชาคือเป็นสาขามานุษยวิทยากายภาพ และสาขามนุษยวิทยาวัฒนธรรม โดยรวมสาขาย่อยอีก 3 สาขาไว้ด้วยคือ โบราณคดี มานุษยวิทยาภาษาศาสตร์และชาติพันธุ์วิทยา

แต่กระนั้นเนื้อหาสาระในแต่ละสาขาย่อยของวิชามานุษยวิทยาทั้งสองกลุ่มยังคงเน้นการศึกษาในแบบเดียวกันอยู่นั่นเอง ความแตกต่างดังกล่าวเนื่องมาจากการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยของแต่ละประเทศเป็นสำคัญ

» ความเป็นมาของวิชามานุษยวิทยา

» ความหมายและขอบข่ายของวิชามานุษยวิทยา

» สาขาย่อยของวิชามานุษยวิทยาและตัวอย่างงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

» ชาติพันธุ์วรรณา

» มานุษยวิทยาภาคสังคม

» ชาติพันธุ์วิทยาหรือมานุษยวิทยาวัฒนธรรม

» การศึกษามานุษยวิทยาในประเทศไทยและสาขาวิชาอื่นที่เกี่ยวข้อง

» ประโยชน์ของวิชามานุษยวิทยา

» แนวคิดและทฤษฎีทางมานุษยวิทยา

» การเปลี่ยนแปลงของแนวทฤษฎีที่ศึกษาวัฒนธรรมแบบองค์รวมฯ

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย