สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ การเมือง เศรษฐศาสตร์ >>
มานุษยวิทยา
สาขาย่อยของวิชามานุษยวิทยาและตัวอย่างงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
เมื่อวิชามานุษยวิทยามีเป้าหมายหลักตามประเด็นต่างๆที่กล่าวไปแล้วข้างต้นเพื่อให้ครอบคลุมสำหรับการศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์ในทุกแง่มุมของชีวิตในสังคม
ในทุกกาลเวลาและทุกสถานที่ในโลก จึงต้องแบ่งมานุษยวิทยาออกเป็น 4 สาขาย่อย ดังนี้
1) มานุษยวิทยากายภาพ (Physical Anthropology)
2) โบราณคดี (Archaeology)
3) มานุษยวิทยาภาษาศาสตร์ (Anthropological Linguistics)
4) มานุษยวิทยาวัฒนธรรม (Cultural Anthropology)
มานุษยวิทยากายภาพ (Physical Anthropology) :
สาขาวิชานี้ให้ความสนใจมนุษย์ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของอินทรีย์ชีวะ (Biological
organisms) วัตถุประสงค์ของมานุษยวิทยากายภาพ คือ
การพัฒนาองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับชีวะ สรีระ
และลักษณะทางพันธุศาสตร์ของประชากรมนุษย์ทั้งโบราณและสมัยใหม่
โดยการศึกษามนุษย์ทั้งในอดีตและปัจจุบัน
นักมานุษยวิทยากายภาพสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับโครงสร้าง
การเติบโตและสรีระศาสตร์ของร่างกายมนุษย์ในรายละเอียดได้ (Hoebel and Weaver 1979 :
10)
มานุษยวิทยากายภาพเป็นการศึกษาที่เน้นหนักในด้านลักษณะทางชีวภาพหรือลักษณะทางกายภาพของมนุษย์
เริ่มทำการศึกษาตั้งแต่พัฒนาการทางกายภาพของมนุษย์ในอดีตเรื่อยมาจนปัจจุบัน
สามารถแบ่งลักษณะการศึกษาของนักมานุษยวิทยากายภาพออกเป็นแนวทางที่หลากหลายได้แก่
(1)
นักมานุษยวิทยาที่สนใจการศึกษาเปรียบเทียบลักษณะทางกรรมพันธุ์ของประชากรมนุษย์สมัยปัจจุบันทั่วโลก
รวมทั้งค้นหากลไกต่างๆที่ทำให้เกิดความแตกต่างทางชีวะของมนุษย์ในสังคมต่างๆ และ (2)
นักมานุษยวิทยากายภาพที่มุ่งเน้นการศึกษาเกี่ยวกับการปรับตัวของประชากรมนุษย์ในส่วนต่างๆของโลกปัจจุบันว่า
ได้ปรับตัวเข้าสิ่งแวดล้อมทางกายภาพและทางสังคมอย่างไรบ้าง (3)
ในขณะที่นักมานุษยวิทยากายภาพบางกลุ่มเน้นศึกษาเรื่องเชื้อชาติ และ (4)
กลุ่มที่เน้นศึกษาหาความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะทางชีวะและกิจกรรมทางวัฒนธรรมของมนุษย์
โบราณคดี (Archaeology) :
นั่นคือนักโบราณคดีสนใจกิจกรรมต่างๆของมนุษย์โดยผ่านการศึกษาจากหลักฐาน
ร่องรอยต่างๆที่มนุษย์ในอดีตเหลือทิ้งไว้ เช่น เครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ
เครื่องมือหินหรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า ขวานหิน หรือ ขวานฟ้า ภาชนะดินเผา
งาและเขาสัตว์ กระดูกคนและสัตว์
ถ้ำหรือเพิงผาที่นักโบราณคดีเชื่อว่าเป็นที่อยู่ของมนุษย์ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์
สิ่งก่อสร้างสมัยก่อนประวัติศาสตร์ การทับถมของชั้นดินและศิลปะประเภทต่างๆ
เช่นภาพเขียน รูปแกะสลักเป็นรูปสัตว์ต่างๆ รูปคน (เทพเจ้า?) ผ่านพิธีกรรมปลงศพ
เป็นต้น นักโบราณคดีสามารถวาดภาพชีวิตของมนุษย์ในอดีตได้จากการสันนิษฐานจากกซาก
(ฟอสซิล) และหลักฐานต่างๆ
สาขาย่อยของวิชาโบราณคดีมีดังนี้ โบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์
(Prehistory) โบราณคดีสมัยกึ่งก่อนประวัติศาสตร์ (Proto-history)
โบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์ (History) ดึกดำบรรพ์วิทยา (Paleontology) ธรณีวิทยา
(Geology) พฤกษศาสตร์ดึกดำบรรพ์ (Paleobotany) อียิปป์ศึกษา (Egyptology)
โบราณคดีใต้น้ำ (Marine Archaeology) เป็นต้น
นักโบราณคดีศึกษาหลักฐานเหล่านี้เพื่อสร้างประวัติความเป็นมาและชีวิตความเป็นอยู่
หรือวิถีชีวิตของกลุ่มคนที่ศึกษา เช่น
นักโบราณคดีไทยศึกษาหลักฐานต่างๆที่มนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ในประเทศไทยเหลือทิ้งไว้ทำให้เราทราบได้ว่า
ในสมัยหินกลางในประเทศไทยมีพิธีกรรมการฝังศพอย่างเป็นทางการและอาจมีความเชื่อเกี่ยวกับการเกิดใหม่ในโลกหน้าด้วย
และที่ถ้ำผีจังหวัดแม่ฮ่องสอน
นักโบราณคดีพบหลักฐานว่าถ้ำผีเป็นแหล่งปลูกข้าวที่เก่าแก่แห่งหนึ่งของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จากนั้นจึงแพร่ขยายออกไปยังดินแดนใกล้เคียงอื่นๆ
เช่นจีนและอินเดีย
นอกจากนั้นที่ถ้ำผียังพบหลักฐานของพืชพันธุ์ต่างๆอีกมากมายหลายชนิด
ที่สามารถสันนิษฐานในเบื้องต้นได้ว่า
จากการศึกษาหลักฐานทางโบราณคดีดังกล่าวนั้นพบว่ามนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่ถ้ำผีได้เริ่มทำการเพาะปลูกพืชมากว่า
9,000 ปีมาแล้ว (สุรพล นาพินธุ 2543)
จะเห็นว่าการศึกษาของนักโบราณคดีทำให้เราทราบชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์ในอดีตได้ดียิ่งขึ้น
อีกทั้งยังทราบความเป็นมาของวัฒนธรรมของมนุษยชาติอีกด้วย
มานุษยวิทยาภาษาศาสตร์ (Linguistics Anthropology) :
เป็นการศึกษาเกี่ยวกับภาษาในลักษณะที่เป็นมุมมองทางวิทยาศาสตร์ การบรรยาย
และการเปรียบเทียบโครงสร้างของภาษาต่างๆ
การศึกษาของนักมานุษยวิทยามีความแตกต่างจากการศึกษาของนักภาษาศาสตร์โดยสิ้นเชิง
กล่าวคือนักมานุษยวิทยาภาษาศาสตร์คือนักมานุษยวิทยาที่มุ่งเน้นประเด็นการศึกษาไปที่ภาษาซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม
ส่วนมากนักมานุษยวิทยาภาษาศาสตร์ให้ความสนใจไปที่ภาษาของสังคมที่ยังไม่มีตัวอักษรใช้
เพื่อมุ่งศึกษาหาต้นตอแหล่งกำเนิดของภาษานั้นๆ รวมไปถึงศึกษาพัฒนาการของภาษานั้นๆ
โดยศึกษาว่าภาษาของมนุษย์เริ่มมีขึ้นเมื่อใด และเกิดขึ้นได้อย่างไร
นอกจากนั้นนักมานุษยวิทยาภาษาศาสตร์ยังศึกษาวิวัฒนาการของภาษาต่างๆที่มีอยู่ในปัจจุบันแล้วสืบย้อนกลับไปยังต้นตอของภาษาเหล่านั้น
โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยทางวิทยาศาสตร์ทำให้สามารถทราบว่าภาษาใดมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันแล้วนำผลการศึกษาเหล่านั้นมาตีความอดีตของเจ้าของภาษาว่ามีความเป็นมาอย่างไร
ตัวอย่างเช่นการวิเคราะห์รากศัพท์ในภาษาต่างๆ
ทำให้ทราบต่อไปถึงประวัติความเป็นมาและการอพยพของมนุษย์ในสังคมต่างๆได้
ในปัจจุบันนักมานุษยวิทยาภาษาศาสตร์
สนใจที่จะศึกษาสิ่งที่มีอยู่ร่วมกันเป็นสากลของภาษาต่างๆทั่วโลก
รวมทั้งศึกษาหาความสัมพันธ์ระหว่างภาษาและวัฒนธรรมด้านอื่นๆ
สนใจศึกษาโลกทัศน์ของมนุษย์ในสังคมต่างๆ
นักมานุษยวิทยาภาษาศาสตร์ส่วนมากจะศึกษาภาษาใดภาษาหนึ่งในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง
เพื่อทำความเข้าใจโครงสร้างของภาษานั้นๆ
นอกจากนั้นยังทำการศึกษาภาษาในฐานะเป็นระบบสื่อสารสำคัญที่มนุษย์ใช้ในการติดต่อสัมพันธ์กัน
เพราะเชื่อว่าการศึกษาภาษาและวัฒนธรรมช่วยทำให้เราเข้าใจพฤติกรรมของมนุษย์ได้
ตัวอย่างงานวิจัยของนักมานุษยวิทยาภาษาศาสตร์
การวิจัยเรื่อง คำเมือง กับอัตลักษณ์ของคนเมือง (สุเทพ สุนทรเภสัช
2543)
ภาษาถือว่าเป็นอัตลักษณ์ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ชาวไทยเหนือใช้กำหนดกลุ่มชาติพันธุ์ของตนเอง
คนเมือง ถือว่ามีภาษาพูดของตัวเอง เรียกว่า คำเมือง และมี ตัวเมือง
ใช้เป็นภาษาเขียน ที่ทำให้แตกต่างจากคนไทยที่อยู่ในภูมิภาคอื่นๆของประเทศ เช่น
ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้
เกี่ยวกับประเด็นในเรื่องภาษา ริดชาร์ด เดวิส
นักมานุษยวิทยาชาวออสเตรเลียผู้ล่วงลับไปแล้ว
ที่เคยเข้ามาศึกษาตำนานและพิธีกรรมของเมืองน่านได้อ้าง ราอูล นาโรล (Raoul Naroll,
อ้างถึงในสุเทพ สุนทรเภสัช 2543 : 14) นักมานุษยวิทยาผู้เสนอว่า
ในการที่จะตัดสินว่าภาษาใดเป็นภาษาอิสระ (Language)
หรือเป็นเพียงภาษาถิ่นหรือภาษาพูด (Dialect)
ของอีกภาษาหนึ่งอาจทำได้โดยเลือกคำในภาษาพูดจากภาษาที่ต้องการจะศึกษาเปรียบเทียบมา
200 คำ ตามเกณฑ์มาตรฐานสวาเดสช์ (Standard Swadesh 200 word List)
ถ้าคำพ้องของภาษาพูดที่นำมาเปรียบเทียบอย่างน้อย 80%
ออกเสียงคล้ายกันก็อาจถือได้ว่าภาษาทั้งสองเป็นภาษาเดียวกัน
ในการศึกษาจึงได้เลือกคำจากภาษาพูดของภาษาไทยกลางและคำที่ใช้พูดในเมืองน่านปัจจุบัน
ไปเปรียบเทียบตามเกณฑ์มาตราฐานสวาเดสช์ (Standard Swadesh 200 word List) ริดชาร์ด
เดวิส ได้พบคำที่มีเสียงพ้องกันอยู่เพียง 66.5%
และยิ่งถ้าจะเอาคำที่คนเฒ่าคนแก่พูดกันอยู่หรือคำที่ใช้อยู่ในคัมภีร์โบราณมาเปรียบเทียบด้วยแล้ว
คำที่มีเสียงพ้องกันจะเหลือเพียง 61% ดังนั้น ริดชาร์ด เดวิส
จึงสรุปว่าภาษาเหนือหรือ คำเมือง เป็นภาษาอิสระจากภาษาไทยกลาง
หรืออาจจะกล่าวได้อีกอย่างหนึ่งว่า คนเมือง มีภาษาเป็นของตัวเอง
การศึกษาภาษาเพื่อบ่งบอกความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกัน (อ้างจากสุเทพ
สุนทรเภสัช 2543)
เป็นการศึกษาในชนต่างกลุ่มที่อยู่ในอาณาบริเวณเดียวกันอาจจะมีภาษาแตกต่างกัน
แต่ในส่วนรวมก็อาจถือเป็นกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกันได้
ดังจะเห็นได้จากการศึกษาของอี.อาร์.ลีช
นักมานุษยวิทยาชาวอังกฤษที่เข้าไปศึกษาในบริเวณที่สูงทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของพม่าที่เขาเรียกกันว่า
บริเวณภูเขาของชนเผ่าคฉิ่น (Kachin Hills Area)
ลีชได้พบว่ากลุ่มชนต่างๆที่อยู่ในบริเวณดังกล่าวมีภาษาพูดหรือภาษาถิ่น (Dialects)
ของตัวเองเป็นจำนวนมาก นักภาษาศาสตร์ได้จัดแบ่งกลุ่มภาษาที่ใช้อยู่ในบริเวณนี้
(นอกจากกลุ่มที่ใช้ภาษาไทยแล้ว) ออกได้เป็น 4 กลุ่มใหญ่ๆ คือ
- จิงปอ (Jingphaw) คนที่อยู่ในกลุ่มภาษานี้ยังแบ่งเป็นกลุ่มย่อยๆได้อีก 6 กลุ่ม โดยที่แต่ละกลุ่มต่างมีภาษาที่สามารถพูดจาเข้าใจกันได้กับกลุ่มอื่นๆ
- มารู (Maru) เป็นภาษาที่ใกล้กับภาษาพม่ามากกว่าภาษาจิงปอ ที่แบ่งออกเป็นกลุ่มย่อยได้อีก 5 กลุ่มและมีหลายพวกในกลุ่มนี้ที่ไม่สามารถพูดจาเข้าใจกันและกันได้
- นุง (Nung) แบ่งออกเป็นหลายภาษาที่แตกต่างกันและไม่สามารถเข้าใจกันได้เลย ภาษานุงใกล้กับภาษาธิเบตมากกว่าภาษาจิงปอ
- ลีซู (Lisu) แบ่งเป็นกลุ่มภาษาท้องถิ่นที่แตกต่างกันจำนวนมาก ภาษาลีซูแตกต่างอย่างมากกับภาษาจิงปอและมารู อีกทั้งยังใช้หลักไวยากรณ์แบบพม่า กลุ่มที่พูดภาษาลีซูถือว่าเป็นกลุ่มชายขอบ
ลีชได้พบว่าในบริเวณภูเขาของชนเผ่าคฉิ่น
ทั้งๆที่ในบริเวณนี้มีการแบ่งออกไปเป็นกลุ่มที่หลากหลาย
และในแต่ละกลุ่มต่างก็มีภาษาพูดของตัวเอง
แต่กลุ่มชนต่างๆยังถือตนว่าเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ คฉิ่น เดียวกัน
จากกรณีศึกษาของลีชได้ชี้ให้เห็นว่าภาษามิใช่อัตลักษณ์ที่สำคัญเพียงอย่างเดียวที่จะใช้ในการกำหนดลักษณะทางชาติพันธุ์ยังจะต้องมีอย่างอื่นด้วย
และคนที่ไม่ได้พูดภาษาเดียวกันก็อาจถือว่าเป็นคนในกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกันได้
สำหรับสถานการณ์ของประเทศไทยก็เช่นกัน เดวิด แบรดลีย์ (อ้างถึงในสุเทพ
สุนทรเภสัช 2543) นักมานุษยวิทยาภาษาศาสตร์
ได้พบว่าในบริเวณที่สูงภาคเหนือของประเทศไทย
เราจะพบกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆรวมกันอยู่โดยมีกลุ่มที่มีอิทธิพลครอบงำ
ทางภาษาและวัฒนธรรมกลุ่มหนึ่ง (อาจจะเป็นกลุ่มไทยเหนือหรือไทยกลาง) เป็นศูนย์กลาง
ในแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มย่อยก็จะมีการกำหนดอัตลักษณ์ของตัวเอง
และภายในแต่ละกลุ่มย่อยก็จะมีการแบ่งบูรณาการทางสังคมออกเป็นระดับต่างๆ เช่น สกุล
(Lineage) สกุลวงศ์ (Clans) ชาติสกุล (Tribes) และหน่วยที่อยู่เหนือขึ้นไป
อย่างเช่นประชาชาติ (Nation) เป็นต้น ดังนั้น
ปุถุชนคนหนึ่งก็อาจจะเป็นสมาชิกในแต่ละระดับของระบบลำดับชั้นสังคมที่ซับซ้อน
(Complex Hierarchy) นั้น กล่าวคือ
คนๆหนึ่งอาจจะเป็นสมาชิกของแซ่หรือสกุลหรือสกุลวงศ์หรือชาติกุลหรือแม้แต่ประชาชาติหนึ่งได้ในระยะเวลาและด้วยจุดมุ่งหมายที่แตกต่างกัน
มานุษยวิทยาวัฒนธรรม (Cultural Anthropology):
สาขาวิชานี้เกี่ยวข้องกับการศึกษาวัฒนธรรมของมนุษย์
หรือกล่าวได้ว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมที่ได้รับการเรียนรู้
เพราะสำหรับมนุษย์แล้ว พฤติกรรมทั้งปวงเป็นผลผลิตในทางวัฒนธรรม
นักมานุษยวิทยาวัฒนธรรมให้ความสนใจวัฒนธรรมในสังคมต่างๆทั้งสังคมของผู้คนที่อยู่ห่างไกล
ไม่รู้หนังสือ จนกระทั่งถึงสังคมที่มีความเจริญมาก
อย่างเช่นกรณีศึกษาพฤติกรรมของผู้คนในนิวยอร์ค
วัตถุประสงค์ในการศึกษาวัฒนธรรมในสังคมต่างๆก็คือ
ต้องการหาความเหมือนกันและความแตกต่างของวัฒนธรรมเหล่านั้นไม่ว่าจะเกิดขึ้นที่ไหนก็ตาม
(Spradley and McCurdy 1980 : 1)
ศึกษาพฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้และผลที่เกิดขึ้นจากการเรียนรู้ของมนุษย์
หรือศึกษาวัฒนธรรมของสังคมต่างๆทั่วโลก
โดยทั่วไปมานุษยวิทยาวัฒนธรรมแบ่งกลุ่มการศึกกษาย่อยออกได้เป็น 3 สาขา คือ
ชาติพันธุ์วรรณา (Ethnography) มานุษยวิทยาภาคสังคม (Social Anthropology)
และชาติพันธุ์วิทยา (Ethnology)
» ความเป็นมาของวิชามานุษยวิทยา
» ความหมายและขอบข่ายของวิชามานุษยวิทยา
» สาขาย่อยของวิชามานุษยวิทยาและตัวอย่างงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
» ชาติพันธุ์วิทยาหรือมานุษยวิทยาวัฒนธรรม
» การศึกษามานุษยวิทยาในประเทศไทยและสาขาวิชาอื่นที่เกี่ยวข้อง
» แนวคิดและทฤษฎีทางมานุษยวิทยา