สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ การเมือง เศรษฐศาสตร์ >>

มานุษยวิทยา

ความเป็นมาของวิชามานุษยวิทยา

เนื่องจากมนุษย์ในสังคมต่างมีความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับประวัติความเป็นมา แหล่งกำเนิดของตน และประเพณีที่แตกต่างกันไปในสังคมต่างๆ ประจวบกับความคิดของมนุษย์ ชุมชนหรือสังคมต่างๆมักมีเรื่องราวที่เล่าสืบต่อกันมา บ้างเป็นเรื่องเร้าใจที่ปรากฏอยู่ในนิยายปรัมปรา บ้างเกี่ยวกับแหล่งกำเนิดและอธิบายความแตกต่างในประเพณีต่างๆของมนุษย์ เช่นชนบางกลุ่มเชื่อว่ามนุษย์ถูกสร้างขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วน ในขณะที่นักมานุษยวิทยาพยายามจะบอกว่ามนุษยชาติมีพัฒนาการมาจากสัตว์เซลล์เดียวและมีวิวัฒนาการความเป็นมาอันยาวนานหลายล้านปี แม้แต่นักวิทยาศาสตร์ในสมัยกรีกและโรมันยังมีความรู้ที่เป็นระบบเกี่ยวกับมนุษย์และพฤติกรรมของมนุษย์แต่เพียงเล็กน้อย เช่น Linnaeur เป็นนักธรรมชาติวิทยาในศตวรรษที่ 18 แต่ถูกครอบงำด้วยความเชื่อทางศาสนาคริสต์ ได้รวมเอามนุษย์ป่าในนิยามปรัมปรากับมนุษย์ปัจจุบันเข้าไว้ในประเภทเดียวกัน เขาแยกแยะจัดประเภทสิ่งที่มีชีวิตทั้งหมดที่จัดอยู่ในอาณาจักรสัตว์ แต่นักปรัชญาบางคนในสมัยอารยธรรมโบราณกลับมีความคิดบางอย่างที่เหมือนกับความคิดของนักมานุษยวิทยาในสมัยปัจจุบัน นั่นคือ นักเขียนชาวกรีกบางคนได้เขียนหนังสือประเภทชาติพันธุ์วรรณาไว้อย่างดี โดยนำเสนอเกี่ยวกับชนกลุ่มต่างๆที่รู้จักกันในสมัยนั้น เช่น Herdotus ได้พรรณนาและเปรียบเทียบในวัฒนธรรมอียิปต์ เปอร์เซียและกลุ่มอื่นๆ กับวัฒนธรรมของชาวกรีก, Strabo เขียนพรรณนาเกี่ยวกับผู้นำของอินเดีย ระบบวรรณะและชีวิตด้านอื่นๆของสังคมอินเดีย นอกจากนั่นยังมีนักเขียนชาวกรีกโบราณบางคนที่ชอบเขียนพรรณนาและเปรียบเทียบวัฒนธรรมของสังคมดั้งเดิมกับวัฒนธรรมของตัวเอง เช่นเดียวกับที่นักปรัชญาสังคม เช่น Locke, Rousseau เป็นต้น ชาวกรีกเชื่อตามตำนานว่า พระเจ้าหรือเทพเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้นมาโดยมาตามยุคสมัยดังนี้ ยุคทอง ยุคเงิน ยุคบูชาบรรพบุรุษและยุคเหล็ก แต่นักปรัชญาสมัยโบราณบางคนที่ค่อนข้างเป็นนักวิทยาศาสตร์กลับมีความเห็นตรงกันข้าม เช่น Plato, Aritotle ที่สามารถจับแนวคิดสำคัญของนักมานุษยวิทยาสมัยปัจจุบันได้ โดยมองว่ามนุษย์สมัยแรกๆอาศัยอยู่ในป่า ต่อมาทีละน้อยได้สร้างส่วนต่างๆของอายธรรมขึ้น Aristotle เขียนในหนังสือมีชื่อของของเขาคือ “Politics” ว่ามนุษย์ในตอนแรกอยู่กันเป็นกลุ่มเครือญาติกลุ่มเล็กๆ แล้วต่อมาจึงอยู่รวมกันเป็นหมู่บ้าน เป็นเมือง เขาได้พรรณนาไว้อย่างดียิ่งถือเป็นการพรรณนาข้ามวัฒนธรรมในรุ่นแรกๆเลยทีเดียว

นักปรัชญาชาวกรีกโบราณสนใจ “ค่านิยม” อย่างมาก บางคนได้วิเคราะห์ “ความดีความสวยความงาม” ไว้ นับเป็นการเริ่มต้นศึกษาถึงปัญหาหลายอย่างที่นักมานุษยวิทยาวัฒนธรรมสมัยปัจจุบันกำลังสนใจ คือปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างวัฒนธรรมและบุคลิกภาพ ทางด้านตะวันออกมีนักปราชญ์โบราณของจีนสมัยคลาสสิกคือ “ขงจื้อ” ได้วิเคราะห์ประเพณีจีนและสร้างภาพของสังคมในอุดมคติไว้ แต่นักคิดอีกคนคือ “Moh Tih” และพวกไม่เห็นด้วยกับความคิดขงจื้อ พวกเขาเห็นว่าประเพณีเกิดขึ้นเพื่อทำหน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่งและความหมายของมันจะเข้าใจได้ก็ต่อเมื่อมันสนองความต้องการจำเป็นของมนุษย์ ความคิดดังกล่าวคล้ายกับแนวคิดของทฤษฎี “การหน้าที่นิยม” (Functionalism) ที่ใช้กันอยู่ในทุกวันนี้ นอกจากนี้ Moh Tih ยังพูดถึงวิวัฒนาการของมนุษย์อีกว่า เริ่มจากสัตว์เซลล์เดียวในทะเลต่อมาพัฒนาเป็นสัตว์บกและเป็นมนุษย์ในที่สุด แนวความคิดดับกล่าวคล้ายกับหลักการของ “วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต”

อาณาจักรโรมันซึ่งเจริญมากทางด้านการปกครองและกฎหมาย แต่กลับมีนักปรัชญาน้อย นักคิดชาวโรมันผู้หนึ่งชื่อ Lucretius เขียนหนังสือชื่อ “De Rerum Natura” พรรณนาเรื่องเกี่ยวกับมนุษย์ว่า เมื่อแรกนั้นมนุษย์อยู่ในป่า แล้วต่อมาพัฒนาเป็นชาวเมืองที่เจริญ เขามองมนุษย์ว่าผ่านจากขั้นตอนที่มีเทคโนโลยีทำด้วยหินมาเป็นทำด้วยโลหะ และให้คำอธิบายถึงแหล่งกำเนิดของการใช้ไฟ การทำเสื้อผ้า การเกิดขึ้นของความเชื่อทางศาสนาและส่วนอื่น ๆ ของวัฒนธรรม นับว่ามีแนวคิดหลายอย่างคล้ายความคิดของนักมานุษยวิทยาในสมัยปัจจุบัน นอกจากนี้ เราอาจพบความคิดต่างๆที่เป็นปัญหาทางมานุษยวิทยาในสมัยปัจจุบันได้จากงานเขียนของนักปรัชญาสมัยคลาสสิก จากนิยามปรัมปราของเมโสโปเตเมีย อียิปต์หรือจากคัมภีร์พระเวทย์ของอินเดีย แต่น่าเสียดายที่นักคิดสมัยนั้นไม่สามารถหลุดพ้นไปจากนิยายปรัมปราหรือไสยศาสตร์ไปได้ การศึกษามนุษย์อย่างเป็นอัตวิสัย ดูจะทำได้ง่ายกว่าการศึกษาพฤติกรรมมนุษย์อย่างเป็นวิทยาศาสตร์

แต่แล้วความคิดต่างๆเกี่ยวกับมนุษย์ก็หยุดชะงักเป็นเวลาหลายศตวรรษ เพราะปัญหาการเมืองและการทหาร และอีกส่วนหนึ่งเพราะการเข้าครอบงำของศาสนา ทำให้ความรู้ต่างๆชะงักงันไปในยุโรป แหล่งความรู้ในขณะนั้นมีอยู่ที่อาณาจักรไบแซนติน เปอร์เซีย อารเบียและอาณาจักรของพวกอาหรับอีกหลายแห่ง เมื่อพวกมองโกลถูกขับออกจากเอเซียกลางในศตวรรษที่ 13 ชาวยุโรปที่มีมากกว่าก็สืบทอดมรดกทางความคิดเชิงวิทยาศาสตร์และมนุษยศาสตร์ต่อไป

ต่อมาในสมัยฟื้นฟูศิลปะวิทยา ซึ่งเป็นยุควิทยาศาสตร์และมนุษยศาสตร์สมัยใหม่ ได้มีการฟื้นฟูการศึกษาเกี่ยวกับสมัย “คลาสสิค” อีกครั้ง สมัยนี้มีนักวิชาการมากขึ้น ต่างคนต่างพยายามเพิ่มพูนความรู้ในสาขาต่างๆ เช่น Copericus และ Galileo ค้นหาดวงดาว Leonardo da Vinci และคนอื่นๆสนใจปัญหาเทคโนโลยี และบางคนได้ศึกษาเกี่ยวกับมนุษย์อย่างเลี่ยงไม่พ้น เช่น Vesalins ผ่าตัดร่างกายคน Harvey ศึกษาการหมุนเวียนของกลุ่มเลือด นักวิชาการบางคนของสมัยนี้สร้างวัฒนธรรมและสังคมในอุดมคติขึ้น ขณะเดียวกันการฟื้นฟูการศึกษาแบบคลาสสิกโดยผสมผสานเข้ากับความเชื่อของศาสนาคริสต์ ทำให้มีการศึกษาเน้นไปทางมนุษยศาสตร์มากยิ่งขึ้น

สิ่งที่กระตุ้นทำให้เกิดความสนใจในวิชามานุษยวิทยาเป็นครั้งแรก คือ การสำรวจทางทะเล ทั้งนี้เพราะปวงชนที่มีความแตกต่างกันทั้งทางกายภาพและวัฒนธรรมถูกค้นพบในเวลาเดียวกัน ในทวีป เอเชีย แอฟริกาและที่อื่นๆ แต่นิยามปรัมปราที่พึงเกิดขึ้นหรือเรื่องเล่าของนักผจญภัยเกี่ยวกับดินแดนอันลึกลับและการพรรณนาเกี่ยวกับชนที่ยังล้าหลังว่ามีรูปร่างหน้าตาอันแปลกประหลาดต่างๆนั้นไม่เป็นที่ยอมรับกันต่อไป ในขณะเดียวกันได้มีความพยายามจะศึกษาพฤติกรรมมนุษย์อย่างเป็นวิทยาศาสตร์มากขึ้นในยุคนี้ จากการศึกษาเปรียบเทียบวัฒนธรรมทำให้ชาวตะวันตกหันไปสนใจศึกษาวิถีชีวิตและความคิดของพวกตนเอง ศึกษาเกี่ยวกับชีวิตของอินเดียนแดงเผ่าต่างๆเกือบสมบูรณ์นั้น มีผลทำให้เกิดความเจริญทางวิทยาศาสตร์ธรรมชาติมากยิ่งขึ้น เป็นการแผ้วทางไปสู่การศึกษาปรากฏการณ์ชีวิตอย่างมีระบบที่รวมเอาการศึกษาพฤติกรรมมนุษย์ไว้ด้วย

ในศตวรรษที่ 18 มีการรวบรวมข้อมูลที่เชื่อถือได้เกี่ยวกับชนดั้งเดิมมากขึ้นโดยพวกหมอสอนศาสนา พวกนี้เขียนบันทึกเกี่ยวกับเผ่าอินเดียนแดงในอเมริการเหนือไว้ในศตวรรษที่ 17 นักวิชาการชาวตะวันตกเริ่มจัดข้อมูลเหล่านั้นให้เป็นระบบ การทำเช่นนั้นนำไปสู่การเปรียบเทียบประเพณีที่ต่างกัน และเริ่มสนใจในแหล่งกำเนิดและพัฒนาการทางวัฒนธรรมของสังคมต่างๆ งานส่วนมากมักทำโดยนักปรัชญาสังคม เช่น Hobbes, Locke และ Rousseau ในช่วงต้นๆ ของศตวรรษที่ 19 ได้มีการจัดตั้งสถาบันทางวิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษาชาติพันธุ์วิทยาขึ้นในยุโรปและอเมริกา และเริ่มมีการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ขึ้นตามประเทศต่างๆ มีการจัดแสดงสิ่งของเครื่องใช้และวัฒนธรรมด้านต่างๆขึ้นในพิพิธภัณฑ์ ทำให้ความสนใจในวิชามานุษยวิทยากระจายไปเกือบทุกประเทศในโลกโดยหน่วยของรัฐบาล สถาบันต่างๆ พิพิธภัณฑ์ นักวิชาการรวมไปถึงนักวิชาการประเภทสมัครเล่นด้วย



กลางศตวรรษที่ 18 เริ่มมีการตีพิมพ์วารสารสาขามานุษยวิทยาขึ้น โดยแบ่งประเด็นออกดังนี้คือ เป็นมานุษยวิทยากายภาพ ชาติพันธุ์วิทยาสำหรับผู้สนใจเกี่ยวกับประเพณีที่ต่างกันในสังคมต่างๆ ในส่วนนี้ยังแยกเป็นประเด็นย่อยๆอีก เช่น ศาสนา เศรษฐกิจ การเมือง การจัดระเบียบสังคมและครอบครัว ส่วนอีกสองประเด็นใหญ่คือมานุษยวิทยาภาษาศาสตร์ และโบราณคดี เนื่องจากเพิ่งเป็นที่ยอมรับกันว่าโลกมนุษย์มีประวัติความเป็นมาอันยาวนานราว ค.ศ. 1840 กว่าๆ หลังจากนั้นจึงมีการค้นพบทางโบราณคดีมากขึ้นเรื่อยๆ เช่น พบอนุสาวรีย์หินและเครื่องมือหินหยาบๆ สิ่งของเหล่านี้มักถูกใช้ในการกำหนดอายุของโลกที่ค่อนข้างสั้นมาก Dr. John Lightfoot แห่งมหาวิทยาลัยแคมบริดจ์ (Cambridge) ได้ประกาศในปี ค.ศ. 1654 ว่า โลกกำเนิดขั้นในวันที่ 23 ตุลาคม 4004 ปีก่อนคริสตกาล เวลาประมาณ 9 นาฬิกา ความคิดนี้เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปในสมัยนั้น แต่ปัจจุบันนักธรณีวิทยาและผู้อื่นระลึกได้แล้วว่าโลกเก่าแก่กว่านั้นมาก ต่อรัฐบาลเดนมาร์กได้สนับสนุนให้มีการขุดค้นในปี ค.ศ. 1836 และได้แบ่งของที่ขุดค้นได้ออกเป็น 3 ยุคหรือสมัย คือยุดหิน ยุคโลหะ และยุคเหล็ก

ความแห้งแล้งระว่าง ค.ศ. 1853-1854 ทำให้น้ำในทะเลสาบประเทศสวิสเซอร์แลนด์ลดลงจนกระทั่งเผยให้เห็นร่องรอยของหมู่บ้านทะเลสาปสมัยหินใหม่ เมื่อนักมานุษยวิทยาตรวจสอบเครื่องมือสมัยหินเก่าและซากเหลือของพืชและสัตว์ ทำให้นักมานุษยวิทยากล้าที่จะประกาศว่าโลกและมนุษย์กำเนิดมากกว่าล้านหรือสองล้านปีมาแล้วเป็นอย่างน้อย

ต่อมาในศตวรรษที่ 19 นักวิชาการที่ศึกษาสังคมและวัฒนธรรมเริ่มให้ความสนใจในทฤษฎีวิวัฒนาการทางชีวะของสิ่งมีชีวิต จึงนำมาประยุกต์ใช้ศึกษาวิวัฒนาการทางวัฒนธรรม นักวิชาการเหล่านี้สร้างทฤษฎีจากความคิดที่มีมาก่อนโดยใช้ข้อมูลเกี่ยวกับชนดั้งเดิม เพื่ออธิบายความก้าวหน้าของมนุษยชาติ จากสภาพที่ล้าหลังป่าเถื่อนกลายมาเป็นผู้ที่ได้รับการศึกษาอย่างดีชาวยุโรป โดยมีข้อสมมติฐานว่าพฤติกรรมของชาวยุโรปในศตวรรษที่ 19 เป็นตัวแทนพัฒนาการสูงสุดของมนุษย์ ดังนั้นประเพณีที่ต่างไปจากชาวยุโรปจึงกลายเป็นตัวแทนของสิ่งที่เหลืออยู่จากสมัยก่อนคือของสังคมอนารยธรรม (Barbarism) และถ้าไกลไปจากพวกนี้จะเป็นพวกสังคมนรปศุธรรม (Savagery) ความพยายามที่จะเปรียบเทียบวัฒนธรรมในระดับต่างๆกัน และการใช้เรื่องราวของความก้าวหน้าและความแตกต่างกันของวัฒนธรรมทั่วโลก ถูกปฏิเสธอย่างสิ้นเชิงโดยนักมานุษยวิทยาของศตวรรษที่ 20 อย่างไรก็ตามยังคงมีนักวิชาการบางคนยังใช้แนวคิดนี้อยู่บ้างในปัจจุบัน

วิชามานุษยวิทยาพัฒนามากที่สุดในประเทศอเมริกาในปัจจุบัน โดยเฉพาะสาขาย่อยที่เรียกว่า “มานุษยวิทยาประยุกต์” ได้มีการนำเอาความรู้ทางมานุษยวิทยาไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ทางสังคมต่างๆ เพื่อทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชากรในอเมริกาดีขึ้น โดยเฉพาะพวกชนกลุ่มน้อยกลุ่มต่างๆในอเมริกา เป็นที่น่าเสียดายว่าวิชามานุษยวิทยาในประเทศที่กำลังพัฒนาอย่างเช่นกรณีของประเทศไทยเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้นเอง ฉะนั้นการจะนำความรู้ทางมานุษยวิทยาไปประยุกต์ใช้ต้องอาศัยกาลเวลาเข้าไปช่วยอย่างมาก

» ความเป็นมาของวิชามานุษยวิทยา

» ความหมายและขอบข่ายของวิชามานุษยวิทยา

» สาขาย่อยของวิชามานุษยวิทยาและตัวอย่างงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

» ชาติพันธุ์วรรณา

» มานุษยวิทยาภาคสังคม

» ชาติพันธุ์วิทยาหรือมานุษยวิทยาวัฒนธรรม

» การศึกษามานุษยวิทยาในประเทศไทยและสาขาวิชาอื่นที่เกี่ยวข้อง

» ประโยชน์ของวิชามานุษยวิทยา

» แนวคิดและทฤษฎีทางมานุษยวิทยา

» การเปลี่ยนแปลงของแนวทฤษฎีที่ศึกษาวัฒนธรรมแบบองค์รวมฯ

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย