ปรัชญา อภิปรัชญา ญาณวิทยา จิตวิทยา ตรรกศาสตร์ >>
วาทะคานธี
ข้อคิดของมหาตม คานธี มหาบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ต่อสู้เพื่อเอกราชของอินเดียด้วยวิธีอหิงสา ในวาระ และโอกาสต่างๆที่สะท้อนถึงความรู้สึกนึกคิดที่มีต่อสภาพความเป็นอยู่ของคนทั้งในแบบแสวงหาความสุขที่แท้จริงเฉพาะตนและต่อสังคมเป็นส่วนรวม ด้วยแนวคิดของท่านที่ทันสมัย กว้างไกล รอบด้าน สามารถปรับใช้เป็นแนวทางการดำเนินชีวิตของคนและเพื่อความดำรงอยู่ของสังคมโดยรวมอย่างมีความสุขที่แท้จริงและยั่งยืนได้แม้กระทั่งปัจจุบัน
การมองเห็นสุขเป็นสุขนั้นแหละทุกข์ ความสุขที่แท้จริงเกิดจากความทุกข์ ตัวเราเองเป็นต้นเหตุแห่งความสุขและความทุกข์ของเราเอง นี่คือวาทะของท่านมหาตม คานธี
ท่านมหาตม คานธี กล่าวว่า
ตราบใดที่แม้แต่มนุษย์คนเดียว ต้องหิวโหย เพราะไม่มีงานทำ
ตราบนั้นเราจะรับประทานอาหารอย่างมีความสุขได้อย่างไร
จะไปเหยียดหยามคนที่ไม่มีเสื้อผ้าจะใส่ด้วยการให้เสื้อผ้าแก่เขาทำไม จงให้ งานเขาทำ
เพื่อที่เขาจะได้หาเงินมาซื้อเสื้อผ้าด้วยหยาดเหงื่อของเขาเอง
เป็นการบาปที่จะหาอาหารให้คนที่มีแรงทำงานได้กินฟรีหางานให้เขาทำสิ
ได้ชื่อว่าเป็นบุญ
ในหนังสือเล่มนี้ แสดงให้เห็นว่าท่านมหาตม คานธีเป็นคนมีจิตใจกว้าง
ไม่ลุ่มหลงอยู่แต่ศาสนาของตนเองศาสนาเดียวแล้วปฏิเสธคำสอนดีๆ ในศาสนาอื่น
ท่านได้กล่าวว่า
ความจริงนั้นก็มีมากเท่าๆกับมีคนเหมือนกัน
แต่เมื่อเข้าถึงแก่นของศาสนาแล้วเราจะพบว่า ศาสนามีหนึ่งเท่านั้นเองท่านมหาตม
จึงชอบหยิบยกคำสอนดีๆในศาสนาอื่นมาอ้างด้วยความคาระวะเสมอ อย่างเช่น
เราไม่ควรจะสร้างความพอใจให้แก่กิเลสตัณหา
เมื่อใดที่ได้ลงมือสร้างความพอใจให้แก่กิเลสตัณหาแล้วเมื่อนั้นก็เป็นการยากที่จะเหนี่ยวรั้งกิเลสตัณหาไว้ได้โดยทั่วไปแล้วเรามักจะเหนี่ยวรั้ง
(กิเลสตัณหา)ไว้ไม่ได้เลย
หรือที่ว่า
ศาสนามิใช่สิ่งซึ่งแยกอยู่ต่างหากจากชีวิตชีวิตนั่นแหละคือศาสนา
ชีวิตที่ไม่มีศาสนาหาใช่ชีวิตของคนไม่หากเป็นชีวิตของเดรัจฉาน หรือว่า
นายจัมเชศ เมหตา ได้ส่งบทสวดมนต์ของนักบุญแห่งฟรานซิสแห่งอัสสิสิ
มาให้ข้าพเจ้า บทสวดนั้นมีความตอนหนึ่งว่า... ข้าแต่พระอาจารย์
ด้วยการให้เท่านั้นที่เราจะได้รับและด้วยการตายเท่านั้นที่เราจะได้ไปเกิดในชีวิตอันนิรันดร์
หรือที่ว่า
ในยามที่เกิดความผันผวนขึ้นในอารมณ์ เช่นนี้ก็ขอให้เราระลึกไว้เสมอว่า
การกระทบกันระหว่างอินทรีย์กับวัตถุซื่งก่อให้เกิดอารมณ์นั้น เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
ไม่จีรังยั่งยืนเพราะฉะนั้นจงตั้งตนอยู่ในอุเบกขาธรรมเถิด
นอกจากนี้หนังสือเล่มนี้ยังได้สะท้อนถึงแนวคิดของท่านมหาตมา คานธี
ว่าท่านได้ให้ความสำคัญต่อความจริง หรือความสัตย์ โดยท่านได้กล่าวว่า
ตราบใดที่เรายังไม่เป็นอิสระจากความเคยชินที่ไม่ดี
ตราบนั้นเราจะก้าวไปบนมรรคาแห่งความจริงไม่ได้
อันที่จริงแล้วเราต้องเสียสละทุกอย่างไว้บนแท่นบูชาแห่งความจริงเราไม่ต้องการแสดงตัวเราออกมาให้ปรากฎตามความเป็นจริง
แต่เราต้องการจะแสดงว่าตัวเราดีกว่านั้นมาก
จะเป็นการดีสักเพียงใดถ้าหากเราต่ำต้อยแต่ถ้าเราต้องการจะขึ้นสูงเราก็ควรจะคิดและกระทำในระดับที่สูง
หากทำเช่นนี้ไม่ได้เราก็ควรแสดงตัวของเราตามความเป็นจริง
แล้วสักวันหนึ่งเราอาจจะบรรลุเป้าหมายอันสูงส่งได้สมความปรารถนา
หรืออีกวาทะหนึ่งว่า
พระเป็นเจ้านั้นมีพระนามอยู่มากมาย แต่จะให้เลือกสักพระนามหนึ่งก็เห็นจะได้แก่
สัตย์ คือความจริง ดังนั้น ความจริงก็คือ พระเป็นเจ้านั่นเอง
ในด้านปรัชญาหรือแนวทางการครองตนหรือการดำรงตนในสังคมหรือการปฏิบัติงานอย่างมีสติท่านได้มีวาทะว่า
การเกิดและการตายมิใช่เป็นทั้งสองด้านของเหรียญอันเดียวกันดอกหรือ
ด้านหนึ่งคือการเกิดและอีกด้านหนึ่งคือการตายเพราะฉะนั้นจะไปทุกข์หรือสุขทำไมกับการจะตายหรือจะเกิด
ผู้ที่สามารถควบคุมตนเองหรือที่ทำงานได้มากที่สุด มักจะเป็นผู้ที่พูดน้อยที่สุด
การพูดกับการกระทำมักจะไม่ไปด้วยกัน จงดูธรรมชาติเถิด ธรรมชาติทำงานอยู่ตลอดเวลา
ไม่หยุดเลยแม้สักชั่วขณะหนึ่ง แต่ธรรมชาติก็ไม่พูดเลย
อหังการย่อมทำลายมนุษย์โดยสิ้นเชิง ความจริงข้อนี้ทุกคนตระหนักได้ทุกขณะ ตรงกันข้าม
ความอ่อนน้อมถ่อมตนช่วยให้มนุษย์เจริญเติบโตและบรรลุความสมบูรณ์เสมอ
คิดดีเป็นเรื่องหนึ่ง แต่กระทำดีเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เรื่องสำคัญแต่ถ้าอยู่นอกประเด็น ก็หมดความสำคัญไป เรื่องที่อยู่ในประเด็น
แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ก็มีความสำคัญมาก
คนอื่นเท่านั้นดอกที่จะมองเห็นหลังของเราได้ ตัวเราเองย่อมมองไม่เห็น ฉันใด
ความผิดของเราเอง เราก็ย่อมมองไม่เห็น ฉันนั้น
ถ้าเรามัวแต่คิดถึงความมากมายใหญ่โตของการงาน เราจะเกิดความสับสนและทำอะไรไม่ได้เลย
ตรงกันข้าม หากเราจับงานขึ้นมาทำทันที แม้ใหญ่เท่าภูเขา งานก็จะค่อยลดน้อยลงทุกวันๆ
แล้วในที่สุดก็สำเร็จลงได้
และที่สำคัญมหาตม คานธี ได้กล่าวถึงบาป 7 ประการในทรรศนะของท่านคือ
- เล่นการเมืองโดยไม่มีหลักการ
- หาความสำราญโดยไม่ยั้งคิด
- ร่ำรวยเป็นอกนิษฐ์โดยไม่ต้องทำงาน
- มีความรู้มหาศาลแต่ความประพฤติไม่ดี
- ค้าขายโดยไม่มีหลักศีลหลักธรรม
- วิทยาศาสตร์เลิศล้ำแต่ไม่มีธรรมแห่งมนุษย์
- บูชาสูงสุดแต่ไม่มีความเสียสละ
ท่านมหาตมะยังให้ทรรศนะเกี่ยวกับการใช้ชีวิตและการเรียนรู้ว่า
ใช้ชีวิตให้เสมือนว่าพรุ่งนี้ท่านจะไม่มีชีวิตอยู่แล้ว
เรียนรู้ให้เสมือนว่าท่านจะอยู่ในโลกนี้ตลอดไปไม่มีวันสิ้นสุด
ซึ่งมีค่าสำหรับการดำรงชีวิตและใช้เวลาเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิตโดยสอดคล้องกับแนวทางปัจจุบันในเรื่ององค์กรแห่งการเรียนรู้
สามารถนำมาเป็นแบบอย่างการใช้ชีวิตอย่างมีสาระได้เป็นอย่างดี วาทะ คำคมแง่คิด ที่หยิบยกมาเป็นเพียงบางส่วนที่ผู้สรุปมีความเห็นว่าน่าจะเป็นตัวอย่างแกผู้ที่สนใจ
- จากหนังสือ : วาทะคานธี โดยกรุณา-เรืองอุไร กุศลาสัย
- สรุปเนื้อหาโดย : สิบตำรวจตรีอุดมศักดิ์ กาญจนหิรัญ นักวิชาการพัฒนาชุมชนชำนาญการศูนย์ศึกษาและพัฒนาชุมชน นครศรีธรรมราช สถาบันการพัฒนาชุมชน กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย
ขอได้รับการคารวะ