ปรัชญา อภิปรัชญา ญาณวิทยา จิตวิทยา ตรรกศาสตร์ >>
ตำราพิชัยสงคราม ซุนวู
อธิคม สวัสดิญาณ และ อดุลย์ รัตนมั่นเกษม แปล
บทที่ 11 พื้นที่เก้าลักษณะ
ซุนวูกล่าวว่า อันหลักการทำศึกนั้น ได้แบ่งพื้นที่ยุทธศาสตร์ทางทหารออกเป็นเก้าลักษณะคือ
- พื้นที่ขวัญเสีย
- พื้นที่หนีง่าย
- พื้นที่แย่งชิง
- พื้นที่สะดวก
- พื้นที่แห่งไมตรี
- พื้นที่แห่งความเป็นความตาย
- พื้นที่ทุรวิบาก
- พื้นที่อ้อมล้อม
- พื้นที่มรณะ
- ข้าศึกบุกเข้ามารบในดินแดนฝ่ายเรา ทหารฝ่ายเราจึงขวัญเสียรับศึกอย่างฉุกละหุก พื้นที่เช่นนี้เรียกว่า พื้นที่ขวัญเสีย
- ฝ่ายเราบุกเข้าไปรบในดินแดนของข้าศึก แต่ยังบุกเข้าไปไม่ลึกนัก พื้นที่เช่นนี้เรียกว่าพื้นที่หนีง่าย
- พื้นที่ที่ฝ่ายเรายึดได้แล้ว จะครองความได้เปรียบ และถ้าฝ่ายข้าศึกยึดได้ ข้าศึกก็จะครองความได้เปรียบเช่นกัน พื้นที่เช่นนี้เรียกว่า พื้นที่แย่งชิง
- พื้นที่ที่ฝ่ายเราเข้าไปได้สะดวก และฝ่ายข้าศึกก็เข้าไปได้สะดวกเช่นกัน พื้นที่เช่นนี้เรียกว่าพื้นที่สะดวก
- พื้นที่ที่เป็นเขตแดนของหลายประเทศ ซึ่งฝ่ายใดยึดไว้ได้ก่อน ย่อมจะมีโอกาสได้เจริญไมตรีกับประเทศที่อยู่รายรอบก่อน พื้นที่เช่นนี้เรียกว่า พื้นที่แห่งไมตรี
- ดินแดนของข้าศึกที่ฝ่ายเราบุกยึดได้ โดยบุกฝ่ามาแล้วหลายเมือง พื้นที่เช่นนี้เรียกว่า พื้นที่แห่งความเป็นความตาย
- พื้นที่ทีเป็นโขดเขา พงไพร เป็นทางทุรวิบาก และเป็นห้วยหนองคลองบึง ซึ่งยากต่อการเดินทัพยิ่ง พื้นที่เช่นนี้เรียกว่าพื้นที่ทุรวิบาก
- พื้นที่ที่มีปากทางแคบ มีเส้นทางถอยไกลและอ้อมล้อมวกวน ข้าศึกสามารถใช้กำลังน้อยกว่าตีฝ่ายเราแพ้พ่ายได้ง่าย พื้นที่เช่นนี้เรียกว่า พื้นที่อ้อมล้อม
- พื้นที่ฝ่ายเราจะต้องรีบเผด็จศึกโดยเร็ว หาไม่แล้วฝ่ายเราจะพ่ายแพ้ย่อยยับ พื้นที่เช่นนี้เรียกว่า พื้นที่มรณะ
เพราะฉะนั้น
- ถ้าอยู่ในพื้นที่ขวัญเสีย ก็ไม่ควรรบแตกหักโดยเร็ว
- ถ้าอยู่ในพื้นที่หนีง่าย จงอย่าได้หยุดทัพ ควรมุ่งหน้าเดินทัพต่อไป
- ถ้าพบพื้นที่ที่ต้องแย่งชิง และถูกข้าศึกยึดไว้ก่อนแล้ว ก็อย่าได้บุ่มบ่ามบุกเข้าตี
- ถ้าพบพื้นที่ที่ทุกฝ่ายไปมาสะดวก ให้ยึดไว้ก่อน และวางกำลังทหารต่อเนื่องกัน อย่าให้ขาดการติดต่อกับกองหลัง
- ถ้าอยู่ในพื้นที่ที่เป็นเขตแดนของหลายประเทศ ก็ควรเจริญไมตรีกับประเทศเหล่านั้นไว้ก่อน
- ถ้าถลำลึกเข้าไปในดินแดนข้าศึก ก็ต้องออกปล้นสะสมหาเสบียงเอาไว้
- ถ้าอยู่ในพื้นที่ทุรวิบาก ควรรีบเดินทัพออกไปให้พ้นจากพื้นที่นั้นโดยเร็ว
- ถ้าตกอยู่ในพื้นที่อ้อมล้อม ข้าศึกเข้าตีได้ง่าย ก็ควรวางแผนหาทางออกไปให้ได้
- ถ้าเข้าไปอยู่ในพื้นที่มรณะ ก็ต้องสู้ตายเพื่อเอาตัวรอดให้ได้
นักการทหารผู้เชี่ยวชาญการศึกสงครามในสมัยโบราณ ย่อมสามารทำให้ทัพหน้าและทัพหลังของข้าศึกไม่อาจหนุนเนื่องช่วยเหลือกันได้ด้วยต้องห่วงหน้าพะวงหลัง หน่วยกำลังหลักกับหน่วยกำลังย่อยต่างคนต่างรบ นายทหารและพลทหารต่างไม่ช่วยเหลือกันและกัน หน่วยเหนือและหน่วยในสังกัดขาดการติดต่อประสานงานกัน พวกทหารแตกกระสานซ่านเซ็นไม่เป็นส่ำ และแม้จะรวมพลไม่เป็นขบวนแถว
ในสภาพการณ์เช่นนี้ หากเห็นว่าฝ่ายเราได้เปรียบก็ให้ เข้าตีได้ แต่ถ้าฝ่ายเราไม่ได้เปรียบ ก็จงหยุดไว้อย่าได้เข้าตี หากตั้งคำถามว่า ถ้าข้าศึกมีกำลังพลที่พร้อมเพรียงและเหนือกว่าบุกเข้าตีฝ่ายเรา จะทำอย่างไรดี? คำตอบก็คือ จงตีจุดที่ข้าศึกได้เปรียบที่สุดก่อน ก็จักสามารถเข้าควบคุมข้าศึกได้ การทำสงครามสำคัญที่ต้องรุกรบได้รวดเร็วฉับไว ฉกฉวยโอกาสที่ข้าศึกรับมือไม่ทัน บุกตีจุดที่ข้าศึกไม่ได้เตรียมพร้อมป้องกันโดยใช้เส้นทางที่ข้าศึกคาดการณ์ไม่ถึง
การบุกตีดินแดนของข้าศึกนั้น มีหลักอันพึงตระหนักคือ ยิ่งสามารถบุกลึกเข้าไปในดินแดนของข้าศึกได้มากเท่าไร ทหารก็จะยิ่งมีขวัญสู้รบมากขึ้นเท่านั้น และข้าศึกก็จะยิ่งไม่สามารถรบชนะฝ่ายเราได้ พึงชิงเอาเสบียงข้าวจากพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ของข้าศึก ให้ทหารทั้งกองทัพมีเสบียงกินอย่างเพียงพอ พึงให้ทหารได้พักผ่อนเอาแรง อย่าให้พวกเขาเหนื่อยล้าเกินไป พึงบำรุงขวัญทหารให้ดีขึ้นและถนอมกำลังไว้ พึงจัดวางกำลังให้เข้มแข็ง วางแผนให้แยบยลเพื่อว่าข้าศึกจะไม่สามารถคาดเดาจุดประสงค์ของฝ่ายเราได้ จงวางกำลังทหารไว้ในที่ที่ไม่มีทางถอยหนี ทหารย่อมจะสู้ไม่ยอมถอยแม้จะต้องตายก็ตาม ในเมื่อทหารยอมตายไม่ยอมถอยเช่นนี้แล้ว จะไม่สู้จนขาดใจดิ้นได้อย่างไรเล่า
ทั้งนี้เพราะเมื่อทหารอยู่ในภาวะคับขันอันตรายจะไม่เกิดความหวาดกลัว เมื่อพวกเขาไม่มีทางไป ก็ย่อมจะมีขวัญสู้รบดี และเมื่อบุกลึกเข้าไปในดินแดนของข้าศึก ทหารทั้งกองทัพย่อมจะไม่แตกกระสานซ่านเซ็น และจะยืนหยัดต่อสู้อย่างเด็ดเดี่ยวเมื่ออยู่ในภาวะที่จำเป็น
ด้วยเหตุนี้ กองทัพที่อยู่ในภาวะเช่นนี้จึงสามารถระมัดระวังได้โดยไม่จำเป็นต้องปับปรุง สามารถบรรลุภาระหน้าที่ได้โดยไม่ต้องบังคับกะเกณฑ์ รักใคร่กลมเกลียวสนิทสนมกันดีโดยไม่จำเป็นต้องปรับปรุง สามารถบรรลุภาระหน้าที่ได้โดยไม่จำเป็นต้องบังคับกะเกณฑ์ รักใคร่กลมเกลียวสนิทสนมกันดีโดยไม่จำเป็นต้อง บังคับฝืนใจ รักษาระเบียบวินัยได้ดีโดยไม่จำเป็นต้องสั่งกำชับ เราพึงขจัดความเชื่อถืองมงาย และความสงสัยกังขาของทหารให้หมดไป
เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเขา ก็ย่อมต้องสู้ตายไม่ถอยหนี ทหารของเราไม่ได้มีเงินทองเหลือเฟือ แต่ก็มิได้หมายความว่าจะไม่ชอบเงินทอง และทหารเราก็ไม่รักตัวกลัวตาย แต่ก็มิได้หมายความว่าจะไม่อยากมีชีวิตยืนยาว เมื่อมีคำสั่งให้ทหารออกรบ พวกทหารที่บาดเจ็บจะนั่งเสียใจจนน้ำตาไหลเปียกชุ่มเสื้อ และพวกทหารที่ล้มป่วยก็น้ำตานองหน้า ด้วยความเสียใจที่ไม่อาจออกไปรบเคียงบ่าเคียงไหลกับเพื่อนทหารได้ ทหารเช่นนี้หากนำไปไว้ในที่ที่ไม่มีทางไป ก็จะกล้าหาญเฉกเช่นจวนจู 1 และ เฉากุ้ย 2 แม่ทัพผู้ซึ่งปกครองและนำกองทัพได้เก่ง จะสามารถทำให้กองทัพเปรียบประดุจดังอสรพิษ ส้วยหยาน ส้วยหยาน เป็นงูพิษชนิดหนึ่งที่อยู่ที่เขาฉางซาน งูพิษชนิดนี้เมื่อถูกตีที่หัว จะตวัดหางมาช่วย เมื่อถูกตีที่หาง ก็จะหันหัวมาช่วยแว้งกัด และหากถูกตีกลางตัว หัวหางก็จะเข้ามาช่วยพร้อมกัน
ถ้าหากจะถามว่า เราจะสามารถทำกองทัพให้เป็นเสมือนงูพิษส้วยหยานได้หรือไม่? ก็จะตอบว่า ได้ เฉกเช่นชาวอู๋กับชาวเย่ที่เป็นอริกัน แต่ถ้าให้พวกเขาลงเรือลำเดียวกัน พวกเขาก็จะช่วยเหลือกันดุจแขนซ้ายและแขนขวา ฉะนั้นการที่คิดจะผูกบังเหียนม้าไว้ติดกันและฝังล้อรถข้าศึกให้จมดินเพื่อสร้างขวัญให้ทหารเห็นถึงความปักใจที่จะสู้ตาย คงหวังผลอะไรไม่ได้ การที่จะให้ทหารทั้งกองทัพร่วมแรงร่วมใจกันต่อสู้กับข้าศึกอย่างกล้าหาญดุจคนๆ เดียวกันนั้นย่อมขึ้นอยู่กับการปกครองและนำกองทัพอย่างถูกต้องของแม่ทัพเป็นสำคัญ
การที่จะให้ทหารที่อ่อนแอและทหารที่เข้มแข็งสามารถรบได้เต็มความสามารถ ก็ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมในการใช้ลักษณะภูมิประเทศให้เกิดประโยชน์เป็นสำคัญ ดังนั้น แม่ทัพที่เก่งย่อมจะสามารถทำให้ทหารทั้งกองทัพร่วมมือกันได้ดุจคน ๆ เดียวกัน และที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะผู้เป็นแม่ทัพได้สร้างสถานการณ์ขึ้นมาบังคับให้ทหารต้องทำเช่นนั้น การดูแลรับผิดชอบงานด้านการทหารจะต้องใคร่ครวญถึงแผนการต่าง ๆด้วยความสุขุมคุมภีรภาพและลุ่มลึก ปกครองกองทัพให้มีระเบียบวินัยดี ต้องสามารถปกปิดไม่ให้ทหารล่วงรู้การวางแผนและความเคลื่อนไหวทางทหารได้เลยแม้แต่น้อย สับเปลี่ยนกำลังทหารและปรับเปลี่ยนแผนการเดิม ไม่ให้ผู้ใดรู้เท่าทันกลอุบาย คอยโยกย้ายเปลี่ยนที่มั่นทางทหารและจงใจเดินทัพวกไปวนมาอยู่เสมอ ไม่ให้ผู้ใดคาดเดาเจตนาได้
เมื่อแม่ทัพมอบหมายภาระหน้าที่ให้เหล่าทหารไปแล้ว ต้องตัดเส้นทางถอยของพวกเขาจะได้บุกขึ้นหน้าไป และเมื่อแม่ทัพสั่งให้เหล่าทหารบุกลึกเข้าไปในดินแดนของข้าศึก ทหารพวกนี้จะเหมือนลูกธนูที่ถูกยิงออกไป คือต้องมุ่งไปข้างหน้าอย่างเดียวเท่านั้น การควบคุมทหารเหมือนการต้อนฝูงแกะ จะต้อนไปทางไหนก็ได้ แต่พวกเขาจะไม่รู้ว่าต้องไปทางไหน การชุมนุมพลทั้งกองทัพไว้ในพื้นที่ซึ่งเต็มไปด้วนอันตราย คือภาระหน้าที่สำคัญในการนำกองทัพของแม่ทัพ
ดังนั้น เรื่องความแตกต่างกันของพิ้นที่ทั้งเก้าลักษณะความได้เปรียบเสียเปรียบในอันที่จะรุกหรือถอย และภาวะจิตใจของทหารทุกคน ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่ผู้เป็นแม่ทัพจะต้องศึกษาและพิจารณาใคร่ครวญให้ละเอียดรอบคอบอย่างจริงจัง
กฎของการทำสงครามที่เราเป็นฝ่ายบุกคือ ยิ่งบุกเข้าไปในดินแดนของข้าศึกได้ลึกมากเท่าไร ทหารก็จะยิ่งมีขวัญและกำลังใจหนักแน่นมากขึ้นเท่านั้น
- ถ้าบุกอยู่แค่ชายแดนของข้าศึก ทหารก็จะมีจิตใจไม่แน่วแน่และขวัญกระเจิงได้ง่าย สมรภูมิที่ฝ่ายเราต้องยกทัพอกจากดินแดนตน บุกเข้าไปรบในดินแดนของข้าศึกเรียกว่า พื้นที่อับจน
- พื้นที่ที่มีเขตแดนติดหลายประเทศเรียกว่า พื้นที่แห่งไมตรี พื้นที่ที่อยู่ลึกเข้าไปในดินแดนของข้าศึกไม่มากนัก เรียกว่าพื้นที่หนีง่าย
- พื้นที่ที่ด้านหน้ามีผาสูงชันแข็งแรง ด้านหลังเป็นฉากแคบวิบาก เรียกว่า พื้นที่อ้อมล้อม
- พื้นที่ไม่มีทางออก เรียกว่าพื้นที่มรณะ
ด้วยเหตุนี้
- ถ้าอยู่ในพื้นที่ขวัญเสีย ต้องรวมใจทหารให้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
- ถ้าอยู่ในพื้นที่หนีง่าย จะต้องให้ค่ายต่าง ๆสามารถติดต่อกันได้อย่างใกล้ชิด
- ถ้าอยู่ในพื้นที่ที่ต้องแย่งชิง ต้องให้กองหลังเร่งตามติดมาอย่างรวดเร็ว
- ถ้าพบพื้นที่ที่ทุกฝ่ายไปมาได้สะดวก จะต้องคอยเฝ้ารักษาการณ์อย่างระมัดระวัง
- ถ้าอยู่ในพื้นที่ที่เป็นเขตแดนของหลายประทศ จะต้องกระชับสัมพันธไมตรีกับประเทศที่อยู่รอบข้างให้ดี
- ถ้าถลำลึกเข้าไปในดินแดนข้าศึก ซึ่งเป็นพื้นที่แห่งความเป็นความตาย ก็ต้องหาเสบียงให้เพียงพอ
- ถ้าอยู่ในพื้นที่ทุรวิบาก จะต้องรีบเดินผ่านไปโดยเร็วไว
- ถ้าตกอยู่ในพื้นที่อ้อมล้อม ต้องวางกำลังปิดปากทางเข้าออกไว้
- ถ้าเข้าไปอยู่ในพื้นที่มรณะ ก็ต้องแสดงให้ทหารเห็นว่ายอมตัดสินใจสู้ตาย ยอมพลีชีพโดยไม่หวั่นไหว
ดังนั้น โดยวิสัยของความเป็นทหาร เมื่อถูกล้อม ก็จะพยายามต่อสู้ต้านทานข้าศึกจนสุดความสามารถ เมื่อถูกสถานการณ์อันเลวร้ายคับขันบีบบังคับ ก็จะสู้อย่างสุดใจขาดดิ้น และเมื่อถลำลึกอยู่ในอันตราย ก็จะยอมเชื่อฟังคำสั่งแต่โดยดี ถ้าเราไม่เข้าใจความเคลื่อนไหวทางยุทธศาสตร์ของประเทศต่าง ๆ ก็จงอย่าผูกมิตรกับประเทศนั้น ๆก่อน
ถ้าเราไม่คุ้นเคยชำนาญภูมิประเทศที่เป็นป่าเขาพงไพร ห้วยหนองคลองบึง ก็จงอย่าเดินทัพไปทางนั้น ถ้าเราไม่ใช้คนท้องถิ่นนำทาง เราก็ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากลักษณะภูมิประเทศนั้น ๆ ได้หากผู้เป็นแม่ทัพไม่เข้าใจข้อใดข้อหนึ่งนี้ ก็ไม่อาจสร้างกองทัพให้เป็นกองทัพของมหาราชาได้ อันกองทัพที่เกรียงไกรของมหาราชานั้น หากยกเข้าตีประเทศใหญ่ จะสามารถทำให้ข้าศึกระดมพลกันไม่ติดและรับมือไม่ทัน และเมื่อใช้แสนยานุภาพข่มขวัญข้าศึก จะสามารถทำให้มิตรประเทศของข้าศึกไม่กล้าปฏิบัติตามพันธะกรณีที่มีต่อกัน
ฉะนั้น จึงไม่จำเป็นต้องแย่งผูกมิตรกับประเทศต่าง ๆ และไม่จำเป็นต้องสร้างสมอิทธิพลของตนในประเทศต่าง ๆ ด้วย ขอเพียงเราเผยจุดประสงค์ทางยุทธศาสตร์ของตน และสำแดงแสนยานุภาพให้ข้าศึกได้ประจักษ์ ก็สามารถยึดเมืองและครอบครองประเทศของข้าศึกได้ และถ้าเราปูนบำเหน็จให้ทหารได้มากกว่าที่กำหนดไว้ในระเบียบ และออกคำสั่งได้เฉียบขาดกว่าปกติ ก็จะสามารถบังคับบัญชาทหารทั้งกองทัพได้ง่ายเหมือนสั่งคนๆ เดียว การมอบหมายภารกิจสู้รบให้ทหารไปปฏิบัตินั้น ไม่ควรบอกจุดประสงค์ให้รู้ และการมอบหมายภาระหน้าที่ที่เสี่ยงอันตรายให้ทหารไปปฏิบัติ ก็ไม่ควรบอกให้รู้ถึงความได้เปรียบ อันวิสัยทหารนั้น เมื่ออยู่ในที่อันตราย ย่อมจะพลิกผันเหตุร้ายให้กลายเป็นดี และเมื่อตกอยู่ในพื้นที่มรณะ ก็ย่อมจะสู้ยิบตาเพื่อเอาตัวรอด กองทัพซึ่งตกอยู่ในที่ที่เต็มไปด้วยอันตราย ย่อมจะประสบชัยชนะได้ในภายหลัง ดังนั้นการทำสงคราม จึงสำคัญที่ต้องใคร่ครวญจุดประสงค์ของข้าศึกด้วยความสุขุมรอบคอบ รวบรวมกำลังทหารไปไว้ในทิศทางหลักที่จะเข้าตี บุกตะลุยเข้าตีข้าศึกสังหารแม่ทัพของข้าศึก แม้ในระยะทางไกลนับพันลี้ นี่คือการพลิกแพลงใช้กำลังทหารให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่จะพิชิตข้าศึกให้ได้ เพราะฉะนั้น เมื่อถึงเวลาที่จะต้องสู้รบให้ถึงขั้นแตกหัก ก็ต้องสั่งปิดพรมแดน ยกเลิกการใช้หนังสือเดินทาง ไม่อนุญาตให้ทูตฝ่านข้าศึกมาติดต่อวางแผนลับในศาลบรรพชนเพื่อกำหนดนโยบายทางยุทธศาสตร์
เมื่อใดที่ข้าศึกเปิดช่องโหว่ให้ จะต้องรีบฉวยโอกาสบุกทะลวงตีเข้าไปโดยฉับพลัน ต้องเข้ายึดจุดยุทธศาสตร์สำคัญก่อน แต่อย่ากำหนดวันเผด็จศึกง่าย ๆ ต้องคอยพลิกแพลงปรับเปลี่ยนความเคลื่อนไหวของฝ่ายตนไปตามสภาพการณ์ของข้าศึกที่เปลี่ยนไป
ด้วยเหตุนี้ ก่อนจะเปิดศึกทำสงคราม จึงต้องเยือกเย็น เงียบเฉยเหมือนสาวพรหมจรรย์ เพื่อล่อหลอกให้ข้าศึกคลายการระวังป้องกัน และเผยจุดอ่อนให้เห็น เมื่อเริ่มทำสงครามกันแล้ว ก็ต้องปฏิบัติการให้รวดเร็วปราดเปรียวเหมือนกระต่ายป่า เพื่อให้ข้าศึกรับมือไม่ทันและไม่มีเวลาเตรียมการต้านทาน
การวางแผน
การทำสงคราม
ยุทโธบายเชิงรุก
ลักษณะการยุทธนุภาพ
ยุทธานุภาพ
จริงลวง
การสัประยุทธ์
ความผันแปร 9 ประการ
การเดินทัพ
ลักษณะภูมิประเทศ
พื้นที่เก้าลักษณะ
โจมตีด้วยไฟ
การใช้จารชน
ปฏิบัติการทางทหาร
ประเมินศึก
การทำศึก
กลวิธีรุก
รูปลักษณ์การรบ
พลานุภาพ
ตื้นลึกหนาบาง
การสัประยุทธ์
เก้าลักษณะ
การเดินทัพ
ภูมิประเทศ
เก้ายุทธภูมิ
โจมตีด้วยเพลิง
การใช้จารชน