ปรัชญา อภิปรัชญา ญาณวิทยา จิตวิทยา ตรรกศาสตร์ >>

ซิมโปเซียม

             ซิมโปเซียม เป็นเรื่องราวปรัชญาแห่งความรักที่เกิดขึ้นในสมัยที่สามของเพลโต้เป็นสมัยที่มีงานเขียนปรัชญาชั้นสมบูรณ์แบบ   ลักษณะการเขียนเป็นการผสมผสาน ระหว่างสมัยที่หนึ่งและสมัยที่สอง  เพราะฉะนั้น ปรัชญาของเพลโต้สมัยนี้จึงแจ่มแจ้งชัดเจน ง่ายและงดงามทาง วรรณศิลป์คล้ายสมัยแรกแต่ก็ลึกซึ้งเหมือนสมัยที่สอง  ปรัชญาสมัยนี้เป็นเพียงขยายหรือนำทฤษฎีแห่งมโนภาพไปใช้อย่างมีระบบ  โดยนำความรู้สึกเกี่ยวกับความงามของคนไปสัมพันธ์กับความรู้ทางปัญญาตามทฤษฎีแห่งมโนภาพไปใช้ในด้านจริยศาสตร์  ฟิสิกส์  อุตมรัฐ  การเมือง ซึ่งจะกล่าวเรื่องของซิมโปเซียมต่อไปนี้

(symposium)

      อะพอลโลรัส  ถูกขอร้องให้เล่าการสนทนาเรื่องความรัก ในงานเลี้ยงฉลองชัยชนะเนื่องในการประกวดบทละครโศกนาฏกรรมของอะกาธอน  อะริสโตเตมัสไปร่วมงานและเล่าให้อะพอลโลรัสฟัง  อะพอลโลรัสจึงได้เล่าตามคำบอกของอะริสโตเตมัสอีกทอดหนึ่ง เนื้อความย่อในการสนทนานั้นมี ดังต่อไปนี้

เฟดรุส

      ความรักเป็นเทพเจ้าที่มีอานุภาพมากที่สุด ประเสริฐที่สุด ยิ่งใหญ่ที่สุด  ความรักเป็นบ่อเกิดแห่งคุณธรรมในชาตินี้และความสุขในชาตินี้  เช่น  ความรักจะทำให้คนที่กำลังมีความรักไม่ว่า หญิงหรือชายกล้าที่จะตายเพื่อคนที่ตนรัก  ความรักสามารถทำให้คนกล้าฟันฝ่าอุปสรรคทุกอย่างที่ขวางหน้า  ความรักมีอำนาจทำให้คนขลาดเป็นคนกล้าทั้งทำให้คนกล้าเป็นคนขลาดได้เช่นกัน เพราะฉะนั้น คนที่กำลังมีความรัก  สามารถทำได้ทุกอย่างทั้งดีทั้งชั่วเพื่อให้คนรักพอใจเป็นสำคัญ

พอไซเนียส

      ความรักมี  2  ประเภท  คือ  ประเภทธรรมดาและประเภทสูงส่ง  ความรักประเภท ธรรมดามีทั้งในคนและสัตว์  เป็นความรักที่มีจุดหมายที่ร่างกายเป็นสำคัญ  เมื่อความรักประเภทนี้  เกิดแก่ใคร  ต่างก็มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะได้ครอบครองเชยชมคนรักให้ได้ ไม่ว่าจะได้มาอย่างถูกต้องหรือไม่ก็ตาม คนที่กำลังตกอยู่ในอำนาจความรักประเภทนี้อาจทำดีทำชั่วได้ทั้งนั้น              

  ส่วนความรักประเภทสูงส่ง  เป็นความรักมุ่งความงามทางจิตใจ ความรักประเภทนี้มุ่งไปสู่ชายหนุ่มที่กล้าหาญฉลาดและมีคุณธรรม  ไม่ได้มุ่งอำนาจทรัพย์สินหรืออื่นใด  จึงเป็นความรักที่ถาวร

อะริซีมากัส

      เขาเห็นด้วยกับพอไซเนียสว่าความรักมีทั้ง  2  ประเภท  และมีความเห็นว่า  ความรักทั้ง  2  ประเภทนี้  นอกจากจะมีในคนและสัตว์แล้ว  ยังมีอยู่ในทุกๆสิ่งด้วย  เช่น มนุษย์มีความรักอยู่ทั้ง  2 ประเภท ซึ่งมีสภาพแตกต่างกันอยู่ในตัวจึงมีความต้องการต่างกัน  คือต้องการที่จะให้ร่างกายแข็งแรงกับต้องการสิ่งที่มีผลต่อสุขภาพร่างกาย

                มนุษย์จึงควรรู้เท่าทันความจริงแล้วพยายามเปลี่ยนสิ่งที่ไม่ดีให้กลายเป็นดีให้ได้  เป็นการทำให้ธาตุซึ่งขัดแย้งกันเข้ากันได้อย่างเหมาะสม ดุจเสียงพิณที่ไพเราะเกิดจากการประสานกันของส่วนต่างๆ  ของพิณ ฉันนั้น  หรือเมื่อความร้อนและความเย็น ชื้นและแห้ง  มารวมกันอย่างเหมาะสมกลมกลืน ก็จะนำความแข็งแรงและความปลอดภัยมาให้ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์  สัตว์หรือต้นไม้

            มนุษย์หากปล่อยให้ความรักประเภทธรรมดาเข้าครอบงำ  ก็จะเป็นโทษทั้งแก่ตัวเองและผู้อื่น  ตรงกันข้าม  ถ้ามนุษย์ยึดมั่นอยู่ในความรักประเภทสูงส่ง  ก็จะมีความสุขและความราบรื่นในชีวิต

อาริสโตเฟนีส

      ความรักไม่ได้มี  2  ประเภทอย่างที่พอไซเนียสหรืออะริซีมากัสกล่าวไว้  ความรักเป็นความเรียกร้องของหัวใจที่จะได้สิ่งที่เคยมีกลับมาตามเดิมอีก

     กล่าวคือ ในสมัยดั้งเดิม มนุษย์มีรูปร่างกลม มีพลังและสีข้างเป็นวงกลม  มี  4  มือ   4  เท้าคล้ายนักกายกรรมซึ่งหกคะเมนตีลังกาอยู่ตลอดเวลา เจ้ามนุษย์แปลกประหลาดนี้สามารถเคลื่อนที่ได้เร็วมากด้วยการกลิ้งตัว ทั้งมีกำลังมหาศาลจนขึ้นไปท้าเทพเจ้า 

   ร้อนถึงซีอุสซึ่งเป็นจอมแห่งเทพเจ้าต้องเรียกประชุมเทพเจ้าว่าจะจัดการกับมนุษย์ประหลาดอย่างไรดี  เพราะหากปล่อยไว้ก็จะทำให้มนุษย์ได้ใจโอหังมากขึ้นทุกที จะทำลายเผ่าพันธุ์เสียเลยด้วยสายฟ้า  ก็เกรงว่าจะไม่มีใครคอยทำพิธีบวงสรวงบูชาเทพเจ้าอีกต่อไป 

              ในที่สุด เทพซีอุสจึงตรัสว่าพระองค์คิดออกแล้วที่จะทำให้มนุษย์หายโอหังและมีความประพฤติดีขึ้น นั่นคือผ่าร่างกายออกเป็น  2  ซีก ดุจแบ่งไข่ต้มด้วยเส้นด้าย โดยวิธีนี้จะทำให้พลังในตัวมนุษย์ลดลงอย่างมาก ทั้งเป็นการทำให้มนุษย์มีจำนวนเพิ่มขึ้นด้วย  จะได้ใช้ให้เป็นประโยชน์แก่เทพเจ้ามากขึ้น

                มนุษย์เมื่อถูกผ่าแล้ว  จะเดินตัวตรงบนขาทั้ง  2  และถ้ายังโอหังอีก  ก็จะตัดให้เหลือเพียงขาเดียวจะไม่มีเรี่ยวแรงโอหังอีกต่อไปอีก  แม้จะไปไหนก็จะต้องเดินเขย่งเสียแล้ว

   เมื่อซีอุสแบ่งมนุษย์ออกเป็น 2 ภาคแล้ว ก็มีเทวโองการให้อะพอลโลบันดาลให้มนุษย์เอี้ยวคอได้เพื่อจะได้เห็นสารรูปของตน จะได้สำนึกไม่ยโสต่อไปอีก 

  มนุษย์เมื่อถูกผ่าเป็น  2  ส่วนแล้ว  แต่ละส่วนต่างก็พยายามดิ้นรนโหยหาอีกส่วนหนึ่งซึ่งขาดไปและเมื่อมาพบกันก็จะพยายามเข้าสู่อ้อมกอดของกันและกัน เพื่อต้องการที่จะกลายเป็นส่วนเดียวกันเหมือนอย่างเดิม  ดังนั้น มนุษย์ตั้งแต่ถูกแบ่งเป็น  2  ส่วนแล้ว ก็ไม่มีเวลาที่จะขึ้นไปต่อกรกับเทพเจ้าอีก  เพราะมัวแต่เรียกร้องโหยหาถึงอีกส่วนหนึ่งซึ่งขาดไป  เรื่องนี้เป็นเหตุที่ทำให้มนุษย์แต่งงานกัน

อะกาธอน

             ความรักเป็นเทพเจ้าที่น่าบูชา สง่างามและดีที่สุด  กล่าวคือทรงเป็นเทพที่สง่างาม    ทรงเป็นหนุ่มอยู่เสมอไม่เคยชรา  ความรักเกลียดชรามากและไม่ยอมเข้าใกล้ แต่ชอบติดตามวัยหนุ่มสาว  ชอบประทับอยู่ในที่อ่อนนุ่มที่สุด เช่น  ในหัวใจและดอกไม้หอม  เป็นต้น

           ทรงยุติธรรมที่สุด  เพราะที่ใดมีการตกลงด้วยความสมัครใจ กฎหมายก็บอกว่ามีความยุติธรรมเกิดขึ้นที่นั่น

      ทรงกล้าหาญที่สุด  แม้แต่เทพเจ้าแห่งสงครามยังยอมแพ้ กล่าวคือเทพเจ้าแห่งสงครามก็ยังเป็นเชลยแห่งความรัก

      ทรงเป็นกวี  จึงเกิดเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดการประพันธ์ขี้น ผู้ใดได้รับความดลใจจากพระองค์  ผู้นั้นก็จะกลายเป็นกวี  แม้เขาจะไม่มีพรสวรรค์มาก่อนก็ตาม

      ทรงเป็นศิลปิน  เพราะความรักเป็นแรงบันดาลใจให้คนผลิตผลงานทางศิลปะขึ้นมา แม้แต่เทพอะพอลโลทรงค้นพบศิลปะการรักษา  ศิลปะการยิงธนู  และศิลปะการติดต่อกับเทพเจ้า    ก็เพราะได้รับคำแนะนำจากความรัก  บทเพลงของพวกมิวส์  เทพธิดาประจำศาสตร์ต่าง ๆ       และศิลปะการหลอมโลหะของเทพเฮฟีตุส  ตลอดถึงศิลปะการทอผ้าของเทพธิดาเอเธนา เป็นต้น ล้วนแต่เป็นผลงานของความรักทั้งหมด

      ทรงเป็นเทพที่นำความเกลียดชังออกจากมนุษย์แล้วเติมความรักลงไปแทน เหตุนี้ มนุษย์จึงมีการพบปะในงานเลี้ยงต่าง ๆ  เช่น  การบวงสรวงเทพเจ้า  การฉลองชัยชนะ  การเต้นรำ   เป็นต้น เพราะฉะนั้น เทพเจ้าแห่งความรักจึงมีแต่ความกรุณาปรานีไม่เคยหยิบยื่นความโหดร้ายให้ใครเลย ทรงเป็นสหายของความดี ทรงเป็นความพิศวงของคนฉลาด ทรงเป็นความสวยงามของเทพเจ้า

  ทรงเป็นบิดาแห่งสุนทรียภาพของความหรูหรา  ความปรารถนา  ความเอ็นดู   ความอ่อนโยน   ความสง่างาม  ความใฝ่ดี  เป็นต้น

      เพราะฉะนั้น เทพเจ้าแห่งความรัก  จึงเป็นต้นกำเนิดของสิ่งที่สวยงามที่สุดและดีที่สุดในทุกอย่าง  แม้ในภาษาที่เราใช้พูดกันก็มีคำอยู่ไม่น้อยที่เชื่อมโยงไปถึงความรักทั้งสิ้น เช่นคำว่าผู้ช่วยชีวิต  ผู้นำทาง  สหาย  ผู้ช่วยเหลือ  เป็นต้น

โซเครตีส

ความรักไม่ใช่เทพเจ้าที่งดงามหรือดี  แต่ความรักก็ไม่ใช่สิ่งที่น่าเกลียดหรือชั่วช้า เพราะสิ่งที่น่าเกลียดน่าชังจะต้องไม่สวยงามเสมอไปก็หาไม่  คนไม่ฉลาดจำต้องเป็นคนโง่เสมอไปก็หาไม่   ความรักอยู่กึ่งกลางระหว่าง  2  อย่าง  เช่น  ระหว่างความโง่เขลาและความฉลาด  ความรักไม่ใช่เทพเจ้าเพราะเทพเจ้าท่านสมบูรณ์ดีแล้วทั้งความสุขและความสวยงาม แต่ความรัก  เป็นความขาดหรือความพร่อง  จึงต้องแสวงหาสิ่งที่ขาดที่พร่องนั้น

  เมื่อเป็นเช่นนั้นความรักจึงไม่ใช่เทพเจ้า    ความรักไม่ใช่สิ่งที่เป็นอมตะและก็ไม่ใช่สิ่งมตะ  แต่ความรักเป็นภูต  อยู่ระหว่างเทพกับมนุษย์ ความรักเป็นผู้เชื่อมมนุษย์กับเทพเจ้าเข้าด้วยกัน   เป็นสื่อกลางระหว่างเทพกับมนุษย์  นำการสวดอ้อนวอนและการบวงสรวงของมนุษย์ไปสู่เทพเจ้าและนำเทวโองการและคำตอบของเทพเจ้ามาให้มนุษย์ได้ทราบ

  ความรักมีสภาวะที่ขัดกัน  เช่น ความรักมีชีวิตชีวาและเบิกบานชั่วขณะหนึ่งแล้วก็เหงาไปอีกขณะหนึ่งและแล้วก็กลับคืนมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีก  ความรักเป็นกระแสที่ไหลเข้าไหลออกตลอดเวลา ดังนั้น ความรักจึงไม่เคยขัดสน แต่ก็ไม่เคยร่ำรวย

      ความรักมีหลายประเภทหรือหลายระดับ  จากหยาบ ประณีต จากรูปธรรม นามธรรมหรือจากต่ำ สูง  ความรักประเภทแรกยังติดอยู่ในรูปร่างภายนอก  ประเภทถัดไปเป็นความรักในเกียรติยศ ชื่อเสียง  และประเภทสูงสุด คือรักในความรู้และความงามที่แท้จริง ความงามที่แท้จะไม่มีการเปลี่ยนแปรใด ๆ  ทั้งยังมีเอกภาพและมีความคงทนถาวร ไม่มีการลดลงหรือเพิ่มขึ้นอย่างใดทั้งสิ้น

  การที่คนตลอดถึงสัตว์ทั้งหลายต้องการความรัก ก็เพราะเห็นว่า  ตัวเองบกพร่องไม่สมบูรณ์   เป็นมตะ จึงปรารถนาที่จะได้ครอบครองสิ่งที่ดีงามไว้ชั่วนิรันดร จึงได้ปฏิบัติการเพื่อให้ได้สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงและเป็นอมตะให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้  เช่น  แสดงออกทางการสืบพันธุ์   เพราะการสืบพันธุ์สามารถนำชีวิตใหม่มาแทนชีวิตเก่าหรือได้ลูกมาแทนตัว ในชั้นสูงขึ้นมา    คนจะแสดงออกมาด้วยการทิ้งผลงานทางเกียรติยศชื่อเสียงของตนไว้ให้ผู้อื่นคอยจดจำและขั้นสูงสุดคือการได้เข้าไปร่วมกับสิ่งที่เป็นอมตะคือความงามที่แท้จริง  จึงพลอยเป็นอมตะตามไปด้วย

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย