สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ การเมือง เศรษฐศาสตร์ >>

สังคมวิทยา

<<< สารบัญ >>>

การจัดระเบียบทางสังคม (Social Organization)

การกระทำทางสังคมและกระบวนการทางสังคม

(Social Action and Social Process)

โดยปกติ การกระทำของมนุษย์ในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของสังคม จะมีพฤติกรรมที่เรียกว่าเป็นการกระทำทางสังคม ซึ่งหมายถึง การกระทำที่บุคคลแสดงออกมาโดยที่การกระทำนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับคนอื่น มีบางครั้งเหมือนกันที่พฤติกรรมของบุคคล ไม่เกี่ยวข้องสังสรรค์กับคนอื่น แต่เป็นเพียงชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น เช่น การนอนหลับ ตามปกติแล้ว บุคคลมักจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะอยู่โดยไม่สังสรรค์กับคนอื่นเลย การเกี่ยวข้องกับผู้อื่นเห็นได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม ทางตรง คือ การเกี่ยวข้องระหว่างสองฝ่ายที่ติดต่อโดยตรง เช่น การพูดคุย การโทรทัศน์ หรือทางอ้อมโดยเรานั่งอยู่ คนเดียวใช้ความนึกคิดถึงบุคคลอื่นหรือมักจะส่งผลกระทบกระเทือนต่อผู้อื่น ทั้งนี้ เพราะเราได้รับการกระตุ้นจากผู้อื่น เช่น อ่านหนังสือ ฟังวิทยุ ดูโทรทัศน์ ดูภาพยนตร์ ในกรณีที่นักเรียนคนหนึ่งต้องดูหนังสือทั้งที่อยากไปเที่ยวกับเพื่อน ก็หมายความว่า นักเรียนผู้นี้มีแผนการแล้วว่าจะดูหนังสือเพื่อสอบ เขาถูกกระตุ้นจากครูหรือได้รับ การคาดหวังจากพ่อแม่ว่าต้องเรียนหนังสือให้เก่ง เป็นต้น

ปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดการกระทำทางสังคม (Element of Social Action)

มีองค์ประกอบ 4 อย่าง คือ
1) ตัวผู้กระทำ (actor)
2) เป้าหมาย (goal or end)
3) เงื่อนไข (condition)
4) วิธีการ (means)

1) ตัวผู้กระทำ ตัวผู้กระทำขึ้นซึ่งพิจารณาจากสภาพร่างกายและสภาพจิตใจควบคู่กัน โดยอาศัยพื้นความรู้ทางจิตวิทยาที่ว่า พฤติกรรมของบุคคลที่แสดงออกมานั้น มีจิตเป็นพื้นฐานของความรู้สึกนึกคิด นั่นก็คือ แรงจูงใจ ซึ่งได้มาจากหลายทางด้วยกัน เช่น มาจากแรงขับภายใน ได้แก่ ความหิว ความกระหาย ความต้องการทางเพศ เป็นต้น หรือมาจากสภาพแวดล้อมภายนอก เช่น สภาพภูมิศาสตร์ ดินฟ้าอากาศ สภาพสังคม รอบตัว ซึ่งกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกนึกคิดและพฤติกรรมแตกต่างกัน เช่น คนชนบทกับคนในเมืองนั้น มีความคิด ความเชื่อ ทัศนคติ การกระทำที่แตกต่างกันอย่างมาก

2) เป้าหมาย การกระทำทางสังคมจะต้องมีเป้าหมายมิใช่เป็นการกระทำลอย ๆ ทั้งนี้เพราะมนุษย์เป็น end-pursuing animal ซึ่งหมายความว่า การกระทำ ของมนุษย์ต้องมีจุดมุ่งหมายมิใช่กระทำไปโดยอัตโนมัติด้วยสัญชาตญาณอย่างสัตว์ และเป้าหมายที่มนุษย์มีนั้นขึ้นอยู่กับสิ่งที่มนุษย์ได้รับการอบรมเลี้ยงดูมาในรูปแบบลักษณะใด ๆ

3) เงื่อนไข หมายถึง สิ่งต่าง ๆ ที่เป็นเครื่องขัดขวางหรือสนับสนุนให้บุคคลไปสู่เป้าหมาย เงื่อนไขอาจมาจากสิ่งต่าง ๆ หลายทางด้วยกัน เช่น สถานภาพทางสังคมและเศรษฐกิจของบุคคล อาจเป็นฐานะเศรษฐกิจของครอบครัวหรืออาจเป็นเพราะ บุคลิกภาพเฉพาะตัว ความสามารถส่วนบุคคลทั้งสภาพร่างกายและสติปัญญา เป็นต้นว่า บางคนอยากเป็นแพทย์แต่สอบตกประจำ บางคนอยากเป็นนายทหารแต่กลัวเสียงปืน บางคนอยากเป็นนายตำรวจแต่ตาบอดสี มนุษย์ที่อยู่ในสังคมจะพบว่า มีเงื่อนไขทางสังคมกำหนดไว้มากมาย ถ้าคนในสังคมใหญ่ยอมรับว่าถูกต้อง แต่บุคคลไม่ยอมรับ เงื่อนไขนั้นก็มีอุปสรรค เช่น อยากร่ำรวยมีเงินมาก ๆ ถ้าไปปล้น จี้ ลักขโมยจากผู้อื่น ก็เป็นการผิดเงื่อนไขทางสังคม เพราะคนอื่นเขาไม่ยอมรับ เงื่อนไขบางอย่างมาจาก ธรรมชาติ เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น อยากไปจังหวัดเชียงใหม่ จะหลับตาเนรมิตให้ไป อึดใจไม่ได้ จำต้องเดินทางผ่านจุดต่าง ๆ

4) วิธีการ ผู้กระทำนั้นต้องมีวิธีการเลือกกระทำได้หลายทาง เพื่อให้ไปสู่เป้าหมายที่ตนต้องการได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับคุณค่าที่ตนมีอยู่

ก. การกระทำระหว่างกันทางสังคมหรือการปะทะสังสรรค์ทางสังคม (Social Interaction)

การกระทำระหว่างกันทางสังคม เป็นการกระทำระหว่างบุคคลในกลุ่มหรือกลุ่มต่อกลุ่ม มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องซึ่งกันและกันด้วยเจตนาและมีความหมายที่เข้าใจกัน

นักสังคมวิทยาและนักมานุษยวิทยาพิจารณาการกระทำระหว่างกันทางสังคมของมนุษย์ในลักษณะที่เป็น symbolic interaction ซึ่งหมายถึงการติดต่อสัมพันธ์กันอย่างมีสัญลักษณ์ ได้แก่ ความสัมพันธ์กันในทางลายลักษณ์อักษร เช่น การเขียน จดหมายติดต่อถึงกันและกัน การกระทำทางสังคมจึงขึ้นอยู่กับการติดต่อสื่อสาร (communication)

โดยปกติกลุ่มคนหรือสังคมไม่ได้อยู่นิ่งเฉยกับที่ แต่จะมีการกระทำระหว่างกันทางสังคมอยู่ตลอดเวลา แม้แต่บุคคลที่อยู่ร่วมกันเพียง 2 คน เช่น ในกรณี นาย ก กับนาย ข เป็นเพื่อนกัน คุยกันซึ่งเขียนออกมาได้ดังนี้



การกระทำระหว่างกันและกันของ นาย ก กับนาย ข นั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร

เราอาจอธิบายได้โดยนำแนวความคิดในเรื่อง ความคาดหวังในบทบาท (role-expectation) ซึ่งเป็นบทบาทที่บุคคลคาดคิดไว้ล่วงหน้าว่าจะแสดงพฤติกรรม ออกมาอย่างไร กลไกที่ทำให้เราคิดได้ คือ เครื่องมือทางสังคม ได้แก่ บรรทัดฐานและสถานภาพ บรรทัดฐานนั้น บุคคลจะได้รับการอบรมทั้งทางตรงและทางอ้อมมาตั้งแต่เยาว์วัยและมากขึ้นตามลำดับจากสังคมที่เขาเป็นสมาชิกอยู่ สำหรับสถานภาพนั้น บุคคลเดาหรือคิดให้ถูกต้องว่าคนอื่นที่กำลังจะมีบทบาทติดต่อกับเรานั้นมีสถานภาพอย่างไร โดยดูได้จากสัญลักษณ์ทางสถานภาพ (status symbol) เช่น ดูได้จากการแต่งกาย น้ำเสียง คำพูด ซึ่งบุคคลจะเดาได้โดยขึ้นอยู่กับการเรียนรู้และประสบการณ์ของบุคคล หลังจากนั้น บุคคลก็เลือกดูว่าในสถานภาพนั้นมีบรรทัดฐานกำหนดให้ปฏิบัติอย่างไร นี่คือ ความคาดหวังในบทบาทของบุคคลซึ่งต้องมีทุกคน ตัวอย่างเช่น ความสัมพันธ์ของครูและนักเรียน นักเรียนก็มีวิจารณญาณว่าตนจะมีปฏิกิริยาต่อครูอย่างไร เมื่อพวกเขามีความสัมพันธ์กับครู เช่นเดียวกัน ครูก็สามารถทราบได้ล่วงหน้าว่าตนจะทำอย่างไร กับนักเรียน

มีบางครั้งซึ่งอาจเกิดปัญหาเนื่องจากความคาดหวังในบทบาทของบุคคลผิดไป ทำให้เกิดปรากฏการณ์ในสิ่งที่สังคมไม่ต้องการ อาจเกิดความขัดแย้ง ไม่พอใจหรือสร้างความเกลียดชังขึ้นมา ดังนั้น สังคมจึงพยายามแก้ไขในสิ่งนี้ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งออกมาในแบบพฤติกรรมที่แตกต่างกันออกไป

โดยสรุป การกระทำระหว่างกันทางสังคมเป็นพฤติกรรมที่มนุษย์กระทำเพื่อแก้ปัญหาต่าง ๆ และเพื่อดิ้นรนไปสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายที่ต้องการ โดยมีการติดต่อกัน แต่ละคนแต่ละกลุ่มอาจมีความต้องการคุณค่าหรือสิ่งจูงใจเหมือนกันหรือต่างกัน

ข. กระบวนการทางสังคม (Social Process)

กระบวนการทางสังคมเกิดจากการกระทำระหว่างกันทางสังคม (social interaction) ของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลซึ่งมีแบบต่าง ๆ กัน อาจเป็นไปในรูปของการ ขัดแย้ง การแข่งขัน การร่วมมือ ความเห็นพ้องต้องกันหรือการกลืนกลาย กระบวนการทางสังคมมีลักษณะสำคัญ 3 ประการ คือ

1. ต้องมีการติดต่อทางสังคม (social contact) คือ บุคคลนับตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปมีความสัมพันธ์ติดต่อซึ่งกันและกัน

2. มีการถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดระหว่างบุคคลที่ติดต่อโดยการใช้สัญลักษณ์ ซึ่งอาจเป็นภาษาเขียน ภาษาพูด หรือกิริยาท่าทางก็ได้

3. มีสิ่งเร้า (stimulation) และมีการตอบสนอง (response) จากลักษณะข้อ 1 และ 2 ทำให้เกิดพฤติกรรมตามมา

ประเภทหรือรูปแบบของกระบวนการทางสังคม

รูปแบบของกระบวนการทางสังคมที่ปรากฏในสังคมมีอยู่ 6 ลักษณะ คือ
1) การแข่งขัน (competition)
2) ความขัดแย้ง (conflict)
3) การสมานลักษณ์ (accommodation)
4) การกลืนกลาย (assimilation)
5) การร่วมมือ (co-operation)
6) ความเห็นพ้องต้องกัน (consensus)



1) การแข่งขัน หมายความถึงการที่บุคคลสองฝ่ายหรือมากกว่านั้น ดิ้นรนสู่เป้าหมายเดียวกัน โดยแต่ละฝ่ายไม่คาดคิดที่จะให้อีกฝ่ายหนึ่งหรือผู้อื่นได้ส่วนแบ่งในสิ่งนั้น ๆ ด้วย สาเหตุที่สำคัญ คือ สิ่งที่จะสนองความต้องการมีอยู่จำกัด การแข่งขันจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องเกิดขึ้นอยู่เสมอ

ความสัมพันธ์ของการแข่งขัน ไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องซึ่งกันและกัน ทางตรง และอาจไม่เป็นการกระทำระหว่างกันทางสังคมแบบตัวต่อตัว บุคคลต่อบุคคล กล่าวคือ อาจแข่งขันโดยไม่รู้สึกตัว เช่น การสมัครเข้าทำงานในตำแหน่งหนึ่ง อาจมี ผู้สมัครหลายคน แต่ต่างคนอาจไม่รู้ว่าตนมีคู่แข่งถ้าผู้รับสมัครไม่บอกให้ทราบ

เมื่อใดที่คู่แข่งขันต่างฝ่ายต่างทราบว่า ตนมีคู่แข่ง ลักษณะความสัมพันธ์ก็มักจะเปลี่ยนไป คือ จะมีการชิงกันเอาชนะกัน นั่นก็คือ แบบของการแข่งขันที่บุคคล รู้สึกตัว (aware) ระหว่างกลุ่มเฉพาะ เช่น การแข่งขันสมัครรับเลือกตั้งระหว่าง พรรคการเมือง การแข่งขันขายสินค้าระหว่างบริษัทที่ผลิตสินค้าอย่างเดียวกัน การแข่งขันในลักษณะนี้คู่แข่งขันจะเข้ามาเผชิญหน้ากันโดยตรง ต่างฝ่ายจะพยายามหากลวิธีใช้เล่ห์เหลี่ยม (tactic) ต่าง ๆ เพื่อให้ชนะอีกฝ่ายหนึ่ง

ตามปกติการแข่งขันมักจะเป็นไปตามหลักกติกาหรือบรรทัดฐานกำหนด แต่หลายโอกาส ผู้แข่งขันก็มักจะละเมิดกติกาและก็จะถูกลงโทษตามที่กติการะบุไว้

แนวความคิดของการแข่งขันนี้มักก่อให้เกิดแนวความคิด เทคนิค และสิ่งประดิษฐ์แบบใหม่ ๆ ขึ้นมาเสมอ

การแข่งขัน ถ้าเป็นการแข่งขันระหว่างสังคม จากประวัติศาสตร์ในอดีต ได้ศึกษาการสงครามระหว่างประเทศต่าง ๆ ในทวีปยุโรป โดยเฉลี่ยแล้ว พบว่า มีการทำสงครามปีเว้นปี

2) ความขัดแย้ง เมื่อการแข่งขันมีความรุนแรงมากขึ้น ผลประโยชน์ก็ขัดกันมาก เพราะต่างก็มุ่งสู่เป้าหมายอันเดียวกัน อาจจะถึงขั้นต่างฝ่ายต่างมุ่งทำลายล้างกัน หรือทำลายล้างกันจนถึงตาย หรือต้องการกำจัดคู่แข่งขันให้สิ้นไป หรือทำให้ฝ่ายตรงข้ามเสียหาย เป็นลักษณะของความขัดแย้งซึ่งเป็นการติดต่อกันทางตรง บุคคลจะมีความรู้สึกรุนแรง อารมณ์จะถูกเร้าถูกกระตุ้นให้เกิดขึ้น จนอาจถึงกับละเมิดกฎเกณฑ์หรือกติกาที่ตั้งไว้และใช้กำลังเข้าทำลายกันในที่สุด

การแบ่งแยกให้เห็นชัดตายตัวลงไประหว่างการแข่งขันกับความขัดแย้งนี้ เป็นสิ่งกระทำได้ยาก ในบางกรณี ไม่อาจชี้ให้แน่นอนและชัดเจนได้ว่า เป็นเรื่องใดแน่ เช่น กรณีรักสามเส้า ธุรกิจบางอย่าง หรือการเล่นการเมือง

การแก่งแย่งเอาชนะการขัดแย้ง เป็นแบบของความสัมพันธ์ทางลบ ซึ่งทำให้กลุ่มแยกออกจากกันแทนที่จะเข้าหากัน แต่การแข่งขันชิงชนะไม่ทำให้คู่แข่งขันต้องแยกออกจากกัน เช่น การแข่งขันกีฬา คู่แข่งต้องการรับกติกากัน ส่วนความขัดแย้งต่างฝ่ายต่างไม่ยอมรับปฏิบัติตามกฎหรือกติกา และแยกออกจากกันอย่างเด็ดขาด ขณะเดียวกัน ก็จะทำให้เกิดการรวมอย่างแน่นแฟ้นในพวกเดียวกันและสกัดกั้น การติดต่อหรือทำความเข้าใจกับฝ่ายตรงข้าม มองอีกแง่หนึ่ง การขัดแย้งอาจเกิดขึ้น เพราะขาดการติดต่อกัน สาเหตุจากการขาดการติดต่อซึ่งกันและกันก็ย่อมก่อให้เกิด ความไม่เข้าใจกันได้ ดังนั้น อาจมีวิธีขจัดหรือลดความขัดแย้ง โดยการเพิ่มการติดต่อระหว่างกัน อย่างไรก็ดี การติดต่อระหว่างกันยิ่งมีมากขึ้นก็อาจจะยิ่งเพิ่มความขัดแย้งขึ้นได้อีกเช่นกัน ถ้ากลุ่มเหล่านั้นมีความแตกต่างกันในด้านต่าง ๆ อย่างเด่นชัด อาจสร้างความไม่พอใจให้แก่กลุ่มที่ด้อยกว่า จนกลายเป็นความขัดแย้งตามมาภายหลัง เช่น ชาวชนบทที่ได้พบได้เห็นความสะดวกสบายในการดำเนินชีวิตของผู้คนในเมืองและต้องการแบบชีวิตใหม่อย่างนั้นบ้าง ปรากฏการณ์ดังกล่าวนี้ นักวิชาการเรียกว่า the rising of expectation คือ การเกิดความมุ่งหวังที่จะมีความเป็นอยู่ดีขึ้น ถ้าหากไม่สมปรารถนา ก็จะเกิดความไม่พอใจจนถึงกับเป็นความขัดแย้งกันขึ้นระหว่างคนเมืองหรือรัฐบาลกับคนชนบท

ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นภายในกลุ่มมีผลทำให้เสียเอกภาพของกลุ่ม (unity) แต่ถ้าความขัดแย้งเกิดขึ้นระหว่างกลุ่มก็ทำให้เกิดพลังภายในกลุ่ม แต่ต้องหวังชนะกันระหว่างกลุ่ม

3) การสมานลักษณ์ เป็นกระบวนการที่บุคคล แม้จะมีความแตกต่างกันในทัศนคติ ความเชื่อ ประเพณี หรือผลประโยชน์ มาประนีประนอมปรับตัวเข้าหากัน กระบวนการทางสังคมแบบนี้ อาจเกิดขึ้นหลังจากความขัดแย้งระหว่างกลุ่มดำเนินไปถึงจุดหนึ่ง ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ถูกทำลายย่อยยับไปหมดสิ้นแล้ว ทั้งสองกลุ่มจะต้องหาทางมาประนีประนอมกัน เพื่อระงับยับยั้งความขัดแย้งที่เกิดขึ้นมาช้านานไว้ชั่วคราว ในกระบวนการนี้ ความรู้สึกเป็นปฏิปักษ์ต่อกันอาจยังคงอยู่และอาจจะขัดแย้งกันอีก ในเวลาต่อไปก็ได้ การประนีประนอมจึงเป็นกระบวนการทางสังคมที่กลุ่มแต่ละกลุ่มต่างปรับตัวเข้าหากัน โดยที่ต่างฝ่ายต่างยังคงรักษาเอกลักษณ์ (identity) และ ผลประโยชน์ของตนไว้ การที่กลุ่มต้องประนีประนอมกัน เพราะต้องการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ หรือเพื่อเผชิญกับความจริงซึ่งต้องยอมรับ เช่น ประเทศที่มีกำลังด้อยกว่าต้องยอมแพ้หรือยอมสงบศึก เมื่อยอมรับสภาพที่เป็นจริงว่าสู้เขาไม่ได้ ทั้งนี้ เพื่อแก้ไขปัญหาให้ตนสามารถอยู่ต่อไป แม้ว่าจะต้องเสียผลประโยชน์บางอย่าง

4) การกลืนกลาย เป็นกระบวนการที่ผสมปสานกลมกลืนของบุคคลและกลุ่มในเรื่องทัศนคติ ความทรงจำ ความรู้สึก ความเชื่อ ประเพณี วัฒนธรรม โดยมีประสบการณ์ร่วมกันเป็นระยะเวลาอันยาวนานในชีวิตทางวัฒนธรรม (cultural life) อันเดียวกัน ในสภาพเช่นนี้ บุคคลในสังคมย่อมมีการผสมผสานและทำความเข้าใจ ซึ่งกันและกันอย่างกว้างขวางลึกซึ้งระหว่างกลุ่ม จนรู้สึกว่าเป็นพวกเดียวกัน และมีลักษณะที่แสดงถึงเอกลักษณ์ของกลุ่มร่วมกัน เช่น ในประเทศสหรัฐอเมริกา ชาวอเมริกันอพยพมาจากประเทศต่าง ๆ ของโลกมาอยู่ร่วมกัน ใช้ชีวิตแบบอเมริกัน เกี่ยวข้องกันชั่วอายุคน บุคคลต่างเชื้อชาติต่าง ๆ ก็มีความรู้สึกว่าพวกเขาเหล่านั้นเป็น คนอเมริกันโดยสมบูรณ์ ในสังคมไทยเราพบชาวจีนเป็นชนกลุ่มน้อยจำนวนมาก แต่คนจีนส่วนใหญ่ก็มีความสำนึกว่าพวกเขาคือ คนไทย ทั้งในด้านความรู้สึกนึกคิด ระบบคุณค่า ฯลฯ

การกลืนกลายจะเกิดขึ้นได้ จำเป็นต้องขจัดอุปสรรคที่ทำให้การติดต่อระหว่างกันดำเนินไปไม่ได้ เช่น กลุ่มที่มีภาษาต่างกันจะต้องพยายามให้ใช้ภาษาร่วมกัน การศึกษาในโรงเรียนเป็นวิธีการและเครื่องมือที่ช่วยให้การกลืนกลายดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

5) การร่วมมือ เป็นกระบวนการทางสังคมที่กลุ่มตกลงที่จะกระทำกิจกรรมร่วมกัน การตกลงนี้ อาจเกิดจากการที่กลุ่มมีความมุ่งหวังหรือผลประโยชน์สอดคล้องกันหรือเหมือนกัน เช่น นายจ้างกับลูกจ้างตกลงทำงานร่วมกันโดยต่างฝ่ายต่างมี ผลประโยชน์สอดคล้องกัน คือ เงินตอบแทนเป็นกำไรและค่าจ้าง หรือกลุ่มอาจร่วมมือกันเพราะต่างก็มีศัตรูร่วม เช่น บรรดาประเทศกลุ่มอาหรับในเอเชียตะวันออกกลางที่ รวมตัวกันเพื่อต่อสู้กับประเทศอิสราเอล หรือในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง บรรดาประเทศต่าง ๆ หันมาร่วมมือกันเป็นสัมพันธมิตรรบกับประเทศเยอรมนี การติดต่อสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มที่ร่วมมือกันจะมีมากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับลักษณะพื้นฐานของ การร่วมมือนั้น กลุ่มที่ร่วมมือกันโดยมีความผูกพันหรือมีความจงรักภักดีต่อสิ่งเดียวกัน ย่อมมีการติดต่อกันมากกว่ากลุ่มที่ร่วมมือกันเพราะผลประโยชน์บางอย่างหรือ เพื่อต่อต้านภัยอันตรายบางอย่างที่เกิดขึ้นเพียงครั้งคราว

กลุ่มย่อยได้รับผลประโยชน์จากการมาตกลงร่วมมือกัน แต่การร่วมมืออาจจะก่อให้เกิดผลเสียได้เช่นกัน เป็นต้นว่า ความเป็นอิสระของกลุ่มอาจจะถูกกระทบกระเทือน เพราะเมื่อคนต่างกลุ่มมีการติดต่อกันมากขึ้น ก็ย่อมเกิดการผสมผสานกันจนเอกลักษณ์ของแต่ละกลุ่มไม่อาจแยกออกจากกันได้ชัดเจน และกลุ่มที่อ่อนแอกว่าอาจถูกครอบงำโดยกลุ่มที่มีอิทธิพลเหนือกว่า ถึงแม้ว่าการร่วมมือจะเป็นสิ่งที่ดี แต่บางครั้ง กลุ่มอาจไม่พร้อมหรือไม่เต็มใจที่จะร่วมมือกับกลุ่มอื่น ดังนั้น ก่อนที่จะร่วมมือกันระหว่างกลุ่ม ผู้นำของกลุ่มจะต้องคำนึงว่า จะร่วมมือกันเพื่ออะไร กับใคร และมีส่วน ได้เสียอย่างไรบ้าง



การร่วมมือกันอาจแบ่งออกได้ 3 ชนิด คือ
1. การร่วมมือแบบปฐมภูมิ (primary cooperation)
2. การร่วมมือแบบทุติยภูมิ (secondary cooperation)
3. การร่วมมือแบบตติยภูมิ (tertiary cooperation)

1. การร่วมมือแบบปฐมภูมิ ได้แก่ ความร่วมมือของกลุ่มบุคคลที่มีความสัมพันธ์แบบปฐมภูมิ เป็นความร่วมมือที่กระทำร่วมกันในทุก ๆ ด้าน โดยใช้ วิธีการและมีเป้าหมายอย่างเดียวกัน แต่อาจแบ่งงานออกเป็นส่วน ๆ และแบ่งความ รับผิดชอบกันไปในระบบเดียวกัน เช่น ชีวิตภายในวัด ในครอบครัว ในชุมชนเล็ก ๆ และในสังคมที่มีความเป็นอยู่อย่างง่าย ๆ ทั้งหลาย

2. การร่วมมือแบบทุติยภูมิ เป็นการร่วมมือที่บุคคลกระทำเพื่อ ผลประโยชน์ร่วมกันในลักษณะต่าง ๆ กัน โดยมีวัตถุประสงค์บางประการร่วมกัน และการที่จะได้มาซึ่งความพอใจของแต่ละฝ่ายนั้น ต้องอาศัยการปฏิบัติร่วมกันทุกฝ่าย เช่น การร่วมมือของบุคคลในสำนักงานธุรกิจหรือในโรงงาน

3. การร่วมมือแบบตติยภูมิ เป็นการปฏิบัติงานร่วมกันทั้ง ๆ ที่มี ทัศนคติต่างกัน ความร่วมมือประเภทนี้ใช้วิธีการเดียวกันแต่วัตถุประสงค์ต่างกัน เช่น การที่เจ้าหน้าที่รับสินบนจากพ่อค้า ต่างก็มีผลประโยชน์ในระยะสั้นกันคนละอย่าง คือ พ่อค้าก็ได้สิทธิพิเศษในการค้าและเจ้าหน้าที่ก็ได้เงินมาใช้เป็นพิเศษ เป็นต้น

6) ความเห็นพ้องต้องกัน เป็นกระบวนการทางสังคมที่คล้ายคลึงกับ การร่วมมือ หมายความถึง การตกลงเห็นพ้องต้องกันเป็นเอกฉันท์ เกิดขึ้นเมื่อทั้งสองฝ่ายเผชิญกับการขัดแย้งและต้องการที่จะรักษาความสัมพันธ์อันดีไว้อย่างถาวร

ความเห็นชอบพร้อมกันมักจะเกิดขึ้นในเมื่อความคิดเห็นอันหนึ่ง ได้แพร่หลายอย่างกว้างขวางและพบอยู่ในบรรดากลุ่มต่าง ๆ ทั้งหมดในสังคม ตัวอย่างเช่น ในประเทศสหรัฐอเมริกาได้เกิดความเห็นพ้องต้องกันที่รัฐบาลควรจะให้มีโครงการสวัสดิภาพสังคมขึ้น (ซึ่งแสดงให้เห็นชัดถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นใน คุณธรรมและทัศนคติเกี่ยวกับปัจเจกบุคคลนิยมและความรับผิดชอบทางสังคม)

เมื่อมีความเห็นพ้องต้องกันเกิดขึ้นในเรื่องใด ๆ เรื่องนั้นก็จะพ้นจากการแข่งขันและการแบ่งแยกที่เคยเกิดมาก่อนหน้านั้น

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในเรื่องความเห็นพ้องต้องกัน คือ ลักษณะของการเกี้ยวพาราสี (courtship) และการเป็นพันธมิตรระหว่างชาติ (international alliance)

อ่านต่อ  >>>>>

<<< สารบัญ >>>

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย