ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
กำเนิดเจ้าแม่กวนอิม
ไต้ซือเดินทางด้วยเท้าเปล่า ชนเผ่าเจียลาเลี้ยงสัตว์ในทะเลทราย
ขณะที่ไต้ซือเมี่ยวส้านกำลังสนทนาอยู่กับช้างเผือกอยู่นั้นพวกคนป่าเมื่อรู้ตัวว่าเชลยที่จับมาได้หลบหนีไปแล้วจึงได้ติดตามมาเสียงโห่ร้องตามมาข้างหลัง
ทำให้ไต้ซื่อเมี่ยวส้านทรงร้องขึ้นว่าแย่แล้ว! ช้างเผือกเอ๋ย
พวกผีป่าตามมาอีกแล้วจะทำอย่างไรดีถ้าเจ้ามีใจจะช่วยฉัน
ก็โปรดช่วยฉันให้พ้นจากอันตรายด้วยเถิดพอช้างเผือกฟังความแล้วก็ยื่นงวงของมันออกมาแล้วรัดเอวของไต้ซือไว้
ชูงวงสางขึ้นแล้วก็ออกวิ่งตรงไปข้างหน้าดุจจะเหาะไปความเร็วดุจขี่อยู่บนปุยเมฆ
ชั่วประเดี๋ยวเดียวก็พ้นจากชายป่าภูเขาจินหลุน มันวิ่งต่อไปอีกห้าลี้
เมื่อไม่เห็นมีคนตามมาแล้วจึงหยุดวิ่งแล้วค่อยๆ วางไต้ซือเมี่ยวส้านลง
ไต้ซื่อเมี่ยวส้านทรงถอนหายใจปัดฝุ่นบนวรกายให้ออกแล้ว
ก็มาลูบที่หน้าผากของช้างแล้วตรัสกับช้างว่า ช้างเผือกเอ๋ย!
วันนี้ฉันเป็นหนี้เจ้ามากเลยที่ช่วยชีวิตภิกษุณีจนๆ
อย่างฉัน ถ้าหากตอนนี้ฉันไปที่หมู่บ้านไซซื่อเป่าได้
ไปตามหาเพื่อร่วมทางสองคนนั้นได้แล้ว เจ้าก็กลับเข้าป่าพักผ่อนได้
ให้หมั่นสร้างสมบุญกุศลไว้
รอให้ฉันไปที่เขาซีหนีซันและบรรลุมรรคผลแล้วก็จะกลับมาโปรดเจ้า ฉันจะไม่ผิดคำพูด
โดยไม่คาดคิด พอเจ้าช้างเผือกฟังความแล้ว
ไม่เพียงมันไม่ไปมันกลับหมอบลงบนพื้นไม่ยอมขยันเขยื้อน
ไต้ซือเมี่ยวส้านคิดในใจว่าเจ้าช้างนี้คงไม่ยอมเข้าป่าไป
คงอยากจะตามฉันไปที่เขาซวีหนีซันก็เป็นได้ จึงทรงถามต่อไปว่า เจ้าช้างเผือก!
ถ้าหากเจ้าไม่อยากกลับไปที่เขาจินหลุนคิดอยากติดตามฉันไปที่ภูเขาซวีหนีซันละก็เจ้าจงผงกหัวสักสามครั้งเจ้าช้างนั้นผงกหัวสามครั้งแล้วก็ชูงวงมันไปที่หลังเหมือนกับจะเรียกไต้ซือให้ขี่หลังมัน
ไต้ซือเมี่ยวส้านปีติอยินดียิ่งแล้วตรัสว่าเจริญพร
! ฉันนั่งหลังเจ้าไปก็จะเป็นการกินแรงเจ้านะ พูดจบก็ลุกขึ้นไปนั่งบนหลังช้าง
ช้างเผือกก็ลุกยืนและค่อยๆ
เดินไปยังหมู่บ้านไซซื่อเป่าไต้ซือคิดจะไปที่นั่นเพื่อตามหาแม่อุปถัมภ์และหย่งเหลียน
พระองค์ทรงคิดว่าบุคคลทั้งสองพลัดพรากจากกันก็จริง
แต่ท่านไม่คิดว่าพวกเขาจะถูกพวกคนป่าจับไป เพราะถ้าหากทั้งสองคนถูกคนป่าจับไป
พระองค์ก็ต้องได้เห็นคนทั้งสองในป่านั้นด้วย แต่ในป่ากลับไม่เห็นบุคคลทั้งสอง
ก็แน่ใจว่าคงหนีมาที่หมู่บ้านไซซื่อเป่าแน่ดังนั้น
พระองค์จึงมุ่งหน้าไปที่หมู่บ้านเพื่อตามหา โดยไม่คาดคิดเมื่อใกล้หมู่บ้าน
หย่งเหลียนก็วิ่งมาต้อนรับ
เมื่อผู้ใหญ่ซุนเต๋อได้ฟังเรื่องจากซือเมี่ยวส้านแล้วก็พูดขึ้นว่า
นี่คือพุทธานุภาพอันไร้ขอบเขต จึงมีเรื่องบังเอิญเช่นนี้
ข้างเผือกเชือกนั้นคงเป็นช้างที่พระพุทธเจ้าใช้ให้มาอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ไมรู้ว่าท่านไต้ซือมีรองเท้าป่านนั้นมามากมายได้อย่างไร
หย่งเหลียนรีบพูดขึ้นว่าถ้าจะถามถึงที่มาของร้องแล้วก็ ทุกข์ยาก! ทุกข์ยาก!
คงต้องย้อนกลับไปถึงเรื่องราวในวัง เมื่อเล่ารายละเอียดให้ฟังแล้ว
ซุนเต๋อก็เกิดความเคารพแล้วทูลว่า
คาดไปมีถึงว่าไต้ซือท่านนี้คือพระธิดาเมืองซิ่นหลินกั๊ว เกิดในราชสำนักแท้ๆ
แต่ไม่ถูกยศฐาบรรดาศักดิ์ครอบงำ ตั้งใจศรัทธาบำเพ็ญเพียร สุดแสนจะลำบาก
ก็ยังไม่เปลี่ยนใจ สิ่งนี้พบเห็นได้น้อยมากจากอดีตถึงปัจจุบัน
วันข้างหน้าย่อมสำเร็จมรรคผลแน่ๆ โดยไม่ต้องสงสัย แต่รองเท้าถูกคนป่าแย่งไปแล้ว
ระยะทางไปเขาซวีหนีซันยังอีกไกลนับพันลี้
ระหว่างทางไม่มีรองเท้าใส่และเปลี่ยนก็ไม่ได้ ขอให้ท่านทั้งสามพักอีกสักวันสองวัน
รอให้กล้ากระหม่อมออกคำสั่งใหคนในหมู่บ้านช่วยทำรองเท้าถวาย
จะได้ไม่ต้องเสด็จเท้าเปล่า
ไต้ซือเมี่ยวส้านยกมือขึ้นไหว้แล้วตรัสว่า
ขอบคุณท่านผู้ใหญ่ที่หวังดี ภิกษุณีน้อยขอน้อมรับไว้แต่ใจ ไม่กล้ารับรองเท้าของทาน
ท่านผู้ใหญ่ไม่ต้องลำบากซุนเต๋อจึงพูดว่า นี่ก็แปลก
ผู้ออกบวชมักรับบิณฑบาตจากผู้อื่นรองเท้าเพียงไม่กี่คู่จะเป็นไรทำไม่รับ
ไต้ซือเมี่ยวส้านทรงตอบว่าท่านผู้ใหญ่ไม่รู้อะไรหมด
ผู้ออกบวชรับบิณฑบาตจากคนอื่นถูกแล้วแต่การรับประทานอาหารสักมื้อหนึ่งก็ถูกกำหนดไว้แล้ว
พุทธธรรมมีเหตุสัมพันธ์กัน เอาเกินไปไม่ได้
ครั้งก่อนมีโทษถูกสั่งทำรองเท้าสานก็เป็นการสร้างเหตุอย่างหนึ่ง
คราวนี้ก็เพราะรองเท้าสานจึงรอดตัวมาได้จึงเป็นการรับผล เหตุและผลจะคู่กัน
รองเท้าสานกับอาตมาเป็นธรรมสัมพันธ์กัน
บัดนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว ตอนนี้ไม่ควรสร้างเหตุอีก
เพราะรองเท้าที่บุญคุณช่วยให้รอดชีวิตจึงไม่ยอมใส่อีกถ้าหากไม่เคารพผู้มีพระคุณแล้วกลับไปดูถูกเหยียบย่ำอีก
ใต้หล้านี้มีเหตุผลนี้ไหม รองเท้าแม้จะเทียบคนไม่ได้แต่เหตุผลทำนองเดียวกัน
เพราะฉะนั้นอาตมาจากนี้เป็นต้นไปยินยอมเดินเท้าเปล่าจะไม่ยอมใส่รองเท้าอีก
ยิ่งตอนนี้ก็มีช้างให้ขี่แล้ว เท้าเปล่าก็ไม่ลำบากแต่อย่างไร
เพราะฉะนั้นท่านผู้ใหญ่ไม่ต้องลำบากเหนื่อยยากเลย
เมื่อผู้ใหญ่ซุนเต๋อได้ฟังแล้วรู้สึกยกย่อมยิ่งขึ้นเลย ไม่คะยั้นคะยออีก
จึงสั่งให้ลูกน้องไปเตรียมอาการเจมาถวาย เรื่องรองเท้าก็เป็นอันว่าแล้วไป
ทั้งสามคนจึงค้างแรมที่บ้านผู้ใหญ่ซุนเต๋อ
วันรุ่งขึ้นเมื่อเสร็จจากอาหารเช้าแล้ว
ก็ถามทางไปภูเขาชวีหนีซันแล้วอำลาเจ้าบ้าน ผู้ใหญ่นำลูกบ้านออกมาส่งถึงนอกหมู่บ้าน
ไต้ซือเมี่ยวส้านยกมือขึ้นไหว้อำลาทุกๆ คนแล้วทรงขึ้นประทับบนหลังช้าง
มีอุปถัมภ์และหย่งเหลียนก็เดินเคียงข้างมุ่งหน้าไปทางเหนือ
ตั้งแต่เช้าจรดเที่ยงเดินทางมาได้ระยะประมาณสามสิบลี้
เป็นทะเลทรายเวิ้งว้างไม่เพียงไม่พบเห็นผู้คน แม้แต่ต้นไม้ใบหญ้าก็เห็น
มันเวิ้งว้างไร้ขอบเขตมีแต่ฟ้ากับทรายเท่านั้น หย่งเหลียนเอ่ยขึ้น
ทางข้างหน้าสุดลูกหูลูกตา ข้างหน้ามองไม่เห็นสถานที่พอจะพักพิงได้เลย
เราเดินทางตั้งแต่เช้าจนพระอาทิตย์ตกดินได้ระยะทางไม่เกินห้าสิบลี้เท่านั้น
คืนนี้จะค้างแรมกันอย่างไร ไต้ซือเมี่ยวส้านตรัสว่า เธออย่าเพิ่งกังวล
เมื่อทางข้างหน้ายังไปได้ก็ไป
เดินได้หนึ่งก้าวก็ไปหนึ่งก้าวจนกว่าพระอาทิตย์จะตกดิน
เมื่อไม่มีสถานที่จะพักก็ค้างคืนกันในทะเลทรายนี่แหละตอนนี้ตีโพยตีพายไปก่อนไข้ก็ไม่มีประโยชน์
ไม่ใช่ว่าเราตีตนไปก่อนไข้แล้วก็จะมีสถานที่ปรากฏกออกมาให้เห็นได้
หย่งเหลียนฟังแล้วก็ไม่มีอะไรจะพูดต่อไปอีก สามคนกับช้างหนึ่งเชือก
เดินมุ่งหน้าต่อไปอย่างเงียบสงบ ไม่มีการพูดคุยกันอีกจนตะวันจะตกดินแล้ว
ก็ยังไม่มีป่าเขาหรือหมู่บ้านเลย ไต้ซือเมี่ยวส้านนั่งอยู่บนหลังช้าง
ใช้ตาปัญญามองไปข้างหน้า เห็นถัดไปอีกหลายลี้ ดูเหมือนจะมีผู้คนและสัตว์เลี้ยง
ถึงจะรู้ว่าเป็นพวกเร่รอนเลี้ยงสัตว์ก็ยังดีจึงตรัสว่า ดีแล้ว ! ดีแล้ว!
พวกเธอลองดูซิว่าข้างหน้ามีกลุ่มเร่รอนเลี้ยงสัตว์ไช่ไหม
เรารีบสาวเท้าเดินอีกหน่อยก็จะได้พึ่งพิงพวกเขาได้
เนื่องจากระยะทางยังห่างไกลเกินไป
ทั้งยังแม่อุปถัมภ์และหย่งเหลียนจึงมองไม่เห็นอะไร
เมื่อเดินไปได้อีกระยะหนึ่งจึงคอยมองเห็นวี่แวว ต่อมายิ่งใกล้เข้าไปทุกที
จึงมองเห็นกระโจมผู้คนและสัตว์เลี้ยงทั้งสามรู้สึกดีใจมากเมื่อเข้าไปใกล้ฟ้าก็เริ่มมืดสลัวแล้วไต้ซือเมี่ยวส้านกระโดดลงจากหลังช้างแล้ววิ่งไปปะหน้าคนหนึ่งที่ท่าทางจะเป็นหัวหน้าแล้วยกมือขึ้นไหว้
อธิบายถึงความเป็นมาไห้รู้บังเอิญคนพวกนี้เป็นชนเผ่าเจียลาที่อยู่ทางตะวันออกของประเทศซิ่นหลินกั๊ว
พวกเขาอาศัยไม่เป็นหลักแหล่งเที่ยวเร่รอนเลี้ยงสัตว์เพื่อดำรงชีพ
เมื่อได้ฟังวาจาจากไต้ซือเมี่ยวส้านแล้ว
รู้ว่าเป็นบุคคลระดับเจ้านายจึงให้ความเคารพ
เชื้อเชิญคนทั้งสามเข้าไปในกระโจมแล้วนั่งลงกับพื้น
ส่วนช้างเผือกก็หมอบเฝ้าอยู่นอกกระโจมนั้นชาวเจียลาหมู่นี้มีความเคารพต่อบุคคลทั้งสามมาก
เมื่อเรื่องราวได้แพร่กระจายไปแล้ว
ก็มีคนเอาน้ำสะอาดมาให้หนึ่งโถและเนื้อวัวจานใหญ่หนึ่งจาน
เพิ่ให้บุคคลทั้งสามรับประทานอันเป็นความหวังดีของพวกเขา
แต่บุคคลทั้งสามไม่รับประทานแม้แต่สัตว์เล็กๆนับประสาอะไรกับสัตว์ใหญ่เช่นแพะวัวเป็นต้น
ไต้ซือเมี่ยวส้านเห็นเข้าถึงกับตรัสว่า บาปกรรม!
จึงกล่าวขอบคุณคนที่นำเข้ามาแล้วตรัสว่า
อาตามาตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยรับเนื้อสัตว์เนื้อวัวเหล่านี้โปรดเก็บออกไปไวๆ
เอาไปรับประทานกันเองก็แล้วกัน อาตามาขอรบกวนน้ำสะอาดแค่ถ้วยเดียวก็พอแล้ว
หัวหน้าเผ่าทูลว่า ท่านเดินทางมาตลอดวันแล้ว คงต้องหิวกันแล้ว
ที่นี่มีแต่เนื้ออย่างเดียว
อย่างอื่นไม่มีอะไรให้รับประทานจะทำอย่างไรดี หย่งเหลียนตอบว่า ไม่เป็นไรหรอก
ผู้ใหญ่ซุ่นได้ให้โรตีแห้งมาถุงหนึ่งสามารถรับประทานได้หลายมือเซี่ยวละ!
ไต้ซือเมี่ยวส้านตรัสถามว่า ให้เธอตั้งแต่ตอนไหน ทำไมฉันจึงไม่รู้ หย่งเหลียนทูลว่า
ก่อนจะออกจากหมู่บ้าน หม่อมฉันกกลัวว่าท่านไต้ซือรู้แล้วก็จะไม่รับ
จึงรับเก็บมาไว้เอง คิดว่าเตรียมไว้เมื่อถึงคราวจำเป็น คิดไม่ถึงว่าตอนนี้ก็ได้แล้ว
ไต้ซือเมี่ยวส้านตรัสว่า ทำไมเธอไม่บอกฉันแต่แรกล่ะฉันจะได้ขอบใจผู้ใหญ่ซุน
หย่งเหลียนทูลว่า หม่อมฉันได้ขอบใจแทนไต้ซือไปแล้ว
ทั้งสามรับประทานไปพลางก็คุยกันไปพลางเมื่อรับประทานโรตีแล้วดื่มน้ำตามไปอีกหน่อยก็ทำให้ลำคอชุ่มชื่นดีขณะนั้นภายในกระโจมมืดแล้วมีตะเกียงไฟ
แสงสลัวๆ
จากดวงจันทร์ที่ส่องผ่านรูขาดของกระโจมเข้ามาจะเห็นทั้งสามคนกำลังเข้าฌานอยู่
เช้าวันรุ่งขึ้น
ทั้งสามก็แยกออกจากพวกเจียลามุ่งหน้าสู่ทางทิศเหนือ พอค่ำลงก็นอนพัก
เป็นอยู่เช่นนี้ไปอีกหายวันโดยสวัสดิภาพจนกระทั่งวันหนึ่งก็เดินทางถึงภูเขาลูกใหญ่
ห่างจากภูเขาไม่ไกลนัก
มีหมู่บ้านแห่งหนึ่งมีครัวเรือนกว่าร้อยหลังคาเวลาใกล้ค่ำแล้วทั้งสามคนจึ่งมุ่งหน้าสู่บ้านนั้น
โดยไม่คาดคิดก็เกิดเหตุการณ์ขึ้น นั่นคือ ทางไปซวีหนีซัน
อุปสรรคยังไม่หมด
» ถวายสุราศาลาเย็น ไข่มุกเด่นสู่ครรภ์ในฝัน
» หาว่าผู้เฒ่าพูดปดว่าพระเมตตา ธิดาน้อยหยุดกันแสงฟังโฉลก
» คิดยกราชบัลลังก์ เห็นมดต่อสู้กันเกิดจิตเมตตา
» ช่วยเหลือจักจั่นจนบาดเจ็บ ใครรักษาแผนเป็นหายมีรางวัล
» แพทย์สามัญไร้โอสถดี ผู้วิเศษกล่าวถึงบัวหิมะ
» เสาะหาบัวบานบนเขาซวีหนีซัน มเหสีเป่าเต๋อทรงประชวร
» โศลกทิ้งเงื่อนงำ เห็นการเกิดตายแจ้งในสัจธรรม
» ปีตินิมิตเห็นพุทธเจ้า ขัดรับสั่งพระบิดาโทษดูแลอุทยาน
» แสดงธรรมหน้าโต๊ะเสวย ถูกขับรับงานหนักโรงครัว
» นางกำนัลซาบซึ้งในความศรัทธา จึงอาสาช่วยงานตรากตรำ
» ปณิธานย่อมเป็นทาสรับใช้ความศรัทธามั่นทำให้เสด็จพ่อกลับใจ
» กำหนดฤกษ์บูรณะวัดจินกวงหมิง ได้ฤกษ์ออกเดินทางสู่เขาเยโหม่ว
» มีดทดสอบตัดหกอายตนะ สู่ศูนย์ตาเพ่งไตรภูมิในความเงียบ
» ในสมาธิเกิดปีติมารเข้าแทรก เข้าสมาธิบัวขาวบานกลางใจ
» เดินทางสู่ภูเขาซวีหนีซัน โปรยข้าวเปลือกผ่านเขาจ้าวอีกา
» พบผู้ใจดีชี้ทางให้ หลงใหลธรรมชาติเกิดเรื่องขึ้น
» ไต้ซือถูกจับที่ภูเขาจินหลุน ผู้ร่วมทางตัดสินใจไปช่วยเหลือ
» คนป่าแย่งรองเท้าสานไป อริยสงฆ์รูปหนึ่งทรงช้างเผือกมา
» ไต้ซือเดินทางด้วยเท้าเปล่า ชนเผ่าเจียลาเลี้ยงสัตว์ในทะเลทราย
» มีกรรมสัมพันธ์กับบ้านหลู่ ข้าวเหนียวช่วยรักษาโรค
» ปราบเสือร้ายเทียนหม่าฟง ที่เมืองหลิวหลีเห็นทางสว่าง
» สู่ยอดเขางูกลืนช้าง สู่ภาพมายาเจ้าโจมตี
» เจอะหมีขาวแกล้งนอนตาย ให้ลิงเลียนแบบเดินแล้วไหว้
» สู่สันเขารู้กระจ่างแจ้ง คุยถึงเรื่องที่ผ่านมาเด็กซนทำเรื่อง
» ผ่านความทุกข์ลำบากมานับพันหมื่นสำเร็จธรรมถูกตีกระหม่อมทะลุสหโลกธาตุ