ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ บุคคลสำคัญ ประเทศและทวีป >>
เกาหลี (KOREA)
วัฒนธรรมและศิลปะ
เกาหลีเป็นชาติบนคาบสมุทรที่ได้พัฒนาลักษณะที่เฉพาะตัวหลายอย่างของประชาชนอันเนื่องมาจากลักษณะพิเศษทางภูมิประเทศ
มหาสมุทรและภาคพื้นทวีปที่ลาดเอียงประกอบกันเป็นพื้นฐานให้เกิดการสร้างเอกลักษณ์ของประชาชน
ซึ่งเป็นรากฐานของวัฒนธรรมและศิลปะของประเทศ
การเป็นคาบสมุทรยังมีส่วนทำให้สภาพทางวัฒนธรรมที่แวดล้อมทั้งภายนอกและศูนย์กลาง
จากมุมมองภายนอกที่วัฒนธรรมแบบภาคพื้นทวีปซึ่งหลั่งไหลเข้าสู่คาบสมุทร
ในขณะที่ปัจจัยของวัฒนธรรมในศูนย์กลางมีผลมาจากวัฒนธรรมภายนอกที่แผ่ขยายเข้ามาและทำให้มีการปรับเปลี่ยนเป็นการสร้างศูนย์กลางใหม่ขึ้นมา
ภายใต้อิทธิพลของสภาพภูมิประเทศ ชาวเกาหลีได้พัฒนาความรักในสันติภาพ
นอกเหนือไปจากบุคลิกภาพที่ไม่อยู่นิ่งยังทำให้เกิดการคิดสร้างสรรค์อย่างพิจารณาโดยการไต่ตรอง
การมองโลกในแง่ดียังทำให้เกิดวัฒนธรรมที่เต็มไปด้วยความรู้สึกทางอารมณ์ วิจิตรศิลป์
ประติมากรรมของเกาหลีที่เก่าแก่ที่สุดเป็นที่รู้จักกัน คือ
หินแกะสลักบนหน้าผาริมฝั่งแม่น้ำ ที่ชื่อว่า บันกูแด ในอุลซัน
เครื่องปั้น กระดูกและหินรูปคนและสัตว์ ได้ขุดค้นพบในส่วนต่าง ๆ
ของประเทศในที่ตั้งหมู่บ้านยุคหินใหม่
เครื่องดินเผารูปแบบคลื่นซึ่งเป็นรูปแบบของศิลปะในยุคนี้ซึ่งถูกแทนที่ด้วยลวดลายแบบเส้นโค้ง
และเริ่มมีการเกษตร
สิ่งของจากยุคก่อนประวัติศาสตร์บางชิ้นที่พบในเกาหลีมีศิลปะแบบนามธรรม
สันนิษฐานได้ว่าเป็นการสร้างสรรค์เพื่อจุดประสงค์ด้านศาสนา
มีการทำวัตถุสำริดหลายชนิด
แต่ธรรมเนียมแบบยุคหินใหม่ยังคงอยู่และศิลปะในยุคนี้มีความเกี่ยวข้องกับศาสนาอย่างใกล้ชิด
ระหว่างยุคสามอาณาจักร เมื่อระบบสังคมเปลี่ยนแปลง
ศิลปะเกาหลีดูเรียบง่ายและแข็งแรง อย่างไรก็ตาม
ความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา
ทำให้ศิลปะมีความงดงามด้วยเนื้อหาและเทคนิคทั้งสามอาณาจักรมีความศรัทธาอย่างแรงกล้าในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา
งานประติมากรรมสมัยโกกุริว (37 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ค.ศ.688) สมัยแบกเจ (18
ปีก่อนคริสตศักราช ค.ศ.660) และสมัยชิลลา (57 ปีก่อนคริสต์ศักราช ค.ศ.935)
ซึ่งจะเห็นได้จากรพระพุทธรูปตัวอย่างที่สำคัญของยุคโกกุริว คือ
พระตถาคตเจ้าเป็นพระพุทธรูปยืนสำริดปิดทอง
และพระพุทธรูปเมตรัยเป็นพระพุทธรูปสำริดปิดทองเช่นเดียวกันในอิริยาบถนั่งสมาธิทั้งสองอย่างนี้งดงามด้วยพระพักตร์มีรอยยิ้มเปี่ยมด้วยความเมตตา
ส่วนประติมากรรมของแบกเจ เช่น
พระพุทธรูปศิลาที่แกะสลักบนหน้าผาที่ซิวซัน
พระพักตร์มีรอยยิ้มเป็นองค์ประกอบสำคัญของศิลปะแบกเจ
ถึงแม้ว่าเทคนิคในงานศิลปะแบบเหมือนจริงของศิลปะยุครวมชิลลาซึ่งมีความสามัคคีปรองดองด้านการเมืองในสังคม
ระหว่างยุคนี้ศิลปะโลหะได้รับการสนับสนุนจากรัฐอย่างดียิ่ง
หลุมศพของพวกขุนนางของชิลลา
นักโบราณคดียังได้พบสิ่งของที่มีค่าจำพวกเครื่องทองของกษัตริย์และราชินี
รวมทั้งมงกุฎ ต่างหู สร้อยคอ และเข็มขัด
มงกุฎทองเป็นเครื่องพิสูจน์ความสามารถในทางศิลปะอย่างยอดเยี่ยม
ซึ่งมีการแกะสลักลายเส้นประดับประด้วยรูปทรงส่วนคล้ายต้นไม้บนมงกุฎ
ส่วนที่ห้อยย้อยลงมาทำด้วยทองคั่นด้วยหยก
รูปหยดน้ำเป็นสายงดงามรวมถึงตั่งหูที่มีการผสมผสานลวดลายอย่างประณีตและงามยิ่ง
นอกจากนี้ช่างฝีมือในยุคซิลลายังมีฝีมือในการสร้างระฆังในวัด
ระฆังสำริดเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี มีการออกแบบสวยงาม
เสียงดังกังวานและขนาดใหญ่น่าทึ่ง ปลายศตวรรษที่ 8
ระฆังของพระเจ้าเซียงดอกหรือระฆังเอมิลเล
เป็นระฆังที่มีชื่อเสียงและมีขนาดใหญ่ที่สุดในเกาหลี
เป็นปฏิมากรรมทรงดอกบัวประดับด้วยรูปดอกไม้ลายเปลวเพลิง และเทพธิดาจากสวรรค์
ความสามารถในเชิงศิลปะในยุคโกคูรยอ (ช่วง 918 1392)
ได้พัฒนาการทำเครื่องเคลือบศิลาดลเจริญถึงขีดสุด
ด้วยสีสันที่สวยงามโดยเฉพาะสีเขียวหยก และสิ่งของต่าง ๆ ได้แก่ โถ
เหยือกใส่ไวน์ จาน ถ้วย ภาชนะเผาเครื่องหอม และแจกันดอกไม้
รวมทั้งมีเครื่องประดับที่งดงามด้วยการแกะสลักนูน ฝังด้วยมุกหรือโลหะ
จากศิลาดลเหล่านี้ผลิตขึ้นระหว่างศตวรรษที่ 12 และ 13
ใช้สำหรับชื่นชมมากกว่าที่จะนำมาใช้สอย
อาจกล่าวได้ว่าศิลาดลนี้ทำขึ้นด้วยจิตวิญญาณนอกเหนือจากชีวิตจริง
เทคนิคการทำศิลาดลมาจากราชวงศ์ซ้องของจีนในยุคโกคูรยอ (ช่วง 960 1279 )
แต่อิทธิพลของจีนได้สูญหายไปในช่วงแรกของศตวรรษที่ 12
ภายหลังชาวเกาหลีได้ประดิษฐ์คิดค้นจนมีความงดงาม
รวมถึงเทคนิคการฝังมุกหรือโลหะ และการแกะสลักลวดลายลงในเนื้อดินเหนียว
แล้วใช้สีดำและสีขาวเติมลงไปในร่องเล็กตามเส้นลวดลาย
วัตถุที่เกินจะถูกขูดออกมาก่อนนำไปเผา
การออกแบบเหล่านี้ประยุกต์จากวิธีการง่าย ๆ และมีข้อจำกัดในระยะแรก
เป็นผลทำให้ได้ภาชนะศิลาดลที่มีลักษณะบางและสวยงาม แต่ปลายศตวรรษที่ 13
การออกแบบใช้ลวดลายที่นิยมกัน แต่ไม่พิถีพิถัน
ต่อมาการออกแบบลวดลายหยาบขึ้นหลังจากการรุกรานของมองโกล
ทักษะการทำศิลาดลหายไปในศตวรรษที่ 14
แต่ได้มีการนำกลับมาทำใหม่โดยช่างฝีมือรุ่นปัจจุบัน
ซึ่งได้อุทิศตนและแรงงานเพื่อฟื้นฟูศิลปะการทำชองจา
ซึ่งเป็นศิลาดลสีฟ้าเขียวแบบโกคูรยอ ได้พัฒนาเป็น
เครื่องลายครามสีขาวของโชซอน ศิลปินเครื่องปั้นดินเผาของโชซอน
เริ่มทำเครื่องปั้นดินเผาบุนชอง
ซึ่งเป็นภาชนะกระเบื้องเคลือบสีเทาปนเขียวสอดลายขาวต่อมาได้พัฒนาเป็นเครื่องลายครามสีขาว
สังคมในสมัยโชซอนได้รับอิทธิพลสำคัญจากลัทธิขงจื้อการเปลี่ยนแปลงจากการปกครองโดยชนชั้นสูงที่เป็นแบบตามสบายในสมัยโกคูรยอสู่การมีแนวคิดทางสังคมของลัทธิขงจื้ออย่างจริงจัง
สะท้อนภาพให้เห็นในศิลปะกระเบื้องเคลือบในสมัยนั้น
เครื่องลายครามสีขาวที่วาดลวดลายอย่างเรียบง่ายจะมีรูปทรงโค้งมากกว่าเครื่องเคลือบศิลาดลของยุคโกคูรยอ
ในสมัยโชซอน เตาเผาอยู่ในความควบคุมของรัฐบาล รวมทั้งการผลิต
เครื่องลายครามสีขาวจะเขียนลายสีฟ้า ปกติจะเป็นลายซาคุนจา
(ต้นไม้สี่ชนิดตามความนิยมและสัญลักษณ์ทางศิลปะ) ได้แก่ ดอกพลัม
กล้วยไม้ เบญจมาศและต้นไผ่ นอกจากนี้ออกแบบลวดลายเป็นรูปดอกบัว
และต้นหญ้าในฤดูใบไม้ร่วง ขณะนี้มีการศึกษาวิจัยเครื่องลายครามของโชซอน
และมีการนำกลับมาใช้อีกครั้ง ถือเป็นผลดีแก่ศิลปินเครื่องปั้นดินเผาปัจจุบัน
ช่วงทำเครื่องลายครามพยายามนำศิลปะในสมัยก่อนมาใช้ ซึ่งเห็นได้ที่เมืองอินชอน
เมืองเล็ก ๆ ห่างจากกรุงโซล ใช้เวลาเดินทางประมาณหนึ่งชั่วโมง
สถาปัตยกรรมของเกาหลีสามารถแบ่งได้สองแบบหลัก ๆ ตามรูปแบบ คือ
การออกแบบที่ใช้ในพระราชวังและวัด สถาปนิกเกาหลีโบราณจะใช้ระบบเสาและคาน
ส่วนบ้านทั่วไปจะใช้ฟางหรือหญ้ามุงหลังคา และมีออนดอล
เป็นการทำความร้อนที่พื้น
คนชั้นสูงมักสร้างบ้านหลังใหญ่และมุงหลังคาด้วยกระเบื้องมุงเป็นรูปโค้งอย่างงดงามและรับน้ำหนักด้วยชายคาที่ลาดและซ้อนขึ้นไปเล็กน้อย
สถาปนิกที่จะคำนึงการประสานโครงสร้างสิ่งก่อสร้างกับธรรมชาติแวดล้อม
การออกแบบของสถาปนิกโบราณ มักจะออกแบบอาคารที่มีโครงสร้างเป็นไม้
มัวยังซูชอน (ศาลาแห่งชีวิตที่ไม่มีความตาย) อยู่ที่วัดบุกกุกซา ในยองจู
จังหวัดเกียงซังบุก-โด อาจคาดได้ว่าสร้างขึ้นใน ศตวรรษที่ 13
สถาปัตยกรรมแบบตะวันตก เช่น
โบสถ์และอาคารสำนักงานสำหรับสถานทูตของต่างชาติ
เริ่มเข้าสู่เกาหลีตอนปลายศตวรรษที่ 19 สร้างโดยสถาปนิก
และวิศวกรจากต่างประเทศ ตั้งแต่ทศวรรษ 1960
เกาหลีเริ่มเป็นประเทศอุตสาหกรรม และมีความเป็นเมือง
รัฐบาลดำเนินงานตามแผนพัฒนา
มีอาคารเก่าที่สวยงามจำนวนมากถูกรื้อถอนและถูกแทนที่ด้วยสิ่งก่อสร้างอื่น
อย่างไรก็ตามเมื่อเร็ว ๆ นี้
มีการประชุมโดยพิจารณาแนวคิดที่จะประสานโครงสร้างของสิ่งก่อสร้างให้กลมกลืนกับธรรมชาติแวดล้อมกลับมาใช้อีกครั้ง
ยุคสามก๊ก
ยุคอาณานิคมของญี่ปุ่นและสงครามโลก
การแบ่งแยกประเทศ
วัฒนธรรมและศิลปะ
วรรณกรรม
จิตรกรรม
ดนตรีและนาฏศิลป์
ละครและภาพยนตร์
พิพิธภัณฑ์และโรงละคร