ความรู้ทั่วไป สารนิเทศ การศึกษา คอมพิวเตอร์ >>
กุบไลข่าน
(พ.ศ.1759 - 1837)
ตามพงศาวดารจีนมีพระนามว่า ง่วนสีโจ๊ฮ่องเต้ เป็นประมุขชาวมองโกล
ต่อมาได้เป็นกษัตริย์ของจีนองค์แรก แห่งราชวงศ์หงวน เป็นพระนัดดาของเจงกิสข่าน
ประมุขชาวมองโกลผู้มีชื่อเสียงในการรบ ในขั้นแรกกุบไลข่าน
ได้เลือกชัยภูมิสำหรับสร้างเมืองใหม่ แทนเมืองการาโกรัม ซึ่งเป็นเมืองหลวงเดิม
และได้กำหนดเอาบริเวณทางตะวันออกเฉียงเหนือ ของเมืองโบราณชื่อ เยนกิง ในปี พ.ศ.1807
แล้วเสร็จในปี พ.ศ.1810 ให้ชื่อว่า นครไถ่ตู แปลว่า ราชสำนักใหญ่
ปัจจุบันเมืองนี้เป็นส่วนหนึ่งของกรุงปักกิ่ง ยังคงมีซากกำแพงโบราณปรากฎอยู่
เมื่อสร้างเมืองหลวงแล้ว ได้ทำสงครามกับราชวงศ์ซ้อง ของจีนตอนใต้ขึ้นในปี พ.ศ.1811 ใช้เวลา 8 ปี ก็ปราบได้สำเร็จ มีผลให้พระองค์ได้ครอบครองดินแดนของจีนทั้งหมด รวมทั้งอาณาจักรไทยน่านเจ้าด้วย ชื่อเสียงของกุบไลข่านแพร่หลายออกไป จนจดพรมแดนของยุโรป มีชาวต่างชาติจากดินแดนต่าง ๆ เช่น จากเตอร์กิสถาน เปอร์เซีย อาร์เมเนีย ไบแซนไตน์ และเวนิส เดินทางเข้ามายังราชสำนักของพระองค์เพื่อรับราชการเป็นนายทหาร ข้าหลวง ทูตตลอดจนแพทย์ และนักดาราศาสตร์ ผู้ที่มีชื่อเสียงมากคือ มาโคโปโล ซึ่งเดินทางจากเมืองเวนิสมายังราชสำนักของกุบไลข่าน เมื่อปี พ.ศ.1803 จากคำบอกเล่าของมาโคโปโล เมื่อเขากลับไปยุโรป ทำให้ชาวยุโรปสมัยนั้นได้ทราบความเป็นไปเกี่ยวกับประเทศจีน
กุบไลข่านประสงค์จะแสวงหาลัทธิศาสนาสำหรับชนชาติต่าง ๆ ที่อยู่ในราชสำนักเพื่อประโยชน์ในการปกครอง ได้เชิญผู้แทนในลัทธิลามะ คริสต์ มะหะหมัด (อิสลาม) และลัทธิอื่น ๆ ไปแสดงหลักสำคัญในลัทธิต่อหน้าพระที่นั่ง ในที่สุดได้เลือกลัทธิลามะว่ามีความเหมาะสมกว่าลัทธิอื่น และพระองค์ก็นับถือพระพุทธศาสนา (ลัทธิลามะ) มีการสร้างวัดลามะขึ้นในประเทศมองโกเลียหลายวัด ได้สร้างวัดขนาดใหญ่ในกรุงปักกิ่งขึ้นวัดหนึ่ง ให้ประมุขของลัทธิลามะเป็นผู้ปกครองธิเบต อย่างเมืองออกอีกตำแหน่งหนึ่ง และเป็นผู้ทำพิธีอภิเษกให้แก่พระเจ้าแผ่นดินจีน
>>> กลับหน้าหลัก สารานุกรมไทย >>>