ปรัชญา อภิปรัชญา ญาณวิทยา จิตวิทยา ตรรกศาสตร์ >>
สุนทรียศาสตร์อินเดีย
รศ. สมเกียรติ ตั้งนโม (โครงการจัดตั้ง ACT: Art Criticism & Theory)
คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
รส-ธวานิ (rasa-dhvani) หรือข้อเสนอแนะเชิงบทกวี
วัตถุประสงค์ขั้นต้นของคัมภีร์นี้
เพื่อกลั่นกรองแนวคิดทางวรรณคดีเกี่ยวกับธวานิ (dhvani) หรือข้อเสนอแนะเชิงบทกวี
โดยให้เหตุผลถึงการดำรงอยู่ของรส-ธวานิ (rasa-dhvani), เริ่มต้นในรูปแบบต่างๆ
ของภาษาสันสกฤต ประกอบด้วย: คำ, ประโยค, หรือทั้งหมดของผลงาน นำเสนอ
ถึงภาวะหรือ bhava ทางอารมณ์ความรู้สึกของโลกที่เป็นจริง,
ระยะห่างทางสุนทรีย์(aesthetic distance),
ผู้รับที่มีอารมณ์อ่อนไหว(เข้าถึง),ความเอร็ดอร่อยเกี่ยวกับรส,
รสชาติทางสุนทรีย์เกี่ยวกับโศกนาฏกรรม, เรื่องวีรบุรุษ, เรื่องของความรัก
ในศตวรรษที่ 9-10 ปรมาจารย์ทางด้านศาสนาที่ถูกรู้จักในฐานะ
"the nondual Shaivism of Kashmir" [อทวินิยมไศวะนิกายของแคชเมียร์] (or "Kashmir
Shaivism" ลัทธิไศวะนิกายแคชเมียร์ / นับถือพระนารายญ์หรือพระวิษณุ)
และนักสุนทรียศาสตร์, อภินวคุปตะ (Abhinavagupta) (อภินวคุปตะ) (*)
ได้ผลักดันทฤษฎีเกี่ยวกับเรื่องรสไปสู่จุดสุดยอดของมันในการแสดงข้อคิดเห็นต่างๆ
ที่แยกๆ กันของเขาใน the Dhvanyaloka, the Dhvanyaloka-locana (translated by
Ingalls, Masson and Patwardhan, 1992) และ the Abhinavabharati (อภินวภารตี),
ข้อคิดของเขาเกี่ยวกับนาฏยศาสตร์ บางส่วนที่ได้รับการแปลโดย Gnoli และ Masson และ
Patwardhan.
(*) Abhinavagupta (approx. 950 - 1020 AD) was one of
India's greatest philosophers, mystics and aestheticians. He was also considered
an important musician, poet, dramatist, exeget, theologian, and logician - a
polymathic personality who exercised strong influences on Indian culture.
He was born in the Valley of Kashmir in a family of
scholars and mystics and studied all the schools of philosophy and art of his
time under the guidance of as many as fifteen (or more) teachers and gurus. In
his long life he completed over 35 works, the largest and most famous of which
is Tantriloka, an encyclopedic treatise on all the philosophical and practical
aspects of Trika and Kaula (known today as Kashmir Shaivism). Another one of his
very important contributions was in the field of philosophy of aesthetics with
his famous Abhinavabharati commentary of Natyasastra of Bharata Muni.
Abhinavagupta (อภินวคุปตะ)
ได้ให้คำนิยามในเชิงเทคนิคขึ้นมาเป็นครั้งแรกเกี่ยวกับรส
ซึ่งคือความสุขสุดยอดที่เป็นสากลเกี่ยวกับตัวตนหรืออาตมัน (the Self or Atman)
ถูกให้สีสันโดยระดับทางอารมณ์ของการละคร. สันติรส (Shanta-rasa)
ทำหน้าที่ในฐานะที่เป็นสมาชิกที่เท่าเทียมกันอันหนึ่งเกี่ยวกับชุดของรสต่างๆ
แต่ในเวลาเดียวกันก็มีความแตกต่างจากรูปแบบที่ชัดเจนที่สุดของความสุขสุดยอดทางสุนทรีย์
Abhinavagupta (อภินวคุปตะ) เปรียบสันติรสเสมือนสายสร้อยของอัญมณี
ขณะเดียวกันมันอาจไม่เป็นที่ดึงดูดใจสำหรับคนส่วนใหญ่.
มันเป็นสายสร้อยที่ให้รูปทรงของสร้อยคอ
ยินยอมให้อัญมณีแห่งรสทั้งแปดได้รับความเพลิดเพลิน. ความเอร็ดอร่อยในรสชาติต่างๆ
และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสันติรสได้ถูกแย้มนัยในฐานะภาวะที่ดี
แต่ไม่เคยเท่าเทียมกับความสุขสุดยอดเกี่ยวกับประสบการณ์ของบรรดาโยคีที่มีต่อการตระหนักในตัวตนสูงสุด
(the bliss of Self-realization experienced by yogis.)
ระสะ : รสชาติทางอารมณ์ความรู้สึกที่ฝังอยู่ในผลงานศิลปะ
นาฎยศาสตร์: คัมภีร์พระเวทอันดับห้า (ยุคเสื่อม)
ทฤษฎีรส พัฒนาขึ้นโดยนักสนุทรียศาสตร์แคชเมียร์
รส-ธวานิหรือข้อเสนอแนะเชิงบทกวี
ความสำคัญของรส ศูนย์กลางเกี่ยวกับประสบการณ์ของมนุษย์
แนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับกามะ-กาม
นาฏยศาสตร์ของภารตะมุนี และในคัมภีร์อุปนิษัท