วิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา >>
สภาวะโลกร้อนกับความพร้อมของสังคมไทย
ระพี สาคริก
การเขียนบทความเรื่อง
สภาวะโลกร้อนกับความพร้อมของสังคมไทย ในครั้งนี้ มีเหตุสืบเนื่องมาจากการที่
สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจ จะได้จัดให้มีการประชุมสัมมนาขึ้นในวันที่ 28 กันยายน
และได้ให้เกียรติเชิญฉันมาปาฐกถา
ซึ่งแท้จริงแล้วสำหรับตัวฉันเองอาศัยที่เป็นคนมีนิสัยช่างสังเกต
แม้แต่เรื่องเล็ก ๆที่ผ่านเข้ามาสู่วิถีชีวิตในอดีต
ดังนั้น
การได้รับเชิญครั้งนี้จึงมีผลทำให้ต้องค้นหาความจริงจากอดีตซึ่งเข้าไปฝังอยู่ในรากฐานจิตใจมาโดยตลอด
นอกจากนั้น ตัวฉันเองยังให้ความสำคัญ แม้แต่เรื่องเล็ก ๆ
โดยไม่ดูถูกการตอบรับคำเชิญไปปาฐกถาในครั้งนี้
จึงมีผลทำให้ตัวเองมองเห็นโอกาสที่จะค้นหาความจริงจากใจ อันนับได้ว่า
คือวิถีการเรียนรู้ที่ช่วยให้จิตใจหยั่งรากลงสู่สัจธรรมลึกซึ้งยิ่งขึ้น
ปัจจุบันนี้มีคนพูดถึงเรื่อง สภาวะโลกร้อน
กันกว้างขวางมากขึ้น จากเหตุดังกล่าว
น่าจะมีผลสืบเนื่องมาจากผลกระทบซึ่งทำให้หลายคน
รู้สึกเป็นห่วงการดำรงชีวิตของคนในสังคมเพิ่มมากยิ่งขึ้น
เรื่องนี้ตัวฉันเองมีอายุผ่านพ้นมาถึง 85 ปีแล้ว
ทำให้มีโอกาสรู้สึกได้ถึงสิ่งที่อยู่ในรากฐานคนในสังคมไทยมาแล้วในอดีต
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ฉันเป็นคนมีนิสัยช่างสังเกตและจำเรื่องราวในอดีตได้อย่างแม่นยำ
นอกจากนั้น
อาศัยที่เป็นคนไม่มองข้ามของเล็กซึ่งอยู่บนพื้นดิน หากใช้ข้อมูลลักษณะนี้
ที่ค้นได้จากจิตใจตนเองมาแล้ว
เป็นพื้นฐานการดำเนินชีวิตทำให้เป็นคนมีสติอยู่เสมอ
หวนกลับไปนึกถึงกรุงเทพในอดีต แม้กาลเวลาจะผ่านพ้นมาประมาณ 70ปี
ซึ่งช่วงนั้นมีงานที่โดดเด่นอยู่ในประเพณีของไทยอย่างน้อย 2 งานด้วยกัน
งานหนึ่งได้แก่ งานภูเขาทอง ซึ่งจัดในช่วงเดือนพฤศจิกายน
ส่วนอีกงานหนึ่งคือ งานพระบรมรูปทรงม้า ซึ่งจัดในวันที่ 23 ตุลาคมของทุกปี
โดยเฉพาะทั้งสองงานนี้เด็ก ๆ ชอบไปเที่ยว
เนื่องจากสนใจดอกไม้ไฟที่นำไปจำหน่ายในช่วงนั้น
อนึ่ง
บรรยากาศในงานพระบรมรูปทรงม้าเวลากลางคืนยังต้องสวมเสื้อสักกะหลาด นอกจากนั้น
ยังเป็นโอกาสให้มีการสวมเครื่องแต่งตัวอวดกันระหว่างผู้ใหญ่
บางปีก็มีน้ำท่วมแต่ดู
เหมือนภายในจิตใจคนกรุงเทพแทนที่จะรู้สึกว่าเป็นปัญหากลับสนุกสนานกันอย่างมีอิสระ
เพราะมีโอกาสพายเรือบนพื้นถนน ความจริงแล้ว สภาพที่กล่าวมานี้ก็ค่อย ๆ
เปลี่ยนแปลงมาจนกระทั่งช่วงหลัง ๆ เราแทบจะไม่ได้เห็นบรรยากาศดังกล่าว
โดยเฉพาะบรรยากาศที่ให้ความอบอุ่น
แต่กลับกลายมาเป็นความร้อนซึ่งเข้ามาแทนที่
แต่นิสัยคนไทยส่วนใหญ่มักไม่สนใจศึกษาและสังเกตถึงการเปลี่ยนแปลง
หากกลับรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับชีวิตคนที่มีนิสัยตกอยู่ในความประมาทขาดสติ
อนึ่ง มีหลายต่อหลายคนเห็นหน้าฉันเป็นกล้วยไม้ ไหน ๆ ก็เป็นอย่างนี้แล้ว
ดังนั้นจึงขออนุญาตนำเอาเรื่องกล้วยไม้มาพูด อยู่มาวันหนึ่ง ประมาณช่วงกลาง ๆ
ของชีวิตมันเกิดเรื่องแม้แต่ว่าจะเล็กน้อย
หากคนตกอยู่ในความประมาทมันก็จะนำไปเป็นสู่เรื่องใหญ่ได้ไม่ยาก ขณะนั้น
ฉันปลูกกล้วยไม้พันธุ์ที่มีนิสัยทนทานต่อแสงแดด จนกระทั่ง
สามารถปลูกลงแปลงเอาไว้ในกลางแจ้งได้อย่างเป็นปกติ
ยิ่งกว่านั้นถ้ายิ่งให้แสงแดดจัดให้ดอกดกอีกด้วย
สภาพดังกล่าว
ดูเหมือนจะเป็นธรรมดาของบรรยากาศในกรุงเทพ
จนกระทั่งเขียนลงไว้ในหนังสือเรื่องการเพาะปลูกกล้วยไม้ด้วย วันหนึ่ง
ในขณะที่ฉันนั่งทำงานอยู่ในสำนักงานบริหารของมหาวิทยาลัย
เกษตรศาสตร์ซึ่งติดเครื่องปรับอากาศ
โดยที่ไม่รู้เลยว่าอะไรมันเกิดขึ้นกับบรรยากาศข้างนอก
จนกระทั่งหลังกลับจากทำงานแล้ว ได้ลงมาดูกล้วยไม้ดังกล่าว
ตนจึงสังเกตเห็นใบซึ่งหงายด้านบนขึ้นรับแสงแดดอย่างเป็นปกติและมีลักษณะอวบน้ำ
ซึ่งหมายถึงภายในใบจะมีน้ำมากเป็นพิเศษจนกระทั่งแข็งและเปล่งปลั่ง
ช่วงนั้น
ในแต่ละวันฉันได้สังเกตเห็นใบกล้วยไม้เริ่มสุก เหมือนถูกน้ำร้อนลวก
สภาพการเปลี่ยนแปลงที่กล่าวมาแล้วมันไม่คลาดไปจากสายตาของตัวเองที่จะนำมาคิดแม้จะละเอียดอ่อนมากแค่ไหน
ประกอบกับตนเป็นคนมองสองด้าน อีกทั้งมองให้ถึงรากฐานจิตใจคนทั่วไปร่วมด้วย
สิ่งที่กล่าวเป็นตัวอย่างมาแล้วเป็นเพียงลักษณะหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงในกระแสสิ่งแวดล้อม
จนกระทั่งมาถึงช่วงนี้ ฉันกล้าพูดว่า ปัญหาที่จะพูดถึงมันเป็นมานานแล้ว
แต่คนในสังคมไทยส่วนใหญ่ตกอยู่ในความประมาทจึงไม่สนใจ
จนกระทั่งเกิดปัญหาหนักอย่างเช่นที่คนโบราณเคยกล่าวฝากไว้ว่า สัญชาติคางคก
ถ้ายางหัวไม่ตกก็คงไม่รู้จักจำ
สิ่งที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด
แม้จะเป็นตัวอย่างเพียงเล็กน้อย
แต่ถ้าเป็นคนมีนิสัยอยู่อย่างไม่ประมาทย่อมสามารถสานเหตุผลไปถึงเรื่องใหญ่ได้อย่างเป็นธรรมชาติ
ความจริงแล้วคำว่า สัตว์โลก ควรจะหมายถึง มนุษย์และสัตว์ต่าง ๆ
ที่อยู่ร่วมกันในโลกนี้ย่อมมีความสำคัญเท่าเทียมกันและสานถึงซึ่งกันและกันหมด
ถ้ามนุษย์ไม่สำคัญตัวเองผิด ควรจะมีนิสัยเรียนรู้ซึ่งกันและกันกับสัตว์ต่าง ๆ
โดยไม่มีการแบ่งแยกว่า ฉันเป็นคน ย่อมวิเศษกว่าสัตว์อื่นๆ ซึ่งหมายความว่า
การดำเนินชีวิตของมนุษย์ไม่ควรดูถูกสัตว์ ยิ่งเป็นสัตว์เล็ก ๆ
เนื่องจากสัตว์เหล่านี้
มีความรู้สึกที่สื่อถึงการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติได้ไม่ด้อยกว่ามนุษย์
ทั้งนี้และทั้งนั้น
เนื่องจากสัตว์ในระดับดังกล่าวไม่มีความโลภโมโทสันกับสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ
หากถือมั่นอยู่กับความเป็นจริงของธรรมชาติได้อย่างลึกซึ้ง
แม้แต่สุนัขซึ่งเข้ามาหาบางคน พร้อมทั้งเลียแข้ เลียขาและกระดิกหาง
แต่หลังจากพบอีกคนหนึ่ง มันกลับหางจุกตูดและวิ่งหนีจนสุดตัว นั่นเพราะอะไร
เพราะมันรู้ว่าใครมีเมตตาและใครมีใจโหดเหี้ยม
ซึ่งประเด็นนี้
ถ้าคนไม่ดูถูกสัตว์แม้แต่สุนัข มันก็เป็นครูสอนให้เรารู้ว่าทุกวันนี้เมื่อพูดถึง
สื่อ หลายคนมักมองไปยังสิ่งพิมพ์ วิทยุและโทรทัศน์ แทนที่จะตระหนักได้ว่า
สื่อทางใจระหว่างมนุษย์และสัตว์ ควรใช้เป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุด
อนึ่ง ฉันเคยเขียนไว้ในบทความเรื่อง
สื่อ โดยยกตัวอย่างว่า ขณะที่ฉันเป็นรัฐมนตรี
เช้าวันหนึ่งฉันเข้าไปในเรือนกล้วยไม้ก่อนไปทำงาน
ได้สังเกตเห็นกระรอกตัวหนึ่งกำลังกระโดดอยู่บนราวแขวนกล้วยไม้ภายในเรือน
ฉันหันไปมองดวงตามันแล้วรู้สึกว่า ใสสะอาดและบริสุทธิ์
เมื่อฉันก้าวเดินต่อไปมันก็จะกระโดดตาม เมื่อฉันหยุดมันก็หยุด
และมองมายังฉันด้วยด้วยแววตาที่ไร้เดียงสา เหตุการณ์ดังกล่าว
ทำให้ฉันรู้สึกว่ามันน่ารักมากจึงเอื้อมมือไปดีดนิ้วตรงหน้าด้วยความรัก
และโดยไม่ได้คาดฝันมาก่อน
พลันมันก็กระโดดเกาะนิ้วมือฉันและฝังฟันอันแหลมคมลงไปในปลายนิ้วจนเลือดกระฉูด
แต่แทนที่ฉันจะโมโหเจ้ากระรอกตัวนั้น กลับหันมาโทษตัวเองว่า
เรายังเรียนรู้นิสัยอันเป็นธรรมชาติของมันยังไม่เพียงพอ
เหตุการณ์ดังกล่าวสอนให้รู้ว่า อย่าดูถูกสัตว์เล็ก ๆ
และอย่าสำคัญตัวเองผิดว่าเรามีอิทธิพลเหนือกว่า สรุปแล้ว
มนุษย์ควรเรียนรู้จากสัตว์ถ้าไม่หลงตนลืมตัวจนเกินเหตุ
ตั้งแต่ช่วงนั้นเป็นต้นมา
ฉันยังจำได้ดีว่า ตั้งแต่ช่วงที่ฉันยังเป็นเด็กเป็นต้นมาฉันยังจำได้ดีว่า
เมื่อมีฝนตั้งเค้า ทำให้ได้กลิ่นโอโซน ได้สังเกตเห็นมดตัวเล็ก ๆ
สามัคคีกันคาบไข่ออกไปเก็บไว้ในที่ปลอดภัยอย่างเป็นธรรมชาติ
สิ่งนี้เองถ้าใครดูถูกว่าเป็นเรื่องเล็กมันก็ช่วยไม่ได้
แต่ถ้าใครมีปัญญาสักหน่อยก็น่าจะเห็นเป็นเรื่องใหญ่ที่สอนให้มนุษย์รู้จักรักและสามัคคีกัน
เรื่องนี้
แม้จากช่วงนั้นมาจนถึงทุกวันนี้
หลายคนในสังคมไทยก็ยังคิดแบ่งแยกสัตว์ออกจากมนุษย์ได้อย่างชัดเจน
จนกระทั่งบางคนพูดสอนผู้คนทั้งหลายเอาไว้ว่า ดูซิ คนทุกวันนี้น่าอายสัตว์ตัวเล็ก ๆ
หรือไม่ สิ่งที่กล่าวมาแล้วนี่เอง มันได้สะท้อนความรู้สึกของมนุษย์มานานแล้ว
แต่เป็นเพราะคนไทยส่วนใหญ่ตกอยู่ในความประมาทขาดสติจนกระทั่งหลงอยู่กับความสบายทำให้ไม่นึกถึง
ส่วนในปัจจุบัน
เมื่อพูดถึงปัญหาโลกร้อน มักจะมุ่งวิธีแก้ปัญหาไปที่วิทยาศาสตร์ ดังเช่น
คนที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ หลายคนก็มักเอาความรู้ทางวิทยาศาสตร์เข้าไปแก้ไข
บางคนเสนอให้ยกเลิกการใช้จีเอ็มโอ และยังมีวิธีอื่น ๆ อีกหลายอย่าง
หากบุคคลใดหยั่งรู้ความจริงว่า ปัญหาโลกร้อนมันเกิดจากความโลภของคน
แทนที่จะมุ่งการใช้วิทยาศาสตร์หรือใช้อะไรต่อมิอะไรไปแก้ไข หากใช้วิธีแก้ที่คน
ก็น่าจะมีโอกาสประสบความสำเร็จได้ไม่ยากแม้จะช้านานแค่ไหน
ยิ่งในขณะนี้
เราจะหวังความสามัคคีของคนในชาติได้จากที่ไหน? แม้แต่คนกลุ่มเล็กหรือกลุ่มใหญ่
ก็มักสะท้อนให้เห็นถึงความแตกแยกจนกระทั่งยกพวกทำร้ายซึ่งกันและกัน
ซึ่งคนเหล่านี้กระทำไปโดยไม่รู้สึกตัว ถ้าใครไปพูดขวางหูเข้าสักหน่อย
แทนที่จะใจเย็นและดับได้ที่ตนเอง กลับเอะอะโวยวาย แถมยังหลงโทษอีกฝ่ายหนึ่ง
จนกระทั่งทำให้ชาติบ้านเมืองเสี่ยงต่ออันตรายจากทุก ๆ ด้านเพิ่มมากยิ่งขึ้น
สภาวะโลกร้อนในปัจจุบัน
จึงมีเหตุที่ยังไม่สำคัญเท่ากับความร้อนที่อยู่ในรากฐานจิตใจคนในสังคมไทยอย่างคาดไม่ถึง
ถ้าผู้ที่เป็นห่วงเป็นใยสังคมเรื่องนี้ สามารถร่วมใจกันดับความร้อน
โดยดำเนินชีวิตอย่างถือขันติเสียได้แล้ว แผ่นดินของโลกจะสูงยิ่งขึ้นกว่านี้
25 กรกฎาคม 2550
» ภาวะโลกร้อน (Global Warming)
» ผลกระทบจากภาวะโลกร้อน ต่อการเกิดโรคสัตว์สู่คนอุบัติใหม่และอุบัติซ้ำ
» คาร์บอนเครดิต(Carbon Credit)