ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>

ศาสนาคริสต์

หลักคำสอนสำคัญ

1. หลักตรีเอกานุภาพ
พระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นสามพระบุคคล (Person) หรือสามสภาวะ (State) คือ

  1. พระบิดา (God, the fater)
  2. พระบุตร หรือพระเยซู (Jesus, Son of God)
  3. พระวิญญาณบริสุทธิ์ (Holy Spirit หรือ Holy Ghost)
แต่ละบุคคลเป็นพระเจ้าสมบูรณ์ในตนเองเสมอกัน พระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ แม้จะมีนามต่างกัน มีฐานะต่างกัน แต่โดยอานุภาพเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน พระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทั้งสามบุคคลรวมกันเป็นหนึ่งหรือสามเท่ากับหนึ่ง เรียกว่าตรีเอกานุภาพ หรือตรีเอกภาพ ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Trinity (มาจาก Tri-unity) หลักคำสอนนี้ถือว่าทั้งพระบิดา พระบุตร และพระจิต ความจริงก็คือ พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวกันนั่นเอง

ตรีเอกานุภาพ

ตรีเอกานุภาพ หรือ ตรีเอกภาพ (ภาษาอังกฤษ: Trinity) เป็นปรัชญาทางคริสต์ศาสนาซึ่งกล่าวว่าพระเจ้าผู้เป็นเอกานุภาพผู้เป็นตัวตนในขณะเดียวกันและตลอดไปภายในรูปของพระภาคสามพระภาค: พระเจ้าผู้เป็นพระบิดา, พระบุตรผู้มาเกิดเป็นพระเยซู และพระวิญญาณบริสุทธิ์ (Holy Spirit) ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 4 ปรัชญาทางคริสต์ศาสนาทั้งทางตะวันออกและตะวันตกก็ยอมรับว่า “สามพระภาค ในพระเจ้าองค์เดียว” สามสิ่งนี้แตกต่างกันแต่อยู่ภายใต้ผู้เป็นเทพองค์เดียว และปรัชญายังกล่าวต่อไปว่าพระบุตรหรือพระเยซูเป็นสองภาคในขณะเดียวกันคือเป็นพระเจ้าและขณะเดียวกันก็เป็นมนุษย์ (hypostatic union)

ผู้ที่เชื่อในปรัชญา “ตรีเอกานุภาพ” เรียกกันว่า “Trinitarianism” ลัทธิเกือบทุกลัทธิในคริสต์ศาสนามีความเชื่อในปรัชญา “ตรีเอกานุภาพ” และถือว่าเป็นรากของคำสอนของคริสต์ศาสนา[2][3] ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับ ปรัชญา “ตรีเอกานุภาพ” ก็มีเช่นปรัชญา “ทวิเอกานุภาพ” (Binitarianism) ซิ่งเชื่อในความเป็นสองภาคของพระเจ้า และปรัชญา “เอกานุภาพ” (Unitarianism) ที่เชื่อว่ามีพระเจ้าเพียงองค์เดียว

ปรัชญาตรีเอกานุภาพหลังพันธสัญญาใหม่ เป็นปรัชญาที่สำคัญที่ทำให้เกิดความขัดแย้งกับปรัชญาเอเรียนนิสม์ (Arianism) ผู้เชื่อว่าพระเยซูเป็นสิ่งที่สร้างโดยพระเจ้า และสิ่งทั้งสามมิได้คงอยู่ร่วมกันตลอดกาลเช่นในความเชื่อของปรัชญาตรีเอกานุภาพ ความขัดแย้งนี้เป็นความขัดแย้งสำคัญครั้งแรกในประวัติคริสต์ศาสนาและมีผลกระทบกระเทือนต่อสถาบันคริสต์ศาสนาของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นผลให้เจอร์มานิคผู้สนับสนุนปรัชญาเอเรียนนิสม์ (Germanic Arians) แยกตัวจากผู้นับถือศาสนาคริสต์ตามปรัชญานิเซียน (Nicene Christians)

ตรีเอกานุภาพในศิลปะ
“ตรีเอกานุภาพ” ที่มหาวิหารเซนตเดนนิสที่ปารีส แสดงพระบุตรในรูปของแกะ “ตรีเอกานุภาพ” เป็นรูปสามเหลี่ยมซ้อนกับรูปจิก “ตรีเอกานุภาพ” เป็นหัวข้อที่มักจะพบในคริสต์ศาสนศิลป์โดยใช้นกพิราบเป็นของพระวิญญานบริสุทธิ์ ตามที่กล่าวในพระวรสารจากเหตุการณ์ “พระเยซูรับศีลจุ่ม” (Baptism of Christ) รูปนกพิลาบส่วนใหญ่จะกางปีก การแสดง “ตรีเอกานุภาพ” เป็นมนุษย์สามคนก็ใช้ในศิลปะทุกสมัย

ภาพพระบิดาและพระบุตรจะเป็นปรากฏเป็นชายที่มีอายุต่างกัน และต่อมาก็จะแตกต่างกันจากการแต่งกายด้วยแต่ก็ไม่เสมอไป โดยทั่วไปพระบิดาจะเป็นชายสูงอายุมีหนวดขาวซึ่งอาจจะนำมาจากตำนานไบเบิล Ancient of Days ซึ่งมักจะใช้อ้างเมื่อมีข้อขัดแย้งในการแสดงภาพเช่นนี้ แต่ในนิกายอีสเติร์นออร์โธด็อกซ์ตำนาน Ancient of Days เชื่อว่าชายคนเดียวกันนีคือพระบุตรมิใช่พระเจ้าผู้เป็นพระบิดา บางครั้งเมื่อแสดงภาพของพระบิดาในงานศิลปะศิลปินจะใช้รัศมีเหนือพระเศียรที่เป็นสามเหลื่ยมแทนที่จะกลมเช่นรัศมีทั่วไป พระบุตรมักจะอยู่ทางขวาของพระบิดา (Acts 7:56) บางครั้งก็จะใช้สัญลักษณ์เป็นลูกแกะ หรือ กางเขน แทนพระบุตร หรือพระบุตรบนกางเขน ฉะนั้นพระบิดาจะแสดงเป็นมนุษย์ขนาดเต็มตัว ในสมัยยุคกลางตอนต้นพระเจ้าจะเป็นเพียงมือที่ยื่นออกมาจากก้อนเมฆคล้ายประทานพรเช่นในการให้พรเมื่อ “พระเยซูรับศีลจุ่ม” ต่อมาก็มีการสร้างศิลปะที่เรียกว่า “บัลลังก์แห่งความกรุณา” (Throne of Mercy หรือ Throne of Grace) ซึ่งเป็นที่นิยมกัน ในศิลปะแบบนี้พระบิดาบางครั้งจะนั่งบนบัลลังก์ถือไม่ก็กางเขน[5] ก็ประคองร่างพระบุตร ซึ่งโครงการจัดภาพหรือรูปปั้นจะคล้ายคลึงกับทรงปีเอต้าซึ่งที่เยอรมนีเรียกว่า “Not Gottes” ในขณะที่นกพิลาบจะกางปีกอยู่เหนือพระเศียรหรืออยู่ระหว่างพระบิดาและพระบุตร ทรงนี้เป็นที่นิยมทำกันจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 18

 

ปลายสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 15 การแสดง “ตรีเอกภาพ” ก็เริ่มใหญ่ขึ้น และมีโครงลักษณะแบบอื่นๆ นอกเหนือไปจากทรง “บัลลังก์แห่งความกรุณา” การแสดงตรีเอกภาพก็เริ่มใช้กันเป็นมาตรฐานโดยแสดงพระบิดาเป็นชายใส่เสื้อคลุมเรียบๆ ร่างท่อนบนของพระบุตรจะเปลือยแสดงให้เห็นแบบพระสันตะปาปา

การแสดง “ตรีเอกานุภาพ” จะหายากในศิลปะในนิกายอีสเติร์นออร์โธด็อกซ์ไม่ว่าจะเป็นสมัยใด การไม่นิยมแสดงรูปสัญลักษณ์ของพระบิดาจนกระทั่งสมัยยุคกลางตอนปลาย หลังจากการประชุมสังคายนาที่นิเซียครั้งที่ 2 (Second Council of Nicea) เมื่อปี ค.ศ. 787 อนุญาตให้มีการแสดงรูปสัญลักษณ์ของพระเยซูได้เพราะพระเยซูเป็นมนุษย์ แต่ความคิดเห็นเกี่ยวกับการแสดงรูปพระเจ้าไม่มีหลักฐานแน่นอน การแสดง “ไอคอนตรีเอกภาพ” จะใช้ “ตรีเอกภาพ” จากพันธสัญญาเดิม ซึ่งเป็นเทวดาสามองค์ที่มาปรากฏตัวต่อเอบราฮัม และกล่าวว่าเป็น “the Lord” (ปฐมกาล:18.1-15) การประชุมสภาสงฆ์ที่มอสโคว์ (Great Synod of Moscow) ในปี ค.ศ. 1667 ประกาศห้ามการแสดงรูปสัญลักษณ์ของพระบิดาในรูปเหมือนมนุษย์

การแสดง “ตรีเอกานุภาพ” ในศิลปะคริสเตียนจะมีไม่กี่ฉากนอกจากภาพพระเยซูรับศีลจุ่มซึ่งจะแสดงทั้งสามองค์ประกอบในบทบาทที่ต่างกัน หรือภาพ “การสมมงกุฏของแมรี” (Coronation of the Virgin) ซึ่งเป็นที่นิยมกันทางตะวันตกก็เป็นอีกภาพหนึ่งที่มักจะแสดง “ตรีเอกภาพ” แต่ภาพเช่น “พระเยซูผู้ทรงเดชานุภาพ” (Christ in Majesty) หรือ “การตัดสินครั้งสุดท้าย” (Last Judgement) ซึ่งตามเหตุผลน่าจะแสดง “ตรีเอกภาพ” แต่กลับแสดงเพียงพระเยซู

การแสดง “ตรีเอกานุภาพ” ที่เป็นคนสามคนเหมือนกันจะหายากเพราะแต่ละภาคของตรีเอกภาพมีบทบาทต่างกัน แต่ที่หายากกว่าคือการแสดงเหมือนมนุษย์คนเดียวที่มีสามหน้า เพราะคำบรรยายของ “ตรีเอกภาพ” เป็นคนสามคนที่มีหัวพระเจ้าหนึ่งหัวไม่ใช่คนคนเดียวที่มีสามบทบาท ซึ่งกลายเป็นการสนับสนุนปรัชญา Modalism ซึ่งเป็นปรัชญาที่ถูกประนามว่าเป็นปรัชญานอกรีต (heresy) โดยนิกายอีสเติร์นออร์โธด็อกซ์ และ นิกายโอเรียนทัลออร์โธด็อกซ์

การแสดง “ตรีเอกานุภาพ” อาจจะเป็นแบบนามธรรมโดยใช้สัญลักษณ์เช่นสามเหลื่ยม หรือสามเหลี่ยมสองอันซ้อนกัน, ดอกจิก, หรือผสมสิ่งที่กล่าวมา บางครั้งก็จะมีรัศมีในรูปด้วย สัญลักษณ์เหล่านี้ไม่แต่จะพบในงานจิตรกรรมหรือประติมากรรมแต่ยังพบในงานปัก, พรมทอแขวนผนัง, เครื่องแต่งตัวของพระ, ผ้าคลุมแท่นบูชา, หรือรายละเอียดในสถาปัตยกรรม

พระเจ้าตรีเอกภาพ
โครงร่าง
1. พระเจ้ามีองค์เดียว (1กธ.8:4 , ยซย. 45:5)
2. พระเจ้ามีแง่พิจารณา 3 ด้านคือพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณ

  1. พระเจ้าตรัสเรียกพระองค์เองว่า “เรา”และ “พวกเรา” (ยซย. 6:8; ยนซ.1:26)
  2. แง่พิจารณาของพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณ (มธ.28:19)

3. พระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณ ดำรงอยู่ในเวลาเดียวกันตั้งแต่นิรันดร์กาลก่อนจนถึง นิรันดร์กาลในอนาคต

  1. พระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณล้วนเป็นพระเจ้า
    - พระบิดาเป็นพระเจ้า (1 ปต.1:2; อฟ.1:17)
    - พระบุตรเป็นพระเจ้า (ฮร.1:8; ยฮ.1:1; รม.9:5)
    - พระวิญญาณเป็นพระเจ้า (กจ.5:3–4)
  2. พระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณล้วนดำรงอยู่นิรันดร์
    - พระบิดาดำรงอยู่นิรันดร์ (ยซย.9:6)
    - พระบุตรดำรงอยู่นิรันดร์ (ฮร.1:12)
    - พระวิญญาณดำรงอยู่นิรันดร์ (ฮร.9:14)
  3. พระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณดำรงอยู่ในเวลาเดียวกัน (ยฮ.14:16 –17; อฟ.3:14 –17)

4. พระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณร่วมอยู่ในกันและกันไม่แบ่งแยกกัน (ยฮ.6:46;5:43; 14:10; 15:26; 14:26; 8:29)
5. พระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณทั้งสามได้เป็นหนึ่ง

  1. พระบุตรคือพระบิดา (ยซย.9:6, ยฮ.14:7–11)
  2. พระบุตรกลายเป็นวิญญาณผู้ประสาทชีวิตให้ (1กธ.15:45; ยฮ.14:16–20)
  3. องค์พระผู้เป็นเจ้า (พระบุตร) ก็คือพระวิญญาณนั้น (2กธ. 3:17)

6. สาเหตุแห่งตรีเอกภาพของพระเจ้า (2กธ.13:14)

ในพระคัมภีร์ได้เปิดเผยให้เห็นว่า พระเจ้าทรงเป็นตรีเอกภาพ นี่เป็นการเปิดเผยที่สำคัญและยิ่งใหญ่ พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าองค์เดียว พระนามของพระองค์มีนามว่า “ยะโฮวา” และพระเจ้าองค์นี้ทรงมีสามพระภาคด้วย ทรงเป็นพระบิดาและพระบุตรและพระวิญญาณ นี่เป็นข้อลับลึกประการหนึ่งและเป็นข้อลับลึกในข้อลับลึก เราเป็นมนุษย์ที่เล็กน้อยและมีข้อจำกัด ไม่อาจเข้าใจได้ถี่ถ้วน ยิ่งกว่านั้นย่อมไม่อาจใช้ถ้อยคำของเราบรรยายได้ครบถ้วนด้วย มีหลายสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเรื่องชีวิต ซึ่งมนุษย์ไม่อาจเข้าใจได้ถี่ถ้วน เราสามารถรู้เพียงพอสังเขปเท่านั้น เช่น ชีวิตในร่างกายของมนุษย์ ไม่มีมนุษย์ผู้ใดสามารถอธิบายได้ทะลุปรุโปร่งเพราะว่าชีวิตนี้เป็นข้อลับลึกและภายในมนุษย์เรายังมีวิญญาณ นี่ยิ่งเป็นข้อลับลึก ชีวิตมนุษย์เป็นสิ่งของอะไรกันแน่? และวิญญาณของเราเป็นอะไรกันแน่? ไม่มีผู้ใดอาจบรรยายได้ถี่ถ้วน ฉะนั้นเราจะพูดถึงพระเจ้าตรีเอกภาพ พระบิดา พระบุตร พระวิญญาณ ซึ่งเป็นข้อลับลึกที่ยิ่งใหญ่ได้อย่างไร แม้แต่มนุษย์ซึ่งเป็นข้อลับลึกที่เล็กน้อย เราก็ไม่อาจเข้าใจได้แล้ว เมื่อมนุษย์เราไม่อาจเข้าใจได้ถ่องแท้ ยิ่งกว่านั้นเราจะเข้าใจถึงพระเจ้าตรีเอกภาพได้อย่างไร? แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่เราก็ยังสามารถต้อนรับและรับสุขพระเจ้าผู้ลับลึกนี้ แม้เราไม่อาจเข้าใจ แต่สามารถ รับสุขได้ คนสมัยโบราณเขาไม่รู้เลยว่าอะไรคือ วิตามิน แต่เขาก็ได้รับสุขสิ่งเหล่านี้มากมาย สรรเสริญขอบคุณพระเจ้า พระเจ้าตรีเอกภาพไม่ใช่มีไว้สำหรับทำความเข้าใจ แต่มีไว้ให้เรารับสุข ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงเป็น ล้วนมีไว้ให้เรารับสุข สิ่งเหล่านี้ล้วนได้เปิดเผยไว้ในพระคัมภีร์แล้ว เราสามารถต้อนรับได้ตามการเปิดเผยในพระคัมภีร์ แม้ว่าเราไม่อาจเข้าใจได้อย่างทั่วถึง แต่สามารถต้อนรับตามที่ได้ตรัสไว้ในพระคัมภีร์ ในพระคัมภีร์แม้จะไม่เจอคำว่าพระเจ้าตรีเอกภาพ แต่เราสามารถมองเห็นความจริงของตรีเอกภาพแห่งพระเจ้า ตอนนี้เรามาพิจารณาดูข้อพระคัมภีร์บางข้อที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรง

1. พระเจ้ามีองค์เดียว
ในพระคัมภีร์ได้กล่าวหลายครั้งและหลายวิธีว่า พระเจ้ามีองค์เดียว ไม่ว่าในพันธสัญญาเดิมและใหม่ ล้วนได้บอกเราอย่างชัดเจนและแน่นอนว่า พระเจ้ามีองค์เดียวใน 1โกรินโธ 8:4 ว่า “ และรู้ว่าพระเจ้า มีองค์เดียวไม่มีพระเจ้าองค์อื่นอีก” ใน ยะซายา 45:5 กล่าวว่า “เราคือยะโฮวาและไม่มีพระอื่นอีกแล้วนอกจากเราไม่มีพระเจ้าองค์อื่นอีก” ในข้อ 6, 21–22; 46:9; 44:6, 8 ล้วนได้กล่าวในทำนองเดียวกันในข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ พระเจ้าได้ตรัสครั้งแล้วครั้งเล่าว่า “นอกจากเราแล้วไม่มีพระเจ้าองค์อื่นอีก” ไม่ได้กล่าวว่า “นอกจากพวกเราแล้วไม่มีพระเจ้าองค์อื่นอีก” แต่กล่าวว่า “นอกจากเราแล้ว ไม่มีพระเจ้าองค์อื่น” คำว่าเราเป็นเอกพจน์คือมีเพียงองค์เดียว พระเจ้าได้ตรัสหลายครั้งด้วยการยืนยันอย่างเข้มแข้งว่า พระเจ้ามีเพียงองค์เดียว ในบทเพลงสรรเสริญ86:10 กล่าวว่า “พระองค์ผู้เดียวเป็นพระเจ้า” คำว่าพระองค์ในที่นี้ก็เป็นเอกพจน์ ซึ่งเป็นการยืนยันว่าพระเจ้ามีองค์เดียวเท่านั้นนี่เป็นการเปิดเผยในพระคัมภีร์ และก็เป็นหลักการพื้นฐานและการสรุปอย่างหนึ่ง อาจจะมีบางคนถามว่า ถ้าท่านว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวแล้วใน เยเนซิศ 1:26 ทำไมพระเจ้าจึงเรียกพระองค์เองว่า “เรา” และกล่าวว่า “ฉายาของเรา” แท้จริงมีองค์เดียวหรือมีมากกว่านั้น? คำตอบก็คือพระองค์เป็นพระเจ้าตรีเอกภาพ เป็นพระเจ้าองค์เดียว แต่มีแง่พิจารณาสามด้านคือพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณ

2. พระเจ้ามีแง่พิจารณา 3 ด้าน
คือ พระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณ

  1. พระเจ้าตรัสเรียกพระองค์เองว่า “เรา” และ “พวกเรา”
    ในยะซายา 6:8 กล่าวว่า “เราจะใช้ผู้ใดไปและผู้ใดจะไปแทนพวกเรา” ในด้านหนึ่งพระเจ้าทรงเรียกพระองค์เองว่า เราและพวกเรา กรณีนี้พิสูจน์ว่า “เรา” ก็คือ “พวกเรา”และ “พวกเรา” ก็คือ “เรา” เมื่อเป็นเช่นนี้พระเจ้าในที่นี้เป็นเอกพจน์หรือเป็นพหูพจน์กันแน่ ถ้าหากเราว่าพระเจ้าคือพหูพจน์ พระองค์ก็จะตรัสว่า “เรา” ถ้าท่านว่าพระเจ้าเป็นเอกพจน์ พระองค์ก็คงตรัสว่า “พวกเรา” นี่ช่างลับลึกจริงๆ ยากต่อการเข้าใจ ขอเพียงเราต้อนรับการเปิดเผยตามพระคัมภีร์ ในเยเนซิศ 1:26ก พระเจ้าตรัสว่า “จงให้เราสร้างมนุษย์ตามแบบฉายาของเรา” พระเจ้าองค์เดียวผู้ทรงตรัสไว้ในพระคำอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ หลายครั้งที่เรียกพระองค์เองว่า“เรา” นี่ช่างเป็นข้อลับลึกที่ยากต่อการอธิบายแต่เราควรเชื่อ กรณีนี้ก็คือสาเหตุแห่งพระเจ้าที่มีแง่พิจารณา 3 ด้านคือพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณ
  2. แง่พิจารณาของพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณ
    ในมัดธาย 28:19 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “...ให้พวกเขารับบัพติศมาเข้าสู่ในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์” ในที่นี้องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสอย่างชัดเจนถึงพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณ ทั้งสามพระองค์ ยิ่งกว่านั้นในที่นี้ก็ได้กล่าวถึงพระนามของพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณ พระนามในที่นี้เป็นเอกพจน์ กรณีนี้ได้ชี้ให้เห็นว่าพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณแม้เป็นสาม แต่มีพระนามเดียวเท่านั้น ช่างเป็นข้อลับลึก ทั้งสามพระภาคนี้มีพระนามเดียว แน่นอนนี่ก็คือตรีเอกภาพ ขอถามประเด็นหนึ่งว่า “พระนามของพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณ” พระนามนี้คือ พระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณกันแน่ นี่เป็นคำถามที่ตอบยากมาก เราได้แต่พูดว่า พระนามของพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณก็คือ “พระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณ” พระนามนี้ครอบคลุมถึงพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณทั้งสามพระภาค กรณีนี้ได้พูดถึงพระเจ้าตรีเอกภาพ แม้ว่าพระองค์เป็นพระเจ้าองค์เดียว แต่มีแง่พิจารณาของพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณทั้งสามพระภาค

3. พระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณ
ดำรงอยู่ในเวลาเดียวกันตั้งแต่นิรันดร์กาลก่อนจนถึงนิรันดร์กาลในอนาคต

  1. พระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณล้วนเป็นพระเจ้า
    พระบิดาเป็นพระเจ้า
    ไม่ต้องสงสัยพระบิดาเป็นพระเจ้า ในพันธสัญญาใหม่มีหลายครั้งที่กล่าวถึงพระบิดาพระเจ้า เช่นใน 1 เปโตร 1:2 “...ตามที่พระเจ้าพระบิดาพระเจ้าได้ทรงล่วงรู้ไว้ก่อน...” และในเอเฟโซ 1:17 “เพื่อพระเจ้าแห่งองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเราคือพระบิดาแห่งสง่าราศี...”
    พระบุตรเป็นพระเจ้า
    พระบุตรทรงเป็นพระเจ้าด้วย ในเฮ็บราย 1:8 เมื่อกล่าวถึงพระบุตรตรัสว่า “ข้าแต่พระเจ้า พระที่นั่งของพระองค์…” ในที่นี้ได้เรียกพระบุตรว่าพระเจ้า ในโยฮัน 1:1 ว่า “เมื่อเดิมนั้นพระคำเป็นอยู่แล้วและพระคำนั้นได้อยู่กับพระเจ้าและพระคำนั้นเป็นพระเจ้า” พระคำนี้ก็คือพระคริสต์หรือคือพระบุตร เพราะว่าพระคำเป็นพระเจ้า ฉะนั้นพระบุตรก็คือพระเจ้า ไม่เพียงแค่นี้ ในโรม 9:5 “...พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าอยู่เหนือสิ่งสารพัดและควรได้รับการสรรเสริญนิรันดร์” พระคริสต์–พระบุตรไม่เพียงแต่เป็นพระเจ้า แต่เป็นพระเจ้าผู้อยู่เหนือสิ่งสารพัดที่สมควรได้รับการสรรเสริญนิรันดร์
    พระวิญญาณเป็นพระเจ้า
    ในกิจการ 5:3–4 เราได้มองเห็นพระวิญญาณเป็นพระเจ้า ในข้อ 3 เปโตรได้กล่าวแก่ อะนาเนีย ว่าได้หมิ่นประมาทพระวิญญาณและในข้อถัดไปบอกว่าเขาได้หมิ่นประมาทต่อพระเจ้า ในทั้งสองข้อนี้พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็คือพระเจ้า ดังนั้นพระคัมภีร์ได้เปิดเผยแก่เราอย่างชัดเจนว่า พระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณล้วนเป็นพระเจ้า แต่ในกรณีนี้ไม่ได้หมายถึงพระเจ้าสามพระองค์เพราะเราได้มองเห็นชัดเจนจากพระคัมภีร์แล้วว่าพระเจ้ามีองค์เดียวแม้ว่าจะมีสามพระภาคคือพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณก็ตาม แต่ทั้งสามพระภาคนี้ไม่ใช่พระเจ้าสามองค์ แต่เป็นพระเจ้าองค์เดียวนี่ช่างเป็นข้อลับลึกเราไม่อาจเข้าใจได้ถี่ถ้วนแต่ขอบคุณสรรเสริญพระเจ้าเราสามารถต้อนรับและรับสุขผู้ลับลึกนี้ตามที่พระคัมภีร์ได้เปิดเผยนั้น
  2. พระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณล้วนดำรงอยู่นิรันดร์
    พระบิดาทรงดำรงอยู่นิรันดร์
    ในยะซายา 9:6 กล่าวว่า พระบิดาองค์ถาวร คำนี้ถ้าแปลตามตัวอักษรในภาษาเฮ็บรายหมายถึง พระบิดาผู้คงอยู่กาลนาน หรือพระบิดาผู้ดำรงอยู่นิรันดร์ ดังนี้พระบิดาจึงดำรงอยู่นิรันดร์
    พระบุตรทรงดำรงอยู่นิรันดร์
    พระบุตรทรงดำรงอยู่นิรันดร์ในเฮ็บราย 1:12 เมื่อกล่าวถึงพระบุตร “…แต่พระองค์เองยังคงเหมือนเดิมและ ปี เดือนของพระองค์จะไม่สิ้นสุด” และในเฮ็บราย 7:3 ก็กล่าวว่า พระองค์ไม่มีวันเกิด (ไม่มีวันเริ่มต้น) และไม่มีวันตาย (การสิ้นสุด) นั่นก็หมายความว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่นิรันดร์
    พระวิญญาณทรงดำรงอยู่นิรันดร์
    พระวิญญาณก็ทรงดำรงอยู่นิรันดร์ เพราะในเฮ็บราย 9:14 กล่าวว่า “...พระวิญญาณที่นิรันดร์นั้น...” ดังนั้นเราต้องให้ทุกคนทราบและปฏิบัติตามพระคัมภีร์เราขอประกาศว่า พระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณทั้งสามพระภาคนี้ล้วนดำรงอยู่นิรันดร์
  3. พระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณดำรงอยู่ในเวลาเดียวกัน
    ในโยฮัน 14:16–17 “เราจะขอพระบิดาและพระองค์จะทรงประทานองค์ผู้ช่วยอีกผู้หนึ่งแก่ท่าน เพื่อจะอยู่กับท่านเป็นนิตย์ คือพระวิญญาณแห่งความเที่ยงแท้...” ในสองข้อนี้ พระบุตรอธิษฐานต่อพระบิดา เพื่อพระบิดาจะใช้พระวิญญาณมา ดังนั้น พระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณ จึงดำรงอยู่ในเวลาเดียวกัน ในเอเฟโซ 3:14–17 เปาโล กล่าวว่า “ท่านจะอธิษฐานต่อพระบิดา... เพื่อท่านจะได้รับการเพิ่มกำลังเข้าสู่มนุษย์ภายในด้วยฤทธิ์เดชโดยพระวิญญาณของพระองค์ เพื่อพระคริสต์จะได้พักพิงอยู่ในใจของท่านโดยความเชื่อ” ในข้อนี้ให้เรามองเห็นพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณดำรงอยู่ในเวลาเดียวกันทั้งสามพระภาค พระคัมภีร์ไม่ได้กล่าวว่า พระบิดาดำรงอยู่ชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นพระบุตรได้เสด็จมาและเมื่อผ่านไปอีกระยะหนึ่งพระวิญญาณก็เสด็จมาแทนที่พระบุตรและพระบุตรไม่ดำรงอยู่แล้วกรณีเช่นนี้ ไม่มีพระคัมภีร์กล่าวไว้ แต่ในพระคัมภีร์ข้อนี้ให้เราเห็นว่า พระบิดาฟังคำอธิษฐานพระวิญญาณประทานความเข้มแข็งแก่เราและพระคริสต์พักพิงอยู่ในใจของเราและในที่นี้ก็ได้ให้เราเห็นอย่างชัดเจน ทั้งสามพระภาคดำรงอยู่ในเวลาเดียวกัน ใน 2 โกรินโธ 13:14 ว่า “ขอให้พระคุณแห่งพระเยซูคริสต์เจ้า ความรักแห่งพระเจ้าและการสามัคคีธรรมแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ ดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด” ข้อนี้ได้กล่าวถึงพระคุณของพระบุตร ความรักของพระบิดาและการสามัคคีธรรมหรือการหลั่งไหลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทั้งสามพระภาคนี้ได้ดำรงอยู่ในเวลาเดียวกัน ดังนั้นเราจึงไม่เชื่อว่าพระบิดาไม่ดำรงอยู่แล้ว แต่พระบุตรมาแทนที่พระบิดาและผ่านไปอีกช่วงหนึ่ง พระวิญญาณก็มาแทนที่พระบุตร แต่เราเชื่อว่าทั้งพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณสามพระภาคนี้ดำรงอยู่นิรันดร์และดำรงอยู่ในเวลาเดียวกัน

4. พระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณร่วมอยู่ในกันและกัน ไม่แบ่งแยกจากกัน
ความสัมพันธ์ของพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณ ไม่เพียงแต่ดำรงในเวลาเดียวกัน ยิ่งกว่านั้นและยังอยู่ในกันและกัน ดำรงอยู่ในเวลาเดียวกัน ก็คือดำรงอยู่พร้อมกัน แต่คำว่าอยู่ในกันและกันที่ใช้กับพระเจ้าตรีเอกภาพก็คือพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณ ดำรงอยู่โดยร่วมอยู่ในกันและกัน ในพระคัมภีร์ได้เปิดเผยอย่างชัดเจน เมื่อพระบุตรมาแล้ว พระบิดาร่วมมาด้วย ทำนองเดียวกัน พระวิญญาณมาแล้ว พระบิดากับพระบุตรร่วมมาด้วยและเมื่อพระบุตรมานั้น พระบิดาไม่ใช่ร่วมมาทางภายนอกแต่ร่วมมากับพระบุตร โดยอยู่ภายในพระบุตรอันเป็นทัศนะภายใน โยฮัน 6:46 กล่าวว่า“มิใช่ว่ามีผู้ใดได้เห็นพระบิดาเว้นแต่พระองค์ที่มาจากพระเจ้า ท่านนั้นแหละได้เห็นพระบิดาแล้ว” คำว่ามาจากในที่นี้ ตามภาษาเดิมหมายถึง“ร่วม”ด้วย พระบุตรไม่เพียงแต่มาจากพระบิดา แต่ร่วมมากับพระบิดา

โยฮัน 5:43 กล่าวว่า “เราได้มาในนามพระบิดาของเรา...” พระบุตรเสด็จมาในนามของพระบิดาก็เท่ากับพระบิดามา กรณีนี้ยืนยันว่าพระบุตรมาก็คือพระบิดามา โยฮัน 14:10 ว่า “…เราอยู่ในพระบิดาและพระบิดาอยู่ในเรา...” ข้อนี้ชี้ให้เห็นว่าพระบิดามิได้อยู่ภายนอกพระบุตร แต่ร่วมเสด็จมากับพระบุตร โดยอยู่ในพระบุตร ดังนั้นพระบุตรจึงสามารถเป็นพยานได้ว่า “…ผู้ที่ได้เห็นเราก็ได้เห็นพระบิดา...” (ยฮ.14:9)

โยฮัน 15:26 ว่า “แต่เราจะใช้องค์ผู้ช่วยจากพระบิดามาหาท่านทั้งหลายคือพระวิญญาณแห่งความเที่ยงแท้ที่มาจากพระบิดา...” คำว่า “มา” ในวรรคที่สองนั้น ตามภาษาเดิมมีความหมายว่า “ร่วม” เมื่อพระวิญญาณนั้นเสด็จมาก็ร่วมมากับพระบิดาด้วย

โยฮัน 14:26 ว่า “แต่องค์ผู้ช่วยนั้นคือ พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่พระบิดาจะทรงใช้มาในนามของเรา...” ผู้ช่วยนี้ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์จะถูกพระบิดาใช้มาในนามของพระบุตร มาในนามของพระบุตรก็เท่ากับพระบุตรมา พระวิญญาณเสด็จมาก็คือพระบุตรมาด้วย

นอกจากนี้โยฮัน 8:29 ว่า “พระองค์ที่ทรงใช้เรามา สถิตอยู่กับเรา พระองค์มิได้ละเราไว้ผู้เดียว...” ลูกา 4:1 ก็ว่า “พระเยซูเต็มด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์...” ข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ล้วนชี้ให้เห็นว่าขณะที่พระบุตรอยู่บนโลกนี้ พระบิดาและพระวิญญาณก็ทรงสถิตอยู่กับพระองค์ด้วย ทั้งสามพระภาคนี้ไม่ได้แยกจากกัน กรณีเหล่านี้ชี้แจงว่า ทั้งสามพระภาคนี้ไม่เคยแยกจากกัน เมื่อพระภาคหนึ่งเคลื่อนไหว อีกสองพระภาคก็เคลื่อนไหวตามด้วย พระภาคหนึ่งถูกใช้มา อีกสองพระภาคก็ร่วมมาด้วย เมื่อพระบุตรเสด็จมา พระองค์เสด็จมาในนามของพระบิดา พระองค์เสด็จมาก็คือพระบิดามา เมื่อพระวิญญาณถูกใช้มา พระองค์ถูกใช้มาในนามของพระบุตรนั่นก็คือ พระวิญญาณถูกใช้มาก็คือพระบุตรถูกใช้มาด้วย ฉะนั้นพระบุตรมาก็คือพระบิดามา พระวิญญาณถูกใช้มาก็คือพระบุตรถูกใช้มา สรุปได้ว่าทั้งสามพระภาคเป็นหนึ่ง พระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณทรงเป็นหนึ่ง เราไม่อาจแยกจากกันได้

 5. พระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณทั้งสามเป็นหนึ่ง

  1. พระบุตรก็คือพระบิดา ในยะซายา 9:6 ว่า “ด้วยว่าจะมีทารกคนหนึ่งเกิดขึ้นในพวกเรา คือทรงประทานพระบุตรคนหนึ่งให้แก่พวกเราและเขาจะขนานนามของท่านว่า พระเจ้าทรงอานุภาพ พระบิดาองค์ถาวร” ในวันนี้ พระเจ้าทรงอานุภาพกล่าวเล็งถึงทารก พระบิดาองค์ถาวรกล่าวเล็งถึงบุตร ทารกที่เกิดในเบ็ธเลเฮ็มก็คือพระเจ้าทรงอานุภาพ ทารกนั้นกับพระเจ้าผู้ทรงอานุภาพเป็นหนึ่งเดียวได้อย่างไร พระบุตรกับพระบิดาองค์ถาวรก็เป็นหนึ่งเดียวได้อย่างนั้น พระบุตรก็คือพระบิดาองค์ถาวร กรณีนี้ยากที่จะพูดให้เข้าใจ แต่พระคัมภีร์ได้กล่าวไว้เช่นนั้นคือ “ทรงประทานพระบุตรองค์หนึ่งแก่พวกเรา และจะขนานนามของท่านว่าพระบิดาองค์ถาวร” นี่เป็นพระคำที่กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่าคือพระบิดาไม่ใช่หรือ? หากพระบุตรนี้ไม่ใช่พระบิดาแล้วพระบุตรนี้จะถูกเรียกว่าพระบิดาได้อย่างไร ถ้าหากเรายอมรับว่าทารกนี้ก็คือพระเจ้าผู้ทรงอานุภาพ เราก็ต้องยอมรับว่าพระบุตรในข้อนี้ก็คือพระบิดาองค์ถาวร ถ้าไม่แล้วเราก็จะกลายเป็นคนที่ไม่เชื่อคำตรัสในพระคัมภีร์ แต่เราเชื่อตามพระคัมภีร์นี้ว่า พระเยซูที่เป็นทารกนั้นก็คือพระเจ้าผู้ทรงอานุภาพและพระเยซูที่เป็นพระบุตรนั้นก็เป็นพระบิดาองค์ถาวรด้วย องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราทรงเป็นทั้งพระบุตรและพระบิดา โยฮัน 14:7–11 ว่า “ถ้าท่านทั้งหลายได้รู้จักเราแล้ว ท่านก็คงจะได้รู้จักพระบิดาของเราด้วย ตั้งแต่นี้ไป ท่านก็รู้จักพระองค์และได้เห็นพระองค์ ฟิลิปจึงทูลพระองค์ว่า พระองค์เจ้าข้า ขอสำแดงพระบิดาให้ข้าพเจ้าทั้งหลายเห็น ข้าพเจ้าจึงจะอิ่มใจ พระเยซูตรัสแก่เขาว่า “ฟิลิปเอ๋ย เราได้อยู่กับพวกท่านนานเช่นนี้แล้ว และท่านยังไม่รู้จักเราหรือ? ผู้ที่ได้เห็นเราก็ได้เห็นพระบิดา เหตุไฉนท่านจึงว่าขอสำแดงพระบิดาให้ข้าพเจ้าทั้งหลายเห็น? ท่านไม่เชื่อหรือว่าเราอยู่ในพระบิดาและพระบิดาอยู่ในเรา? ถ้อยคำซึ่งเรากล่าวแก่ท่านทั้งหลาย เรามิได้กล่าวจากตัวเราเอง แต่พระบิดาที่อยู่ในเรา พระองค์นั้นทรงกระทำการงานของพระองค์ จงเชื่อเราว่า “เราอยู่ในพระบิดาและพระบิดาอยู่ในเรา...” ในที่นี้พระองค์ได้ทรงเปิดเผยข้อลับลึกที่พระองค์ได้เป็นหนึ่งกับพระบิดา พระองค์ทรงอยู่ในพระบิดาและพระบิดาก็อยู่ในพระองค์ พระองค์ตรัสก็คือพระบิดาที่ทรงทำการ มนุษย์ได้เห็นพระองค์ ก็ได้มองเห็นพระบิดาและผู้ที่รู้จักพระองค์ก็รู้จักพระบิดา เพราะพระองค์ก็คือพระบิดาและเป็นหนึ่งกับพระบิดา(ยฮ.10:30)
  2. พระบุตร (อาดามคนสุดท้าย) กลายเป็นพระวิญญาณผู้ประทานชีวิต ใน 1 โกรินโธ 15:45ข ว่า “...แต่อาดามคนสุดท้ายได้กลายเป็นพระวิญญาณผู้ประทานชีวิต” อาดามคนสุดท้ายก็คือพระเยซูที่อยู่ในรูปกายเลือดเนื้อ และพระวิญญาณผู้ประทานชีวิตก็ต้องเป็นพระวิญญาณ จะต้องไม่เป็นผู้ประทานชีวิตให้อีกองค์หนึ่งต่างหาก ดังนั้นพระคัมภีร์นี้ได้บอกเราอย่างชัดเจน พระเยซูก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ องค์พระผู้เป็นเจ้าได้กลายเป็นรูปกายเลือดเนื้อ คืออาดามคนสุดท้าย จากนั้นได้ผ่านการตายและเป็นขึ้นกลายเป็นวิญญาณผู้ประทานชีวิต ถ้อยคำที่พระองค์ได้ตรัสไว้ในโยฮัน 14:16-20 ก็ได้ยืนยันถึงจุดนี้ ในที่นี้หมายถึงพระองค์ต้องผ่านการตายและเป็นขึ้นกลายเป็นผู้ช่วยอีกผู้หนึ่ง ก็คือพระวิญญาณแห่งความจริงมาสถิตอยู่กับเราและจะอยู่ภายในเรา ในข้อ 17 พระองค์ได้ตรัสไว้ก่อนว่า “พระวิญญาณแห่งความเที่ยงแท้...พระองค์จะอาศัยอยู่กับท่านและอยู่ภายในท่าน” 30 กว่าปีก่อน พี่น้องนีได้กล่าวที่เซี่ยงไฮ้อย่างหนักแน่นว่า พระองค์ในข้อ 17 ซึ่งเป็นพระวิญญาณก็คือเรา ในข้อ 18 ซึ่งก็คือองค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์เสด็จมาก็คือเรามา พระองค์นั้นก็คือเราและเราก็คือพระองค์ พระวิญญาณก็คือพระเยซู พระเยซูก็คือพระวิญญาณ และในข้อ 17 ว่า “พระวิญญาณแห่งความเที่ยงแท้จะอยู่ภายในท่านทั้งหลาย” ในข้อ 20 กล่าวว่า“...เราอยู่ในท่านทั้งหลาย...” นี่ก็ยืนยันว่าพระวิญญาณที่อยู่ในเราทั้งหลาย ก็คือพระองค์ที่ผ่านการตายและเป็นขึ้นเข้ามาอยู่ภายในของเรา
  3. องค์พระผู้เป็นเจ้า พระบุตรก็คือพระวิญญาณนั้น ใน 2 โกรินโธ 3:17 ว่า “...องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณนั้น…” องค์พระผู้เป็นเจ้าในที่นี้ก็คือพระเยซู และพระวิญญาณนั้นก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์ทรงเป็นพระบิดาและเป็นพระวิญญาณด้วย พระองค์ทรงเป็นทุกสิ่ง

6. สาเหตุแห่งตรีเอกภาพของพระเจ้า
โกรินโธ 13:14 ว่า “ขอให้พระคุณแห่งองค์พระเยซูคริสต์เจ้า, ความรักแห่งพระเจ้า และการสามัคคีธรรมแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด” ในที่นี้กล่าวถึง 3 สิ่ง พระคุณ ความรักและการสามัคคีธรรมนี่ได้ถึงสาเหตุแห่งตรีเอกภาพของพระเจ้า ก็เพื่อที่จะแจกจ่ายพระองค์เองเข้าสู่ภายในเรา ให้เรารับสุขและเป็นทุกสิ่ง ความรักของพระเจ้าก็คือความรักแห่งพระบิดาซึ่งเป็นต้นกำเนิดพระคุณของพระคริสต์ ก็คือพระคุณแห่งพระบุตร ซึ่งออกมาจากความรักแห่งพระบิดา และการสามัคคีธรรมของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็คือพระคุณแห่งพระบุตร ได้นำเอาความรักแห่งพระบิดาหลั่งไหลเข้าสู่ภายในเรา ให้เรารับสุข นี่เป็นสิ่งที่เราสามารถยืนยันได้จากประสบการณ์ของเรา การสามัคคีธรรมของพระวิญญาณซึ่งอยู่ภายในเรา นั่นก็คือพระคุณของพระบุตรถ่ายเทเข้าสู่ภายในเราให้เราได้รับสิ่งนี้ พระคุณของพระบุตรซึ่งอยู่ในเราก็คือการลิ้มรสรับสุขความรักแห่งพระบิดาที่แท้จริง

สรุปได้ว่าความรักแห่งพระบิดาเป็นต้นกำเนิด พระคุณแห่งพระบุตรเป็นการสำแดงออก การสามัคคีธรรมของพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็คือการถ่ายเท คือได้นำเอาพระคุณแห่งพระบุตร รวมทั้งความรักแห่งพระบิดาถ่ายเทเข้าสู่ภายในเรา ผลที่สุดทุกสิ่งของพระเจ้าตรีเอกภาพได้อยู่ภายในเราเป็นการรับสุขของเรา ภายในของเรามีการสามัคคีธรรมของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ถ้าท่านยิ่งอยู่ในการสามัคคีธรรมนี้ ก็ยิ่งมีพระคุณของพระคริสต์ ยิ่งมีพระคุณของพระคริสต์ ก็ยิ่งรับสุขความรักของพระเจ้า การสามัคคีธรรมของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้นำมาซึ่งพระคุณแห่งพระคริสต์ พระคุณแห่งพระคริสต์นี้ก็คือความรักแห่งพระเจ้า ฉะนั้นความรักแห่งพระเจ้า พระคุณแห่งพระบุตร การสามัคคีธรรมแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ใช่ของสามสิ่งที่แตกต่างกัน แต่เป็นของอย่างเดียวที่มีสามขั้นตอนเพื่อให้เรารับสุข ทำนองเดียวกัน พระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณ ไม่ใช่พระเจ้าสามพระองค์ แต่เป็นพระเจ้าองค์เดียว ที่มีสามขั้นตอนเพื่อให้เราได้รับสุข

2. หลักความรัก
ศาสนาคริสต์ได้ชื่อว่าเป็น "ศาสนาแห่งความรัก" ดังมีคำอธิบายว่าศาสนาคริสต์เป็นศาสนาแห่งความรักของพระเจ้า ศาสนาแห่งความรักของมนุษย์ อันพระเยซูคริสต์ได้ทรงเป็นผู้นำมาเผยแพร่แก่โลก

ปรัชญาในคำสอนของพระเยซู คือปรัชญาแห่งความรัก ความรักเป็นหลักธรรมสำคัญที่สุดที่พระเยซูทรงสั่งสอนเริ่มต้นตั้งแต่ทรงสอนว่า พระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาสู่โลกนี้ เพื่อทรงใช้หนี้บาปแทนมนุษย์ เพื่อให้มนุษย์รอดพ้นบาป สอนให้มนุษย์รักพระเจ้า รักครอบครัว รักเพื่อนบ้าน และรักเพื่อนมนุษย์ทั้งหลายทั่วไป เมื่อมีผู้ถามว่า ข้อบัญญัติอันใดของพระองค์ที่ทรงถือเป็นข้อสำคัญยิ่งใหญ่ที่สุด พระเยซูทรงตอบว่า ความรัก และทรงอธิบายต่อไปว่าให้รักพระเจ้าและรักเพื่อนมนุษย์

คำว่า "ความรัก" ในคริสต์ศาสนา มิได้หมายถึงความรักใคร่หรือความรักที่ประกอบด้วยตัณหา แต่เป็นความรักอันบริสุทธิ์ ซึ่งในภาษากรีกอันเป็นภาษาที่จารึกพระคัมภีร์พระคริสต์ธรรมภาคพันธสัญญาใหม่ใช้คำว่า Agape (อกาเป) คือความปรารถนาที่จะเห็นผู้อื่นมีความสุข ความเสียสละเพื่อช่วยให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ และความยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี ความรักชนิดนี้ตรงกับคำว่า เมตตา กรุณา และมุทิตา ในทางพระพุทธศาสนา คำสอนของพระเยซูที่สอนให้มีความรักความรารถนาดีต่อกันนั้นมีมาก ดังจะยกตัวอย่างมาดังนี้
  1. "เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จึงได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร"
  2. "จงรักพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจของเจ้าด้วยสุดกำลังและสิ้นสุดความคิดของเจ้า และจงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง"
  3. "ถ้าผู้ใดว่า "ข้าพเจ้ารักพระเจ้า" แต่ใจยังเกลียดชังพี่น้องของตน ผู้นั้นก็เป็นคนพูดมุสา เพราะว่าผู้ที่ไม่รักพี่น้องของตนที่แลเห็นแล้ว จะรักพระเจ้าที่ไม่เคยเห็นไม่ได้ พระบัญญัตินี้เราทั้งหลายก็ได้มาจากพระองค์ คือว่าให้เห็นคนที่รักพระเจ้านั้นรักพี่น้องของตนด้วย"
  4. "จงรักศัตรูของท่าน และจงอธิษฐานเพื่อผู้ที่ข่มเหงท่าน ทำดังนี้แล้วท่านทั้งหลายจะเป็นบุตรของพระบิดาของท่านผู้ทรง "สถิตในสวรรค์"
3. หลักอาณาจักรพระเจ้า
คำว่า "อาณาจักรพระเจ้า" ซึ่งในพระคัมภีร์พระคริสต์ธรรมใหม่ใช้คำว่า "Kingdom of God" นั้น ได้มีการกล่าวถึงตลอดมาตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน แต่มีการตีความหมายของคำนี้แตกต่างกันไป คือ
  1. อิสยาห์ หรือ ยะซายา (Isaiah) ศาสดาพยากรณ์ของยิวได้ทำนายว่า พระมาซีฮา พระผู้ช่วยให้รอดจะเสด็จมาเผด็จศึก ทำลายล้างศัตรูและตั้งอาณาจักรแห่งพระเจ้าขึ้นในโลกนี้ และจะทรงใช้กรุงเยรูซาเลมเป็นศูนย์กลางทางด้านการเมือง และการศาสนาชนชาติอิสราเอลจะกลับคืนมาสู่ความเจริญรุ่งโรจน์ โลกจะประสบสันติสุข พระมาซีฮาจะเป็นผู้ปกครองโลกด้วยฤทธิ์อำนาจของพระผู้เป็นเจ้า
  2. ยอห์นหรือโยฮัน ผู้ให้ศีลจุ่ม (John the Baptist) ได้ประกาศคำสอนในแคว้นยูเดีย คำสอนหลักของยอห์นคือ "จงกลับใจเสียใหม่ จงเลิกกระทำบาปเสีย เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์อยู่ใกล้ท่านแล้ว" เมื่อพระเยซูทรงรับศีลล้างบาปจากยอห์นแล้ว พระองค์เริ่มประกาศคำสอนในแคว้นกาลิลี ตรัสว่า "เวลากำหนดมาถึงแล้ว และอผ่นดินของพระเจ้าก็ใกล้แล้ว จงกลับใจเสียใหม่ จงเลิกกระทำบาปเสียและเชื่อข่าวประเสริฐเถิด" จากข้อความในพระคัมภีร์ทั้งสองแห่งนี้ ในสมัยโบราณเคยมีชาวคาทอลิกบางคนตีความว่า อาณาจักรของพระเจ้า (theKingdom of God) กับแผ่นดินสวรรค์ (the Kingdom of heaven) มีความหมายอย่างเดียวกันนั่นคือ อาณาจักรของพระเจ้า ได้แก่ แผ่นดินสวรรค์ อันเป็นที่สถิตของพระผู้เป็นเจ้าและทูตสวรรค์
  3. นิกายออร์ธอดอกซ์ เชื่อว่าโบสถ์วิหารทั้งหลายอันเป้นที่บำเพ็ญพรตนั้น คืออาณาจักรของพระเจ้า (Kingdom of God) หมายความว่าอาณาจักรของพระเจ้าไม่ใช่อยู่บนสวรรค์ที่คาทอลิกเข้าใจกัน
  4. ในปัจจุบันได้มีการอธิบายว่า อาณาจักรของพระเจ้า คือ พระศาสนจักร ศาสนจักรคือหมู่คณะ หรือชุมนุมของคริสต์ศาสนิกชน หมู่คณะดังกล่าวร่วมกันอยู่เป็นกลุ่มทางสังคม มีกฎเกณฑ์ มีการปกครอง แต่ทั้งหมดก็อยู่บนความเชื่อที่ทำให้ทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกัน

ในการสังคายนาวาติกันครั้งที่ 2 ที่กรุงโรม ปี ค.ศ. 1962 ได้มีประกาศธรรมนูญว่าด้วยพระศาสนจักร มีข้อความตอนหนึ่งว่า "พระเป็นเจ้าทรงเลือกสรรอิสราเอลขึ้นเป็นประชากร ทรงกำลังสัมพันธไมตรีกับเขา...พระคริสต์เจ้าทรงตั้งสัมพันธไมตรีใหม่ หรือพันธสัญญาใหม่ด้วยพระโลหิตของพระองค์จากบรรดาชาวยิวและนานาชาติ ทรงเรียกประชากรมนุษย์ให้มาเป็นหนึ่งเดียวกัน...นี่แหละคือ ประชากรของพระเจ้า.... พระศาสนจักรมีความมุ่งหมายเกี่ยวกับจุดหมายปลายทางของมนุษย์ ความมุ่งหมายนั้นจะบรรลุผลสำเร็จบริบูรณ์ได้ก็แต่ในโลกหน้า แต่ศาสนจักรดำรงอยู่ในโลกนี้แล้วประกอบด้วยมนุษย์ ประกอบด้วยสมาชิกของพลโลก ตั้งครอบครัวของพระเป็นเจ้าขึ้นในประวัติศาสตร์ของโลก และครอบครัวนั้นจะต้องทวีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกว่าพระคริสต์เจ้าจะเสด็จมา..." ประกาศนี้มีความหมายว่า อาณาจักรพระเจ้าที่พระเยซูทรงนำมาปลูกฝังให้แก่ประชาชนนั้นอาจนับได้เป็น 2 ชั้น ชั้นแรก หมายถึง อาณาจักรแห่งพระเจ้าบนโลกนี้ อันจะเป็นรากฐานสำหรับชั้นสุดท้าย คืออาณาจักรแห่งพระเจ้าที่สมบูรณ์บนสวรรค์

4. บาปกำเนิด
คือ บาปที่ติดตัวมนุษย์มาตั้งแต่เกิด Genesisปฐมกาล :บาปกำเนิด Original sin พระเยซูเจ้าทรงทำให้เรา ประสานมิตรภาพระหว่างเรากับพระเป็นเจ้าโมเสส

ขั้นแรก โมเสสอธิบายเรื่องสร้างโลก ถ้าโมเสสจะเล่าอย่างรวบรัดแบบตำราวิทยาศาสตร์ ชาวอิสราเอลคงไม่เข้าใจ ฉะนั้นท่านได้เล่าทำนองเปรียบเทียบเพื่อความเข้าใจ ดังนั้น ท่านก็แน่ใจว่า ชาวอิสราเอลจะเข้าใจในสิ่งสำคัญในเรื่องหนึ่งๆๆ ก่อนเล่า ท่านรำพึงอยู่นาน และพระเป็นเจ้าก็ทรงดลใจให้ท่านเล่าทุกอย่างโดยถูกต้อง ประวัติของโลกแบ่งเป็น 3 ภาค
ภาคแรกคือ การสร้างโลก
ภาคที่สองคือ มนุษย์ได้ทำบาป
ภาคที่สามคือ ยังไม่เสร็จ คือการสร้างโลกใหม่

โมเสสเริ่ม : หะแรกพระเป็นเจ้าทรงสร้างฟ้าและแผ่นดิน เวลานั้นยังมิใช่โลกสวยงามอย่างทุกวันนี้ แต่เป็นก้อนหินมหึมาที่ไม่มีรูปแน่นอน พระเป็นเจ้าตรัสให้มีแสงสว่าง ความสว่างก็มีขึ้น นี่เป็นวันแรก เมื่อโลกยังเป็นแต่ของเหลว พระเป็นเจ้าตรัส ให้น้ำแยกออกเป็นหลายแห่ง และก็ได้เป็นเช่นนั้น วันที่ 2 วันต่อมาพระเป็นเจ้าตรัสว่า "ให้น้ำบนแผ่นดินไปรวมแห่งเดียวกัน" ดังนี้ จึงได้มีทะเลและทวีป พระองค์ตรัสอีกว่า "ให้แผ่นดินเกิดหญ้า ผัก ผลไม้ และทวีแพร่หลาย "ทุกสิ่งก็เป็นมาตามรับสั่ง นี้เป็นวันที่ 3 วันต่อมา พระเป็นเจ้าตรัส "ให้มีดาวต่างๆๆในท้องฟ้า" จึงได้มีดวงอาทิตย์ฉายแสงกลางวัน มีเดือนส่องแสงกลางคืน มีดาวเคราะห์ และดาวอื่นๆๆนับอนันต์

นับเป็นวันที่ 4 วันต่อมา พระเป็นเจ้าตรัส "ให้มีสัตว์ในน้ำและในอากาศ"จึงมีปลาและนกต่างๆๆ ซึ่งแผ่นลูกหลานต่อๆๆไป นับเป็นวันที่ 6 วันต่อมาพระเป็นเจ้าตรัส "ให้แผ่นดินบังเกิดสัตว์บกทุกชนิด" แผ่นดินก็ปกคลุมด้วยสัตว์ต่างๆๆโดยลำดับ โมเสสก็หยุดเล่า

ชาวอิสราเอลเข้าใจดีว่า โลกมิได้สำเร็จขึ้นภายใน 6 วัน วันหนึ่งมี 24ชม แต่ดลกค่อยๆๆสมบูรณ์ขึ้นอย่างช้าๆๆ ที่สำคัญ เขาเข้าใจใจความที่โมเสสเล่าคือ พระเป็นเจ้าทรงสร้างทุกสิ่ง และทรงเป็นเจ้านายของโลก

แล้วโมสสเล่าถึงการสร้างชายหญิงคู่แรก ท่านชี้ให้ชาวอิสเราเอลรู้ว่าพระเป็นเจ้าทรงสร้างมนุษย์ด้วยความรักเป็นพิเศษเพระต้องการให้มนุษย์ดูแลโลก ทรงสร้างมนุษย์ตามพระฉายาของพระองค์ ทรงสร้างกายด้วยดิน แล้วเป่าลมแห่งชีวิต มนุษย์ก็มีชีวิต และอยู่ใน "สถานะพระหรรษทาน" ชายคนแรกนี้มีความสุขอย่างสมบูรณ์ เพราะว่าชายคนนั้นไม่อาจเจริญชีวิตได้โดยลำพังพระเป็นเจ้าก็ประทานหญิงคนหนึ่งให้เป็นเพื่อนพระองค์ประสานเขาทั้งสองให้สนิทกัน เหมือนหนึ่งใจเดียวกายเดียวกัน ชายนั้นคือ อาดัม แปลว่า เกิดจากดิน หญิงชื่อ เอวา แปลว่า แม่ของผู้มีชีวิต ทั้งสองเป็นเจ้านายสิ่งสร้าง ดูแลโลกให้สำเร็จตามแผนที่พระเจ้าทรงจัดไว้ แผ่นดินเป็นดังอุทธยาน

เมื่อคิดถึงทุกสิ่งที่โมเสสเล่า ชาวอิสราเอลก็เข้าใจว่า พระเป็นเจ้าทรงยิ่งใหญ่ มีฤทธิ์ ทรงปัญญา และใจดีหาที่สุดมิได้ โมเสสเสริมว่า "นี่แหละพระเป็นเจ้าแท้แต่ผู้เดียว" ท่านจงออกพระนามโดยเคารพ เรียกพระองค์ซื่อๆๆว่า "อาโดนาย" คือ "พระเป็นเจ้า" ต่อมาเมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จลงมาแล้ว เราจึงจะรู้ว่า พระเป็นเจ้าทรงเป็น "บิดาของเรา"ด้วย

อ่านต่อ หน้าถัดไป >>>

ประวัติความเป็นมาของศาสนาและผู้ก่อตั้งศาสนา
กำเนิดและวิวัฒนาการของนิกายที่สำคัญในศาสนาคริสต์
องค์ประกอบของคริสต์ศาสนา
ศาสนธรรมในศาสนาคริสต์
หลักคำสอนของศาสนาคริสต์
หลักคำสอนสำคัญ
เรื่องบาปกำเนิด
ศาสนบุคคลในศาสนาคริสต์
คริสต์ศาสนปราชญ์
ศีลศักดิ์สิทธิ์วิถีชีวิตของชาวคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก
พิธีกรรมและแนวความเชื่อของนิกายออร์ธอด็อกซ์
พิธีกรรมของนิกายโปรเตสแตนต์
วันสำคัญทางศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิก
วันสำคัญคริสตศาสนา นิกายโปรเตสแตนท์
วันสำคัญของคริสต์ศาสนาทุกนิกาย
ปัสกา
อัสสัมชัญ
ศาสนสถานที่สำคัญในศาสนาคริสต์
คาทอลิก กับ โปรเตสแตนท์ต่างกันตรงไหน
 

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย