ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ บุคคลสำคัญ ประเทศและทวีป »
จังหวัดปราจีนบุรี
ข้อมูล » ประวัติศาสตร์-ความเป็นมา ศิลปะ-วัฒนธรรม-ประเพณี สถานที่สำคัญ-แหล่งท่องเที่ยว โรงแรม-ที่พัก
ประวัติศาสตร์-ความเป็นมา จังหวัดปราจีนบุรี(2)
จวบจนถึงปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา ในสมัยแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ปรากฏว่าเกิดเรื่องยุ่งยากในการสืบราชสมบัติ เนื่องจากพระราชโอรสไม่สามัคคีปรองดองกัน (โอรสทั้ง 3 พระองค์ คือ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนเสนาพิทักษ์ เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์ (เจ้าฟ้ากุ้ง) สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรี (เจ้าฟ้าเอกทัศ) และสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิต (เจ้าฟ้าอุทุมพร) และพระโอรสเกิดจากพระสนม
ต่อมาพระราชโอรสองค์ใหญ่ คือ สมเด็จเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์ ได้รับพระราชอาญาให้ประหารชีวิตเนื่องจากลักลอบเป็นชู้กับพระสนม ส่วนราชโอรสองค์กลางคือ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรี (เจ้าฟ้าเอกทัศ) นั้น พระปรีชาและพระอุปนิสัยไม่เหมาะแก่การปกครองบ้านเมือง โปรดให้ออกผนวชและทรงแต่งตั้งให้สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิตเป็นอุปราช เมื่อพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศเสด็จสวรรคต สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิต ทรงขึ้นครองราชย์ ทรงพระนามว่า พระเจ้าอุทุมพร ต่อมากรมหมื่นจิตสุนทร กรมหมื่นสุนทร-เทพ และกรมหมื่นเสพย์ภักดี คบคิดกันช่วงชิงราชสมบัติแต่ไม่สำเร็จ ถูกสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์ หลังจากนั้นพระเจ้าอุทุมพรทรงถวายราชสมบัติให้สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรี ขึ้นครองราชย์ทรงพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าเอกทัศ หรือเรียกกันว่าขุนหลวงขี้เรื้อน ส่วนพระเจ้าอุทุมพรเมื่อมอบราชสมบัติให้แก่พระเชษฐาแล้ว ก็ทรงออกผนวชและก่อนที่กรุงศรีอยุธยาจะเสียให้แก่พม่าเป็นครั้งที่ 2 ในพุทธศักราช 2309 ปีจอ กรมหมื่นเทพพิพิธ ซึ่งถูกพระเจ้าเอกทัศ เนรเทศไปอยู่เมืองจันทบุรีได้ชักชวนรวบรวมกำลังจัดกองทัพมาช่วยรบพม่าซึ่งขณะนั้นกำลังล้อมกรุงศรีอยุธยาอยู่ กองทัพได้ยกกำลังมาถึงเมือง ปราจิณ และให้นายทองอยู่น้อย เป็นแม่ทัพหน้ายกพลไปตั้งมั่นอยู่ปากน้ำโยทะกา แขวงเมืองนครนายก ต่อมาพม่าได้ยกกองทัพมาตีทัพหน้าของกรมหมื่นเทพพิพิธแตกพ่ายไป กรมหมื่นเทพพิพิธจึงเสด็จหนีไปยังเมืองนครราชสีมา จากเหตุการณ์ที่กรมหมื่นเทพพิพิธได้ชักชวนกำลังราษฎรไปรบกับพม่าช่วย กรุงศรีอยุธยาและได้ยกกองทัพมาถึงเมืองปราจิณนั้น คาดว่าบรรดาชายฉกรรจ์ของเมืองปราจิณ ซึ่งมีเลือดรักชาติและเป็นนักรบอยู่แล้ว คงอาสาร่วมรบพม่าในครั้งนี้ด้วยเป็นแน่แท้
หลังจากกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าในปี พ.ศ. 2310 แล้ว พม่าตั้งใจจะมิให้ไทยตั้งตัวได้อีก จึงเผาผลาญทำลายปราสาทราชวัง วัดวาอาราม ตลอดจนบ้านเรือนของราษฎรเสียหายยับเยิน ทั้งยังกวาดต้อนผู้คนเก็บทรัพย์สมบัติไปจนหมดสิ้น กรุงศรีอยุธยาซึ่งเคยเป็นราชธานีของไทยที่ยืนยาวมาหลายร้อยปี ก็ถึงกาลพินาศล่มจมนับพระมหากษัตริย์ปกครองกรุงศรีอยุธยารวมทั้งสิ้น 34 พระองค์
จากพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาระบุว่า ในการสงครามครั้งนี้ เมืองปราจิณต้องถูกพม่าทำลายบ้านเมืองด้วย และคงกวาดต้อนราษฎรไปด้วยเป็นอันมาก จากซากกำแพงเมืองที่หลงเหลืออยู่ก็พอจะสันนิษฐานได้ว่า เมืองปราจิณซึ่งถูกกองทัพพม่าบุกยึดเมืองได้ คงถูกทำลายเสียหายย่อยยับเช่นเดียวกันกับกรุงศรีอยุธยา
ในช่วงเหตุการณ์ก่อนการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 นี้ เมืองปราจิณได้มีส่วนเกี่ยวพันกับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ คือ พระยาตาก ขณะนั้นเป็นพระยาวชิรปราการ ได้รวบรวมสมัครพรรคพวกทั้งชาวไทยและชาวจีน ตีฝ่าวงล้อมของทหารพม่าที่ล้อมกรุงศรีอยุธยาออกมาได้ขณะหยุดประทับ ณ บ้านพรานนก ความทราบถึงกองกำลังของทหารพม่าซึ่งตั้งมั่นรักษาเมืองปราจิณอยู่ที่บ้านบางคาง (ปัจจุบันคือบ้านบางคาง ตำบลรอบเมือง อำเภอเมืองปราจีนบุรี จังหวัดปราจีนบุรี) ซึ่งอยู่ทางทิศตะวัน-ตกห่างจากตัวเมืองปราจิณประมาณ 2 กิโลเมตรเศษ จึงนำกำลังไปปราบปราม ปะทะกับทหารไทย-จีน ของพระยาตากที่ออกมาหาเสบียงอาหาร ผลปรากฏว่าฝ่ายพระยาตากได้รับชัยชนะ ทำให้พระยาตากเป็นที่เลื่อมใสของบรรดาชาวไทยทั่วๆ ไป และเป็นที่ยำเกรงของพม่า ตลอดจนหมู่คนไทยจากชุมนุมต่างๆ ต่อมาพระยาตากได้ยกกองทัพมาถึงเมืองปราจิณ ข้ามแม่น้ำปราจีนบุรีที่ด่านกบแจะ (ปัจจุบันคือ วัดกระแจะ อำเภอเมืองปราจีนบุรี จังหวัดปราจีนบุรี) แล้วเดินทัพตัดออกทางบ้านคู้ลำพัน (ตำบลคู้ลำพัน อำเภอโคกปีบ จังหวัดปราจีนบุรี) และหยุดพักไพร่พลเพื่อหุงหาอาหารทางด้านฟากตะวันออกที่ชายดงศรีมหาโพธิ (บริเวณลานต้นโพธิ์ อำเภอโคกปีบ จังหวัดปราจีนบุรี) หลังจากนั้นก็เดินทัพผ่านเมืองฉะเชิงเทรา เมืองชลบุรี ต่อไปจนถึงเมืองระยองเข้ายึดเมืองจันทบุรีได้สำเร็จยึดเป็นที่มั่นรวบรวมซ่องสุมกำลังเพื่อกู้ราชธานี กรุงศรีอยุธยาคืนจากพม่า
ท้ายที่สุดพระยาตาก ก็รวบรวมและปราบปรามชุมนุมต่างๆ จนราบคาบและสามารถกู้ อิสรภาพให้พ้นจากอำนาจของพม่าได้ ดังนั้นในวันอังคาร แรม 4 ค่ำ เดือน 1 ตรงกับวันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม พุทธศักราช 2311 พระยาตากจึงสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานีแทนกรุงศรีอยุธยา และเสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นกษัตริย์ครองกรุงธนบุรี ทรงพระนามว่า สมเด็จพระบรมราชาที่ 4 เมื่อพระชนมายุได้ 34 พรรษา ซึ่งปัจจุบันได้ถวายพระราชสมญาว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
ในสมัยกรุงธนบุรีนั้น พระราชพงศาวดารหรือประวัติศาสตร์ไม่ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเมืองปราจิณเหมือนสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ทั้งนี้ เพราะในสมัยของสมเด็จพระเจ้ากรุง ธนบุรีหรือสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เป็นช่วงระยะฟื้นฟูประเทศ ตลอดช่วงรัชสมัยของพระองค์ถ้าไม่ทำสงครามกับพม่าก็ต้องปราบปรามชุมนุมต่างๆ ของไทย เพื่อรวบรวมชาติไทยให้เป็นปึกแผ่น แต่ในหนังสือประวัติศาสตร์ชาติไทยของพระบริหารเทพธานี ได้เขียนไว้ว่าใน พ.ศ. 2312 พระรามราชาเกิดผิดใจกับพระนารายณ์ราชา พระรามราชากษัตริย์ของเขมร จึงขอเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารต่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงโปรดฯ ให้พระยาโกษาธิบดี (ล่าย) ยกทัพไปปราบพระนารายณ์ราชา พระยาโกษาธิบดียึดได้เมืองพระตะบอง เสียมราฐ กลับมาได้ใน พ.ศ. 2313 ในการปราบเขมรครั้งนี้ เมืองปราจิณซึ่งเป็นหัวเมืองชายแดนทางตะวันออกคงถูกเกณฑ์ชายฉกรรจ์ไปร่วมสงครามด้วย นอกจากนี้ยังปรากฏในสำเนาท้องตรา พ.ศ. 2316 ว่า พระปราจิณบุรีได้มีท้องตราแจ้งว่าพม่าและลาวยกพลมาตั้งที่ตำบลท่ากระเล็บนอกด่านพระจารึก จึงได้โปรดให้เกณฑ์ทัพหัวเมืองต่างๆ ในภาคกลางและภาคตะวันออกไปช่วยรบ จึงอาจสรุปได้ว่าเมืองปราจิณคงได้รับการบูรณะในฐานะเป็นหัวเมืองหน้าด่านทางตะวันออกของกรุงธนบุรี และคงอยู่ในฐานะเมืองหน้าด่านทางด้านเขมรจวบจนสิ้นสมัยกรุงธนบุรี
ในสมัยตอนต้นของกรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานีของไทย ไม่มีเหตุการณ์สำคัญเกี่ยวข้องกับเมืองปราจิณมากนัก ทั้งนี้เพราะเขมรถูกญวนรุกราน และกองทัพไทยก็ปราบปรามเขมรจนราบคาบ จะมีก็แต่ในช่วงที่กรุงธนบุรีเกิดเหตุการณ์จราจล เพราะเมื่อสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกทรงเสด็จกลับกรุงธนบุรีเพื่อปราบปรามการจราจลและจัดการพระนครนั้น เจ้าพระยาสุรสีห์ให้กองทัพไปล้อมกรมขุนอินทรพิทักษ์พระราชโอรสของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีไว้ที่เมืองพุทธไธเพชร แต่กรมขุนอินทร-พิทักษ์สามารถตีหักออกจากที่ล้อมได้ ยกกำลังหนีไปเมืองปราจิณ ต่อมาถูกจับกุมได้และถูกประหารชีวิต สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ทรงปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์เป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ทรงย้ายราชธานีจากกรุงธนบุรีมาเป็นกรุงรัตนโกสินทร์และได้มีการถวายพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
ในประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับเมืองปราจิณ ในสมัยรัตนโกสินทร์ไม่มีเหตุการณ์สำคัญที่เกี่ยวข้องกับเมืองปราจิณมากนัก ทั้งนี้เมืองปราจิณเป็นเมืองหน้าด่านทางตะวันออกที่จัดว่าสำคัญ เพราะเป็นทางผ่านในการเดินทัพไปมาระหว่างการสงครามไทยกับเขมร คือ เขมรคอยหาโอกาสและจังหวะที่ไทยอ่อนแอ หรือเกิดความจลาจลวุ่นวายในบ้านเมือง ยกกองทัพมาซ้ำเติมและกวาดต้อนผู้คนบริเวณหัวเมืองชายแดนไทย ซึ่งจากเหตุผลนี้คาดว่าครอบครัวและราษฎรไทยในเมืองปราจิณ ก็คงจะถูกกวาดต้อนไปบ้างและในกรณีที่ไทยยกกองทัพไปปราบปรามเขมร เนื่องจากเขมรแข็งเมืองบ้าง เขมรทะเลาะวิวาทกันเองบ้าง ราษฎรในเมืองปราจิณก็ต้องถูกเกณฑ์ไปรบด้วย สำหรับเมืองปราจิณมีด่านสำคัญอยู่ด่านหนึ่งคือ "ด่านหณุมาน" (ในเขตอำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี) เป็นด่านหน้าสำหรับคอยป้องกันเขมรทางด้านตะวันออก คำว่าหณุมาน เป็นทั้งชื่อด่านและแควลำน้ำหณุมาณด้วย เป็นแควน้อยที่คู่กับแควใหญ่ เรียกว่า "แควพระปรง" สำหรับด่านหณุมานนี้สันนิษฐานว่าตั้งมาก่อนสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 แห่งราชวงศ์จักรี เพราะในสมัยนี้ได้ยกฐานะด่านหณุมานตั้งเป็นเมืองกบินทร์บุรีขึ้น (ปี พ.ศ. 2468 เปลี่ยนเป็นอำเภอกบินทร์-บุรี) และในสมัยรัชกาลที่ 3 นี้ โปรดให้ยกฐานะบ้านที่เป็นชุมชนหนาแน่นเป็นเมือง ขึ้นกรมมหาดไทย คือ เมืองประจันตคาม เมืองกบินทร์บุรี เมืองอรัญประเทศ เมืองวัฒนานคร ฯลฯ และเมื่อครั้งเจ้าอนุวงศ์ นครเวียงจันทน์ เป็นกบฏในสมัยรัชกาลที่ 3 ราว พ.ศ. 2368 ทรงโปรดให้กรมหมื่นสุรินทร์รักษ์ เป็นจอมทัพไปปราบปราม กรมหมื่นสุรินทร์รักษ์ได้ตั้งประชุมพลที่เมืองปราจิณ และยกกองทัพไปปราบเจ้าอนุวงศ์ เมืองเวียงจันทน์ เป็นผลสำเร็จ
จังหวัด » จันทบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ตราด ปราจีนบุรี ระยอง สระแก้ว