สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ การเมือง เศรษฐศาสตร์ >>
เหตุผลใหม่ของการเรียนเศรษฐศาสตร์
รศ.ดร. วราภรณ์ สามโกเศศ
สุทธิพิทักษ์ศาสตราภิชาน
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
ช่วงเวลานี้คงเหมาะที่สุดสำหรับการหาข้อมูลเพื่อตัดสินใจ
เลือกสาขาเข้าเรียนในมหาลัยของมวลหมู่นักเรียนในชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายทั้งปลาย
ที่ขณะนี้กำลังคร่ำเคร่งกับการเตรียมสอบไล่และอีกไม่นานต่อไปก็คือการสอบเข้ามหาวิทยาลัย
การเล่าให้ฟังว่าเขาเรียนเศรษฐศาสตร์กันไปทำไม
คงจะเป็นประโยชน์ตามสมควรแก่ตัวนักเรียน
และคุณพ่อคุณแม่ที่อาจมีส่วนร่วมในการตัดสินใจนี้
ปัจจุบันมีนักเศรษฐศาสตร์บางคนพยายามหาเหตุผลใหม่ๆ
เกี่ยวกับการเลือกเรียนเศรษฐศาสตร์ จึงใคร่นำมาขยายความเพื่อความทันสมัย
และเพื่อเป็นข้อมูลใหม่สำหรับการตัดสินใจ
ในความเห็นสมัยใหม่มีเหตุผลไม่ต่ำกว่าห้าประการที่ควรเรียนเศรษฐศาสตร์
ประการแรก
ก็คือวิชาเศรษฐศาสตร์พยายามพัฒนาทฤษฎีเกี่ยวกับพฤติกรรมมนุษย์ที่อยู่บนพื้นฐานของความมีเหตุผล
(RATIONALITY)
และในการค้นหานี้ได้ผลิตวิธีการคิดที่มีประโยชน์ในเรื่องว่าพฤติกรรมที่มีเหตุผลมีลักษณะอย่างไร
และถ้าเข้าใจในบางเรื่อง เช่น ต้นทุนส่วนเพิ่ม (MARGINAL COST) ต้นทุนที่จมอยู่แล้ว
(SUNK COST) ฯลฯ ด้วยแล้วก็จะมีเครื่องมือสำคัญ
และมีประโยชน์ยิ่งในการตัดสินใจเกี่ยวกับการจัดการเกี่วกับชีวิตของตนเอง
ต้องไม่ลืมว่าการเข้าใจพฤติกรรมมนุษย์เกี่ยวกับเรื่องเศรษฐกิจเป็นเรื่องใหม่ที่เพิ่งค้นคว้ากันไม่นานมานี้
ประเด็นก็คือพฤติกรรมมนุษย์ซึ่งเชื่อว่ามีเหตุผล และถ้าเราเข้าใจพฤติกรรมเหล่านี้
(รวมพฤติกรรมของตัวเราด้วย)
ตลอดจนเรื่องต้นทุนส่วนเพิ่มและต้นทุนที่จมอยู่แล้วคุณภาพในการตัดสินใจของเราก็ต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน
ต้นทุนส่วนเพิ่ม (MARGINAL COST) หมายถึง ว่าในการผลิตเพิ่มขึ้น
1 หน่วยหรือดำเนินกิจการใดเพิ่มขึ้นหนึ่งหน่วย
หรือดำเนินกิจการใดเพิ่มขึ้นหนึ่งหน่วย จะมีต้นทุนเกิดขึ้นมากน้อยเพียงใด
ส่วนต้นทุนที่จมอยู่แล้ว (SUNK COST) หมายถึง ต้นทุนที่เกิดขึ้นแล้วจะจ่ายไปแล้ว
โดยไม่ผันแปรกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ตัวอย่างเช่น เมื่อต้องตัดสินใจว่าสมควรจะใช้เวลาอีกสองสามอาทิตย์
ในการมองหาเงื่อนไขที่ดีกว่าในการซื้อบ้านหรือรถยนต์หรือไม่
ผู้เรียนเศรษฐศาสตร์จะสามารถติดได้ชัดเจนว่าควรจะมองบ้านหรือรถคันอื่นหรือไม่
หลังจากได้พบสิ่งที่ถูกใจแล้ว
ก็คือการเปรียบเทียบระหว่างผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการค้นหาเพิ่มเติม
กับต้นทุนส่วนตัวที่ต้องจ่ายเพิ่มขึ้นถ้าพบว่าไม่คุ้มก็ควรเลือกสิ่งที่ถูกใจแล้ว
มิฉะนั้นก็ค้นหาต่อไป
สำหรับต้นทุนที่จมอยู่แล้ว
การตัดสินใจต้องอยู่บนพื้นฐานของต้นทุนที่เกี่ยวพันโดยไม่นำต้นทุนที่จมอยู่แล้วนำมาคำนึงถึง
เช่น ในการประเมินความเป็นไปได้ของโครงการ การตัดสินใจว่าควรทำหรือไม่
จะต้องไม่เอาค่าใช้จ่ายในการประเมินโครงการมาคำนึงถึงด้วย
เพราะเป็นค่าใช้จ่ายที่ต้องเกิดขึ้นไม่ว่าจะทำโครงการหรือไม่
การเสียดายค่าใช้จ่ายสูงในการประเมินโครงการจนทำให้ต้องตัดสินใจทำโครงการอาจเสียหายมากมายในที่สุด
เป็นวิธีการตัดสินใจที่ผิด
ประการที่สอง
เราเรียนเศรษฐศาสตร์เพื่อเข้าใจและคาดคะเนพฤติกรรมของคนอื่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบที่เกิดขึ้นจากพฤติกรรมของคนจำนวนมาก
ทั้งนี้ เพื่อจะได้เป็นการข้อมูลประกอบการวางแผนชีวิตของผู้เรียน
ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนที่พยายามทำเงินในตลาดหุ้นหรือนายพลทหารที่พยายามป้องกันไม่ไห้ผลทหารวิ่งหนี
(เพราะสำหรับพลทหารชั่วคราวทั่วไปแล้ว การมีชีวิตรอดน่าจะสำคัญกว่าชนะสงคราม)
หรือเจ้าของบ้านมีความต้องการขู่พวกขโมย ด้วยการติดป้ายหน้าบ้าน
(แสดงให้เห็นว่าใกล้อำนาจรัฐ โดยชื่อมีไตเติ้ลเป็นยศเป็นตำแหน่ง)
หรือนักเรียนพยายามคาดคะเนค่าจ้างในอนาคตของอาชีพต่างๆ
อย่างไรก็ดี
ในทุกกรณีข้างต้นความรู้เศรษฐศาสตร์แต่อย่างเดียวไม่เพียงพอต่อการต้องการคาดคะเน
เราจำเป็นต้องมีข้อเท็จจริงและวิจารณญาณประกอบด้วย
หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่าเศรษฐศาสตร์ให้แต่เพียงกรอบที่จำเป็นโดยความรู้และวิจารณญาณต้องผสมผสานกันเพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ถูกต้องกรืออย่างน้อยก็ได้ข้อสรุปที่ดีกว่ากรณีที่ไม่มีเศรษฐศาสตร์เลย
ประการที่สาม
เรียนเศรษฐศาสตร์เพื่อจะไปสอนเศรษฐศาสตร์แก่คนอื่นต่อไปหรือเพื่อค้นคว้าวิจัยสร้างองค์ความรู้เรื่องเศรษฐกิจ
แก่สังคมต่างๆ
วิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้คงทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยเห็นความสำคัญของการจัดการเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพ
(บางคนอาจบอกว่าจงอยู่ให้ไกลอาชีพนี้เพราะเป็นต้นเหตุทำให้เกิดวิกฤตก็เป็นได้)
และกระตุ้นความสนใจในเรื่องเศรษฐกิจแก่เยาวชน
ในเชิงเศรษฐศาสตร์หากมีผู้เชื่อและสนใจมาเรียนเศรษฐศาสตร์อีกมากมายจากข้อเขียนชิ้นนี้
รายได้ของมวลหมู่นักเศรษฐศาสตร์ที่มีอยู่แล้วจะลงลด ดังนั้น
ในฐานะเป็นผู้มีเหตุผลจึงต้องหวงก้างเป็นธรรมดา
จึงได้แต่ภาวนาว่าคงจะจะไม่มีผู้คล้อยตามมาเรียนเศรษฐศาสตร์มากมายซึ่งจากความสามารถเพื่มขึ้นอีกมากมาย
ประการที่สี่ เรียนเศรษฐศาสตร์เพราะมันสนุก
เมื่อเข้าใจตรรกวิทยาศาสตร์ซึ่งไม่ได้ยากเย็นลึกซึ้ง
และอยู่บนพื้นฐานความรู้ที่มากมาย
แล้วสามารถเข้าใจสิ่งที่อยู่รอบตัวได้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม
ซึ่งมันจะสนุกและเป็นประโยชน์ อาจสามารถหาแบบแผนจากสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างวุ่นวายได้
ตัวอย่างได้แก่ การที่เราเห็นการแลกบัตรเมื่อนำรถเข้าไปจอด
บางครั้งรู้สึกรำคาญและดูไร้สาระใครๆ
ก็เลยแบบกันอย่างไม่น่าจะเข้าใจเหตุผลที่แท้จริง
แต่ถ้าเข้าใจตรรกวิทยาของเศรษฐศาสตร์ที่ว่ามนุษย์
ตอบรับต่อแรงจูงใจเสมอแล้วจะเลิกรำคาญ และเห็นพิธีกรรมแลกบัตรนี้
โจรนั้นเลือกที่จะประกอบอาชญากรรมด้วยต้นทุนต่ำ (ขโมยเด็กที่พ่อแม่ไม่มีเงิน
ไม่มีอิทธิพล เป็นปัญหาน้อยกว่ามาก งัดแงะรถที่ดูจะอยู่ไกลอำนาจรัฐ
ขึ้นขโมยบ้านที่มีเงินแต่ไม่มีอำนาจอาจอาศัยของรัฐ หรืออยู่ใกล้อำนาจของรัฐ)
การแลกบัตรทำให้ต้องหาบัตรมาให้คนเก็บเวลานำรถออก
ซึ่งต้นทุนต้องหาบัตรจะผลักดันให้โจรไปเลือกหาเหยื่อที่อื่นที่มีต้นทุนต่ำกว่า
ทำไมเราไม่เคยเห็นหมอมาขายส้มตำ (แพทย์จริงๆ ไม่ใช่หมอลำ)
ก็เพราะมนุษย์ทุกคนจะพยายามทำงานในอาชีพที่ทำให้ตนเองได้รับผลตอบแทนเท่ากับกับศักยภาพในการหารายได้ของตนเองเสมอ
ถ้าหมอมาขายส้มตำ (สมมติว่ารายได้เราน้อยกว่าอาชีพหมอ)
ทุกวันที่ขายก็เท่ากับสูญเสียรายได้อันพึงประสงค์ไปจำนวนหนึ่ง
แต่ที่เราเห็นหมอเล่นหุ้น ขายเครื่องสำอาง ก็เพราะ “จำนวนหนึ่ง” ที่ว่านี้
มันเล็กลงทุกทีและบางกรณีมันกลับกัน
การเป็นหมอทุกวันนั้นอาจกลับเป็นการสูญเสียรายได้
เหตุผลที่หมอจำนวนมากไม่ออกมาขายเครื่องสำอางหรือวิตตามินก็เพราะเหตผลอื่นๆ เช่น
ไม่ใช่หมอทุกคนจะทำอาชีพอื่นได้ ความรักวิชาของตนเอง ความหยิ่งรักในศักดิ์ศรี
การได้รายได้ในการเป็นหมอสูงกว่าอาชีพอื่นโดยเฉลี่ย ถ้าออกแรงและเสียเวลาเท่า ๆ กัน
ฯลฯ
เหตุผลข้างต้นนี้ใช้ได้กับปรากฎการณ์ที่มีสาว ๆ
การศึกษาสูงครอบครัวที่มีฐานะ (หน้าตาดีโดยมีองศาจมูกใกล้เคียงกัน)
มาประกวดนางสาวไทยมากทุกที ผลตอบแทนสูงในรูปของรายได้ที่เป็นตัวเงินและความมีหน้าตา
และโอกาสได้เป็นซินเดอเรล่าสูงกว่าคนอื่นดึงดูดให้มาอยู่ในอาชีพนี้สักระยะหนึ่ง
(พ่อแม่หรือตนเองอาจคิดว่าสวยอย่างนี้ เก่งอย่างนี้
ถ้าต้องมาทำงานอย่างอื่นโดยไม่ได้เป็นนางสาวไทย
แต่ละวันที่ผ่านไปก็เท่ากับสูญเสียสิ่งที่พึงได้เกิดค่าเสียโอกาส ดังนั้น
จึงต้องเป็นนางสาวไทยให้ได้เพื่อทำให้ค่าเสียโอกาสนี้หายไป เขียนอย่างนี้
บางท่านอาจคิดว่าผู้เขียนเพ้อเจ้อ แต่เคยมีเพื่อนเล่าให้ฟังว่า
พ่อแม่สาวที่มาสมัครบางคนมีความรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ )
ประการที่ห้า
การเรียนเศรษฐศาสตร์จะทำให้ผลกระทบของนโยบายที่รัฐบาลดำเนินการได้ค่อนข้างดี
เป็นพลเมืองดีที่สามารถส่งเสริมระบอบประชาธิปไตยได้อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถสนับสนุนให้สังคมมีความเป็นธรรมมากขึ้น
เนื่องจากมีความเข้าใจในเรื่องกลไกการใช้ทรัพยากรที่จำกัดของสังคม
(ที่มักเอนเอียงไปเข้าข้างคนมีฐานะอยู่เสมอ)
เศรษฐศาสตร์เป็ยเศรษฐศาสตร์ค่อนข้างใหม่ของสังคมไทยที่เติบโตนับแต่สงครามโลกครั้งที่สองเลิก
ดังนั้น ความไม่เข้าใจประโยชน์ของศาสตร์นี้จึงมีค่อนข้างสูง
และไม่เป็นที่นิยมนักเหมือนแพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร วิศวกร ฯลฯ
ซึ่งเป็นวิชาชีพหรือบริหารธุรกิจ ซึ่งเห็นภาพชัดเจนว่าจบแล้วไปทำอะไร
แต่เศรษฐศาสตร์นั้นแฝงอยู่ในงานของนักวางแผน ผู้จัดงบประมาณ
ความเป็นพลเมืองที่มีประสิทธิภาพ นักวิเคราะห์เศรษฐกิจนักผังเมือง นักสิ่งแวดล้อม
นักการเมือง นายธนาคาร ฯลฯ จึงไม่ใช้อาชีพที่ออกมาโดดเด่นเห็นภาพที่เป็นรูปธรรม
สำหรับการสอบเข้าเรียนคณะเศรษฐศาสตร์ต่างๆ นั้น
โดยแท้จริงแล้วคะแนนสอบเข้ายังไม่สูงนัก แต่ก็ขยับสูงขึ้นเป็นลำดับ
เพราะมีผู้เห็นความสำคัญมากขึ้น นับแต่วันเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ
ในระดับโลกการเรียนเศรษฐศาสตร์ของไทเกอร์ วู้ดส์
น่าจะมีส่วนทำให้เศรษฐศาสตร์เป็นที่น่าสนใจของเยาวชนต่างๆ เพิ่มขึ้นบ้าง
อย่าดูถูกเศรษฐศาสตร์นะครับ ไม่ใช่วิชานี้หรือครับที่ทำให้ ดร. โอฬาร
ไชยประวัติ ไม่ได้เป็นแพทย์ผู้มีชื่อเสียงแต่กลับเป็นนักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังแทน และ
ดร. ศุภชัย พานิชภักดิ์ได้เป็นผู้อำนวยการใหญ่ของ WTO
แทนที่จะเป็นผู้อำนวยการของโรงพยาบาลใหญ่หรืออธิการบดีของมหาลัยวิทยาลัยแพทย์ของไทย