สุขภาพ ความงาม อาหารและยา สมุนไพร สาระน่ารู้ >>
บาดทะยัก
(Tetanus)
ลักษณะโรค
- เกิดจากพิษของเชื้อบาดทะยัก เป็นเชื้อที่เจริญเติบโตแบบไม่ใช้ออกซิเจน (Anaerobic)
- อาการสำคัญ คือ
-เจ็บปวด เนื่องจากการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ
-มีการหดเกร็งของกล้ามเนื้อหน้าท้อง กล้ามเนื้อบาดแผล กล้ามเนื้อแก้ม กล้าม เนื้อลำตัว หรือกล้ามเนื้อบริเวณลำคอ
-ลักษณะทางคลินิกเฉพาะคือ การเกร็งหลังแอ่นและใบหน้าคล้ายแสยะยิ้ม - การตรวจยืนยันทางห้องปฏิบัติการไม่ช่วยในการวินิจฉัยเพราะมีโอกาสน้อยที่จะเพาะ เชื้อจากบริเวณที่มีการติดเชื้อ และมักตรวจหาระดับภูมิคุ้มกันจากการติดเชื้อไม่ได้
เชื้อก่อโรค
Clostridium tetani
การเกิดโรค
-พบได้ทั่วโลก
-ในเอเซีย อัฟริกา และอเมริกาใต้ โดยเฉพาะในชนบทเขตร้อน
มักพบมีการติดเชื้อ บาดทะยักเด็กแรกเกิดมากกว่า
-การใช้ยาเสพติดโดยเฉพาะการใช้เข็มฉีดยามีโอกาสติดเชื้อบาดทะยักได้
แหล่งรังโรค
เชื้ออยู่ในลำไส้ม้าและสัตว์อื่น ๆ รวมถึงคนด้วย
โดยไม่ก่อให้เกิดโรค
วิธีการแพร่เชื้อ
สปอร์ของเชื้อบาดทะยักเข้าสู่ร่างกายทางบาดแผลที่ผิวหนัง
การฉีดยาที่ใช้เข็มมีการปน เปื้อนเชื้อโรค
ระยะฟักตัว
ปกติ 3-21 วัน (เฉลี่ย 10 วัน) อาจสั้นเพียง 1 วันก็ได้
ขึ้นกับลักษณะความรุนแรง ตำแหน่งบาดแผลผู้ป่วยมักมีอาการภายใน 14 วัน
โดยทั่วไปผู้ป่วยที่มีระยะฟักตัวสั้นจะมีอาการรุนแรง
ระยะติดต่อของโรค
ไม่สามารถติดต่อโดยตรงจากคนไปสู่คนได้
ความไวและความต้านทานต่อการรับเชื้อ
-คนทั่วไปมีโอกาสได้รับเชื้อ การสร้างภูมิคุ้มกันโรคทำได้ 2
วิธี
1. ฉีดวัคซีน Tetanus toxoid สามารถคุ้มกันโรคได้นานอย่างน้อย 10 ปี
2.
ฉีด Tetanus immunoglobclin (TIG) หรือ Tetanus antitoxin
จะมีภูมิต้านทานอยู่ได้ไม่นาน
โรคบาดทะยักในเด็กแรกเกิด
(Tetanus neonatorum)
เป็นปัญหาสำคัญในประเทศที่กำลังพัฒนา
เพราะบริการฝากครรภ์และการให้วัคซีนป้องกันบาดทะยักในหญิงมีครรภ์ดำเนินการได้ไม่ทั่วถึง
โรคนี้มักเกิดจากการติดเชื้อผ่านทางสายสะดือ เช่น
-การติดสายสะดือด้วยอุปกรณ์ที่ไม่สะอาด
-การปิดแผนสายสะดือด้วยวัสดุที่ปนเปื้อนเชื้อบาดทะยัก
อาการ
2-3 วันหลังคลอดเด็กจะแข็งแรงและดูดนมได้ปกติ
ต่อมาดูดนมลำบากหรือดูดไม่ได้ เนื่องจากอาการ Trismus
ร่วมกับการเกร็งหรือซักของกล้ามเนื้อทั่วร่างกาย และมีอาการ Opisthotonus
ระยะฟักตัว
ประมาณ 3-28 วัน (โดยเฉลี่ย 6 วัน) โรคนี้มีอัตราการตายเกินกว่า 80%
โดยเฉพาะในรายที่ระยะฟักตัวสั้น
การป้องกันทำได้ 2 วิธี ดังนี้
1. ส่งเสริมบริการด้านการฝากครรภ์
และเน้นการทำคลอดโดยผู้ผ่านการอบรมมาอย่างดีแล้ว
2. เพิ่มความครอบคลุมการให้ภูมิคุ้มกันแก่หญิงมีครรภ์,หญิงวัยเจริญพันธุ์
การให้วัคซีนป้องกันบาดทะยักหญิงตั้งครรภ์อย่างน้อย 5 ครั้งตามเกณฑ์
ครั้งที่ 1 ครั้งแรกที่มารับบริการฝากครรภ์
หรือเร็วที่สุดในขณะตั้งครรภ์
ครั้งที่ 2 4 สัปดาห์หลังจากได้รับครั้งแรก หรืออย่างน้อย 2
สัปดาห์ก่อนคลอด
ครั้งที่ 3 6-12 เดือนหลังจากได้รับครั้งที่ 2 หรือขณะตั้งครรภ์ครั้งต่อไป
ครั้งที่ 4 และ 5 ให้ในปีถัดไปที่ผู้ป่วยมาพบหรือในการตั้งครรภ์ครั้งต่อ ๆ
มา
การได้วัคซีนครบ 5 ครั้ง
สามารถมีภูมิต้านทานต่อโรคบาดทะยักได้ตลอดวัยเจริญพันธุ์
หมายเหตุ
ทั้งนี้ควรดูประวัติการย้อนหลังในการได้รับวัคซีนบาดทะยักร่วมด้วย