ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
ปริเฉทที่ 1 ชาติกถา
ปริเฉทที่ 2 อาวาหมงคลกถา
ปริเฉทที่ 3 เทวทูตทัสนกถา
ปริเฉทที่ 4 ปัพพัชชกถา
ปริเฉทที่ 5 ทุกรกิริยากถา
ปริเฉทที่ 6 มารวิชัย อภิสัมโพธิกถา
ปริเฉทที่ 7 พุทธกิจ
ปริเฉทที่ 8 พุทธกิจบรรยาย
ปริเฉทที่ 5 ทุกรกิริยากถา
(พระมหาบุรุษทรงกระทำทุกรกิริยา)
โดยรอบพระนคราชคฤห์ มีป่าไม้ห้อมล้อมไปด้วยภูเขา 5 ลูก
ซึ่งเป็นขอบเขตอาณาจักรของพระเจ้าพิมพิสาร ภูเขา 5 ลูกนี้คือ เขาไพภาระ
เขียวชอุ่มไปด้วยป่าหวายซึ่งมีรสสุคนธ์และต้นตาล เขาพิปุลล์ ซึ่ง ณ
เชิงเขานั้นมีต้นน้ำสารสูติไหลเร็วจนเป็นฟอง
เขาตโปวันอันร่มรื่นและมีบึงใหญ่หลายบึง แลดูน้ำขมุกขมัว มีเงาผาสีดำ
และมีลำธารไหลจากยอดเขาลงมาสู่พระธรณี ณ ทิศใต้ก็ดูตระหง่านด้วยเขาไศลาคิรี
สำนักแห่งหมู่แร้ง
และทางทิศตะวันออก คือเขารัตนคีรี เขาแห่งเพชรนิลจินดา
มีวิถีทางขรุขระสายหนึ่ง ดาษไปด้วยหินซึ่งสึกหรอด้วยการเดินแห่งเท้า
และซึ่งผ่านไปสู่ไร่หญ้าฝรั่นและป่าไผ่เป็นหย่อม ๆ
เบื้องใต้แห่งต้นมะม่วงซึ่งมีกิ่งสาขาเป็นร่มและต้นพุทรา
ใกล้กับก้อนศิลาสีเทาและหินอ่อนขาวดุจน้ำนม
ก้อนศิลาชันและพื้นที่ซึ่งเต็มไปด้วยดอกไม้ป่า
เป็นทางไปประจวบกับไหล่เขาทางทิศตะวันตก
ซึ่งมีถ้ำอยู่หนึ่งปกคลุมด้วยต้นมะเดื่อป่าชะโงกออกมา ที่นั่นแหละ
ท่านผู้สัญจรไปมาท่านจงถอดรองเท้าของท่านออก และน้อมเศียรท่านลง
เพราะในโลกนี้ไม่มีที่ไหน ๆ ซึ่งประเสริฐและศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าที่นั่นแล้ว
ณ ที่นั้นแหละเป็นที่ซึ่งพระพุทธเจ้าของเราเคยประทับอยู่
โดยทรงทรมานตรากตรำอยู่ตลอดฤดูร้อนอันอบอ้าว และฝนห่าใหญ่
แสงอรุณและอากาศอันเยือกเย็น เพื่อช่วยมนุษย์ให้พ้นจากกองทุกข์
โดยทรงคลุมพระองค์ด้วยพระภูษาเหลือง(เป็นสีที่นักบวชภิกขาจารเลือกใช้)
เสวยพระกระยาหารอย่างเลวดุจยาจก ซึ่งสุดแต่จะมีผู้ศรัทธาถวายหรือไม่
กลางคืนก็บรรทมเหนือหญ้าโดยปราศจากที่ร่ม สันโดษเดี่ยวอยู่แต่ลำพังพระองค์
ฝ่ายหมู่สุนัขจิ้งจอกซึ่งยังไม่นอน
ก็เห่าหอนโดยรอบถ้ำของพระองค์ หรือมิฉะนั้นเหล่าเสือหิวก็คำรามก้องอยู่ในป่าละเมาะ
ที่นั่นแหละพระองค์ผู้ซึ่งมนุษยโลกบูชาประทับอยู่ทั้งกลางคืนและกลางวัน
โดยสละพระวรกายซึ่งควรรับแต่ความสันติสุข มาถือการอดพระกระยาหาร
และอดบรรทมเป็นเวลายืดยาวเพื่อสงบพิจารณาด้วยความสุขุมคัมภีรภาพ
นานจนในระหว่างซึ่งพระองค์กำลังประทับตรึกตรองพิจารณานิ่งแน่แม้นเหมือนดัง
ศิลาอยู่นั้น มีกระรอกกระโดดไปบนพระชานุของพระองค์บ้าง มีไก่นา(นกชนิดสีเหลือง
มีลายคล้ายไก่นา) ที่เปรียวมาฟักฟองในระหว่างพระบาท
และมีนกพิราบป่ามาคอยกินเมล็ดข้าวในบาตรซึ่งตั้งอยู่เคียงข้างพระหัตถ์ของ
พระองค์บ้าง
พระองค์ทรงรำพึงพิจารณาอยู่ดังนี้ ตั้งแต่เที่ยงวัน
คราเมื่อความร้อนเผาพื้นธรณีให้ระอุ และกำแพงและศาลปูชนียสถานมีประกายแวววับ
ในท่ามกลางอากาศร้อน จนกระทั่งถึงดวงอาทิตย์อัสดงคตโดยไม่ทรงสังเกต
แม้แต่ดวงสุริโยทัยอันอร่ามเรืองซึ่งหมุนอยู่ในเวหา
หรือแม้แต่เวลาสายัณห์ซึ่งตกไปอย่างรวดเร็ว และฉายแสงสีแดงเข้มเหนือทุ่งอันราบรื่น
จนแม้แต่ยามสงัดหรือเหล่าดาราทั้งหลายปรากฏขึ้นมาแม้แต่สียงกลองในเมืองอัน กึกก้อง
แม้แต่เสียงร้องของนกฮูก และการต่อสู้ใด ๆ ทั้งปวงในราตรีกาลเลย
เพราะพระองค์กำลังผูกพระทัยพระองค์ในการที่จะใช้วิจารณญาณอย่างเข้มงวดของ พระองค์
เพื่อจะได้ทรงประจักษ์สภาพความเป็นจริงอันอเนกประการแห่งความเป็นอยู่ทั้ง ปวง
พระองค์ได้ประทับอยู่ดังนี้จนกระทั่งถึงกาลเที่ยงคืน
ซึ่งธรรมชาติทุกอย่างบนธรณีสงบตนสิ้นแล้ว
เว้นแต่สัตว์กลางคืนซึ่งเลื้อยคลานและร้องในป่ารก เสมือนดังความกลัวและความแค้น
และตัณหา ความตระหนี่ ความโกรธ ซึ่งคลุกคลีอยู่ในป่าทึบแห่งความไม่รู้ของหมู่มนุษย์
ครั้นแล้วพระองค์ก็บรรทมเฉพาะชั่วเวลาพระจันทร์โคจรไปเหลือ 1 ใน 10
ของระยะทางจวนจะสิ้นสุดแห่งราตรี แล้วก็ทรงตื่นแต่เช้ามืด
ประทับรำพึงเพียรต่อไปเหนือพระแท่นหิน
ในเวลาที่ยังขมุกขมัวอยู่พลางพิจารณาพื้นแผ่นดินซึ่งสงบเงียบ
ด้วยดวงพระเนตรอันขะมักเขม้นและความคิดซึ่งผูกพันในสัตวโลกซึ่งที่มีชีวิต ทั้งปวง
คราเมื่อเหนือทุ่งก็บังเกิดเสียงเคลื่อนไหว ในเวลาเช้าซึ่งปลุกให้ปวงชนทั้งหลายตื่น
และทางเบื้องบูรพาทิศก็ปรากฏจุดรัศมีมหัศจรรย์แห่งวันใหม่
กล่าวคือในชั้นต้นมีแสงขมุกขมัวยิ่งประหนึ่งว่าราตรีกาลนั้นจะไม่สำเหนียก
เสียงในเวลาแรกอรุณ
แต่ภายในไม่ช้า ก่อนที่ไก่ป่าขัน 2 ครั้ง
กระแสแสงเงินก็แผ่กว้าง และแจ่มจำรัสขึ้นทุกทีก็ปรากฏขึ้น
สูงเทียมดาวประจำเมืองซึ่งถูกกลบเกลื่อนไปในห้วงสีเงินนั้น เกิดเป็นสีทองอ่อน ๆ
ถูกปกคลุมด้วยหมอกอันสูงสุด ส่องแสงสว่างสีทอง ย้อมขอบเมฆหมอกเป็นสีขมิ้น สีแดงเข้ม
สีกุหลาบ และสีม่วง
ครั้นแล้วฟ้าก็กลายเป็นสีเขียวสดใสและเมื่อฟ้านั้นเปล่งปลั่งไปด้วยรัศมี
แห่งแสงสว่างแล้ว ราชาแห่งชีวิต(พระอาทิตย์)ก็โคจรออกมาเปล่งรัศมีเต็มที่
ครั้นแล้วพระมหาบุรุษของเรา
ซึ่งทรงกระทำอย่างฤาษีก็กระทำความเคารพดวงอาทิตย์ซึ่งปรากฏออกมานั้น,
และเมื่อได้ทรงชำระพระวรกายแล้ว ก็เสด็จเข้าสู่ในเมืองโดยทางที่คดเคี้ยว
และโดยอาการอย่างฤาษีรูปหนึ่ง พระองค์ก็เสด็จไปตามถนนต่าง ๆ
มีบาตรอยู่เหนือพระหัตถ์สำหรับรับอาหารเล็กน้อยเท่าที่จำเป็นแก่การยังชีพ
ในไม่ช้าไม่นานเท่าใด บาตรของพระองค์ก็เต็ม
เพราะพลเมืองมากมายต่างร้องเชิญว่า เชิญพระองค์มารับอาหารจากที่นี่เจ้าข้า และ
จงมารับข้างนี้ด้วย ต่างคนต่างสังเกตเห็นพระวรพักตร์อันมีบุญบารมี
และดวงพระเนตรอันคมคายของพระองค์
ฝ่ายสตรีผู้มีอายุ เมื่อแลเห็นพระองค์เสด็จผ่านมา
ก็บอกให้ลูกหลานจูบพระบาทและเอาหน้าผากแตะขอบพระภูษาพระองค์
หรือเอาหม้อวิ่งไปใส่น้ำนมกับขนมจนเต็มนำไปถวาย
เมื่อพระองค์ผ่านไปทุกครั้งด้วยพระจรรยาอันน่าเคารพและสงบเสงี่ยม
กอปรด้วยพระจรรยาอันมีเมตตาคุณอย่างยอดเยี่ยม
เต็มเปี่ยมไปด้วยความห่วงใยในเพื่อนมนุษย์ซึ่งพระองค์ทรงทราบแต่เพียงว่า
เป็นมนุษย์เช่นเดียวกัน
บางทีก็มีดวงเนตรอันดำของนางสาวอินเดียบางคนมองดูด้วยความพิศวงและโดยความ
ยินดีโดยปัจจุบัน แล้วตะลึงแลดูความสง่างามของพระองค์ด้วยอาการเสมือนหนึ่งว่า
หล่อนกำลังเห็นความฝันอันสำราญบังเกิดเป็นความจริง
แล้วความปรีดิ์เปรมก็พลันอุบัติขึ้นในดวงกมลของนาง
แต่ฝ่ายพระองค์ก็เสด็จผ่านไปพร้อมด้วยบาตรและพระภูษาเหลืองของพระองค์
ทรงตอบแทนทานอันมีผู้เต็มใจถวายซึ่งพระองค์ทรงรับมานั้นด้วยพระพรอันอ่อน หวาน
แล้วก็เสด็จกลับคืนยังภูผาศิลาอาสน์อันวิเวกเพื่อประทับกับนักบวชอื่น ๆ
แล้วฟังเขาเหล่านั้น
ถามเขาเหล่านั้นในปรัชญาและในวิถีทางที่จะให้บรรลุปรัชญานั้นด้วย
ที่กลางทางซึ่งสงบเสงี่ยม ด้วยความร่มรื่นของรัตนคีรี
ทางเหนือของพระนคร แต่เบื้องใต้แห่งถ้ำเป็นที่อาศัยอยู่ของหมู่ชนซึ่งเชื่อถือว่า
กายเป็นศัตรูของวิญญาณ และเนื้อเป็นเหมือนสัตว์ที่ต้องจำโซ่ตรวน
และต่อสู้กับความทรมานอันร้ายกาจจนกระทั่งความรู้สึกในความเจ็บปวดสิ้นสูญไป
และซึ่งกระทำความทรมานแก่เส้นประสาทของตนดุจการกระทำของเพชฌฆาต
จำพวกมนุษย์เหล่านี้ คือโยคีพรหมจารี ภิกขุ (โยคี
คือผู้หนึ่งที่บำเพ็ญ โยคะ หรือนัยหนึ่งมวลบัญญัติต่าง ๆ
และหลักเกณฑ์หลายซึ่งนำไปสู่ปรัชญาอันสมบูรณ์<ความรู้จริง>
โดยทำลายอำนาจภายนอกซึ่งมีอยู่เหนือวิญญาณ
และทำลายความรู้สึกของบุคคลโดยสภาพแห่งพรหมจารี เป็นพวกใจบุญในสกุลพราหมณ์
ภิกขุเป็นพวกที่ปฏิญาณตนงดเว้นจากกิจปฏิบัติ 3 ประการ คือความสนุกสนาน ความมั่งคั่ง
และความเพลิดเพลิน
ทั้งนี้เพื่อจะได้ภาวนาหาความสงบระงับโดยแท้จริงและเพื่อทำลายเสียซึ่งความ อยาก
ความกลัวและความหยิ่ง) เป็นจำพวกเศร้าและซูบซึ่งอยู่สันโดษ
บ้างเหยียดแขนทั้งคู่ขึ้นข้างบนทั้งกลางคืนและกลางวัน
จนกระทั่งถึงรูปกายปราศจากเลือดเนื้อ ซูบซีดด้วยพยาธิ ข้อกระดูกและอวัยวะ ง่องแง่ง
ทุพพลภาพเห็นเด่นชัดอยู่ที่บ่าอันเหี่ยวแห้ง
เหมือนดังกิ่งไม้ซึ่งตายติดอยู่บนต้นของมัน
บ้างก็กำมือของตนไว้แน่น
นานแล้วนานเล่าและด้วยอาการกิริยาอย่างทิฏฐิมานะ
น่าพึงสยองจนเล็บอันแหลมคมทะลุไปตามฝ่ามือซึ่งเปื่อยเน่า
บ้างก็เดินด้วยรองเท้าอันมีตะปู บ้างก็กรีดอก กรีดหน้าผาก กรีดซี่โครงกับหินคม
หรือลนลวกตนเองด้วยเพลิง ทิ่มแทงตัวเองด้วยหนามป่าและปลายเหล็กแหลม
ถูทากายตนด้วยโคลนและขี้เถ้า นอนบนสิ่งโสโครก
และพันสะเอวตนเองด้วยเศษผ้าซึ่งเก็บมาจากซากศพ บ้างอาศัยอยู่ ณ
ที่สกปรกซึ่งใช้เป็นที่เผาศพ และดำรงตนอยู่เป็นเพื่อนกับซากศพ
ห้อมล้อมไปด้วยนกแร้งซึ่งร้องก้องดังอยู่เหนือกองเศษซากศพแห่งป่าช้า
บ้างก็ร้องออกนามพระศิวะ วันละ 500 ครั้ง มีงูขู่ฟ่อพันที่รอบคออันผอม
และที่สีข้างอันมีแต่ซี่โครงของตน นั่งขัดสมาธิ
นี่แหละคือสภาพอันน่าอนาถทั้งสิ้น
เบื้องบนศีรษะก็เต็มไปด้วยรอยแผลที่พุขึ้น โดยอำนาจของความร้อนตาโบ๋เป็นหลุมลึก
เส้นเอ็นและกล้ามเนื้อหดเหี่ยว หน้าตาเหี่ยวแห้งและซีดเหมือนคนที่ตายมา 5 วันแล้ว
บางคนก็นอนหมกอยู่กับฝุ่นละอองทุก ๆ เวลาบ่าย พยายามตวงเมล็ดหญ้าพันเมล็ด
และกินทีละเมล็ดด้วยความมานะและหิว ในที่สุดก็ถึงซึ่งความมรณะโดยความอด
บางคนกินถั่วกับใบไม้อันขม โดยเกรงว่าปากของตนจะได้รับรสอันโอชา
เคียงข้างนั้นมีนักบุญอันน่าอนาถอีกคนหนึ่งซึ่งทำลายอวัยวะของตนเองจน
กระทั่งไม่มีตา ไม่มีลิ้น ไม่มีเพศ แล้วก็ง่อยเปลี้ยและหูหนวก
นี่แหละคือความกระหายแห่งดวงจิตที่จะเสียสละกายของเขาเพื่อสร้างบุญกุศลด้วย
การทรมาน และเพื่อจะได้รับความสุขซึ่งมีไว้ให้ในโลกหน้า
ตามซึ่งกล่าวไว้ในคัมภีร์ว่า
ความสุขนั้นเทพเจ้าสงวนไว้ให้แก่คนที่ทรมานกายด้วยยากเข็ญ
จนทำให้เทพเจ้าซึ่งเป็นผู้ประทานเห็นความลำบากนั้น มีความสมเพชความลำบากชนิดนี้
จะทำให้มนุษย์มีฐานะเท่าเทียมพระเจ้าและแสดงว่าว่ามีความอดทนมากเกินขีด ทรมานในนรก
และมหาบุรุษของเราทอดพระเนตรเขาเหล่านี้บางคนซึ่งเป็นหัวหน้าด้วยความเศร้า
แล้วตรัสว่า
โอ! เธอทั้งหลายซึ่งทรมาน! ตั้งแต่หลายเดือนมาแล้วเราอาศัยอยู่บนภูเขานี้
เราซึ่งแสวงหาความจริง
และเราเห็นญาติพี่น้องทั้งหลายของเราที่นี่ทำทุกข์ทรมานตนเองด้วยอาการอัน
ร้ายกาจปานนี้เพื่ออะไร?
เหตุไฉนเล่าเธอจึงเอาทุกข์มาเพิ่มพูนแก่ความดำรงชีพของเธอซึ่งมีความทุกข์
มากอยู่แล้วอีก
อาจารย์ผู้ถูกถามจึงทูลตอบพระองค์ว่า
ในคัมภีร์มีกล่าวว่าถ้าคนใดทรมานเลือดเนื้อของตนจนกระทั่งความเจ็บปวด
กำเริบร้ายแรงถึงกับเหลืออยู่แต่ลมปราณแห่งความทรงชีวิตและความหวังในความ
ตายอย่างใจเย็นแล้ว ความทรมานดังนี้จะกำจัดเสียซึ่งมูลแห่งบาป
แล้ววิญญาณซึ่งบริสุทธิ์ก็จักปลิวไปจากความเร่าร้อนปั่นป่วนไปยังสถานที่
รุ่งเรืองและมีบุญบารมีเหลือที่จะพรรณนา
พระมหาบุรุษจึงทรงมีพระดำรัสต่อไปอีกว่า
โน่นเมฆซึ่งล่องลอยอยู่บนเวหา แผ่ออกเหมือนผืนผ้าสีทอง
โดยรอบบัลลังก์พระอินทร์ของเธอนั้น ลอยขึ้นจากทะเลซึ่งปั่นป่วน
แต่เมฆนั้นก็ต้องตกลงมาเป็นหยด ๆ เหมือนน้ำตา แล้วไหลไปตามทางอันกันดารแลขรุขระ
ตามรอยแตกระแหงและห้วยหนองคลองซึ่งเป็นโคลน
เพื่อไหลไปสู่แม่คงคาแล้วกลับไปสู่ทะเลซึ่งเป็นแห่งที่ได้จากมา เธอรู้แล้วหรือ
พี่น้องทั้งหลายว่าสำหรับนักบุญและความสุขของเขาจะไม่เป็นเมฆเช่นนั้นบ้าง
ในภายหลังที่ได้ทรมานมามากแล้ว เพราะสิ่งที่ลอยขึ้นก็ตกมาใหม่
สิ่งใดที่ซื้อก็ต้องมีการชำระราคา และไม่คิดบ้างหรือว่า
ถ้าเธอซื้อสวรรค์ด้วยเลือดของเธอ ณ ตลาดทุกข์ทรมานแห่งนรก
เมื่อการซื้อขายได้ตกลงกันแล้ว ความลำบากก็เริ่มมีขึ้นใหม่อีก
ความลำบากอาจมีใหม่ขึ้นอีกได้ ฤาษีนั้นทูล โธ่เอ๋ย
เราไม่ทราบข้อนี้ และเราก็ไม่มีความแน่ใจในสิ่งใดสิ่งหนึ่งเลย แต่อย่างไรก็ดี
ทิวากาลย่อมอุบัติขึ้นภายหลังราตรีกาล และความสงบมีทีหลังความทรมาน
และเราเกลียดชังเลือดเนื้ออันเลวทรามซึ่งพัวพันอยู่กับวิญญาณที่ต้องการ อิสระ
ดังนั้นสำหรับความสุขของวิญญาณ
เราทรมานกายของเราให้ปรากฏแก่ทวยเทพเจ้าเพื่อพนันขันต่อแลกกับความสุขสุดที่
ไม่มีสิ้นสุด
แต่ว่า พระสิทธัตถะตรัส
อุปมาว่าความสุขนั้นยืนยงอยู่ได้หลายล้านปี ก็คงจะเบื่อหน่ายไปทุก ๆ กาลอันยืดยาว
หรือถ้ามิฉะนั้นมีความเป็นอยู่อย่างหนึ่งอย่างใดที่ต่ำก็ดี ที่สูงก็ดี
รอบข้างเราก็ดี ที่ต่างกับเราก็ดี ไม่มีความเปลี่ยนแปลงบ้างหรือ จงบอกเราหน่อยว่า
เทพเจ้าของท่านนั้นยั่งยืนอยู่ไม่รู้สิ้นสุดดังนั้นหรือ เธอเอ๋ย
เปล่า พวกโยคีทูลตอบ มีแต่พระพรหมเท่านั้นที่คงอยู่ ส่วนเทพเจ้าอื่น ๆ
เป็นแต่เพียงมีชีวิตอยู่ภายในชั่วกำหนดเวลาอันหนึ่ง ๆ เท่านั้น
ดังนั้นพระมหาบุรุษตรัสว่า
ท่านต้องการเป็นนักปราชญ์เท่ากับที่ท่านเป็นนักบุญและมีใจเข้มแข็งหรือไม่
จงละประพฤติในการกระทำอันโหดร้ายนี้ซึ่งกระทำให้ท่านต้องคร่ำครวญหวนโหย
เพื่อหวังในผลซึ่งบางทีเป็นแต่เพียงอย่างความฝันและไม่ยั่งยืนนั้นเสียเถิด
สำหรับแสดงความรักในวิญญาณของท่านนั้น
ท่านยังสมัครใจอยู่หรือที่จะเกลียดชังเนื้อหนังของท่าน
ไม่สามารถที่จะเป็นที่พำนักของความมีปัญญาซึ่งต้องมีที่อาศัยจนถึงกับอับ
ปัญญาลงกลางคัน ก่อนหน้ารัตติกาลเหมือนม้าที่เชื่องดีแต่ถูกใช้งานเกินกำลัง
ท่านผู้น่าสมเพช
ท่านมีความประสงค์ในการที่ปล้นทำลายเรือนอันงามนี้ซึ่งเราได้มาอาศัยอยู่ภาย
หลังความลำบากและซึ่งเราได้อาศัยแสงสว่างโดยทางหน้าต่าง
แสงสว่างอันเล็กน้อยซึ่งทำให้เรามองดูข้างนอก และรู้ว่าแสงอรุณจะมีมาหรือไม่
และเพื่อให้รู้ว่าที่ไหนเป็นทางเดินที่ดีที่สุดเสียฉะนั้นหรือ
เหล่าโยคีจึงร้องขึ้นว่า เราได้เลือกทางนี้แล้ว
เราจะเดินให้ถึงที่สุด ดูกรพระราชบุตร
ถึงแม้ว่าหินแห่งทางเหล่านี้จะกลายเป็นไฟไปหมด เราก็คงจะสู้ตายอยู่อย่างนี้แหละ
นี่แน่! ถ้าท่านไม่มีทางใดที่ดีกว่านี้อีกก็จงกล่าวมา
หรือมิฉะนั้นก็จงไปตามความพอใจในทางของท่าน
พระองค์จึงเสด็จต่อไป เปี่ยมไปด้วยความเศร้าโศก
โดยเหตุที่ทรงเห็นมนุษย์กลัวความตายมาก จนถูกครอบงำด้วยอำนาจแห่งความกลัว
ต้องการมีชีวิตอยู่มากจนไม่กล้ารักชีวิตของตน
แล้วก็กระทำการทรมานชีพอย่างร้ายกาจซึ่งบางทีก็เพื่อให้ถูกใจเหล่าเทพเจ้า
ทั้งหลายซึ่งไม่ยินดีในความสุขของมนุษย์ หรือมิฉะนั้นก็เพื่อจะให้ตกไปยังนรก
ภายหลังที่ได้จุดอัคคีแห่งนรกอย่างอื่นเพื่อตนเอง
หรือบางทีจะทำเพราะฤทธิ์แห่งศรัทธาอันวิกลอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยนึกว่า
วิญญาณจะหลุดพ้นไปจากเนื้อหนังทรมานนั้นได้สะดวก
เออ! ดอกไม้เล็ก ๆ แห่งทุ่งทั้งหลาย พระสิทธัตถะตรัส
เจ้าทั้งหลายซึ่งหันดอกอันงามไปสู่ดวงอาทิตย์
ยินดีในแสงสว่างและรู้ค่าแห่งกลิ่นสุคนธ์หอมชื่นเชย รวมทั้งรูปอันงามหรูหรา
เป็นสีทอง สีเงิน สีแดงเข้มซึ่งธรรมชาติได้สร้างสรรค์ให้
ไม่มีใครเลยในพวกเจ้าซึ่งไม่ปรารถนาในความเป็นอยู่อันบริสุทธิ์ของตน
ไม่มีใครเลยที่ทำลายความงาม และความสุขของตนเอง โอ!
หมู่ต้นตาลทั้งหลายซึ่งสูงตระหง่านดุจต้องการเจาะเวหา
และดูดดื่มความรำเพยพัดของลมซึ่งมาจากเขาหิมาลัยและความเยือกเย็น
แห่งมหาสมุทรอันเขียว
ความลับอะไรเล่าซึ่งเจ้ารู้จนถึงกับอาจพูนเพาะความร่าเริงของเจ้าได้ถึงป่าน ฉะนี้
ตั้งแต่แรกงอกขึ้นจนกระทั่งมีลูกมีผล
และใบอันเป็นพุ่มของเจ้ามีเสียงเป็นดุริยางค์อยู่กลางแดด?
และเจ้าทั้งหลายซึ่งอยู่ด้วยความร่าเริงอยู่ในหมู่ไม้นั้นเล่า
เจ้านกแก้วซึ่งบินเร็ว เจ้าตัวแตน บุลบุล(นกปรอดหัวโขน) และนกพิราบ ใน
พวกเจ้าไม่มีใครเลยเกลียดชังความเป็นอยู่ของตนเอง
และไม่ฝืนตนเพื่อให้เป็นสุขยิ่งขึ้นไปอีกโดยการกระทำตนให้ได้รับความทรมาน
แต่มนุษย์ซึ่งฆ่าเจ้าเพราะเขาเป็นผู้มีอำนาจ ทั้งเป็นนักปราชญ์ที่ดี
แต่ความเป็นคนของเขาเจริญไปด้วยโลหิต
เติบโตขึ้นท่ามกลางแห่งความทุกข์ยากซึ่งเขาทำแก่ตัวของเขาเอง
ในขณะที่พระมหาบุรุษตรัสปรารภอยู่นั้น
พระองค์ทอดพระเนตรเห็นหมอกฝุ่นกลุ่มหนึ่งที่ภูเขาพุ่งลอยขึ้นเพราะฝูงแพะขา
วกละแกะดำซึ่งค่อย ๆ เดินมา และหยุดช้าอยู่เพื่อเล็มใบไม้ใบหญ้า
และหลีกจากทางแวะไปสู่ลำธารซึ่งมีน้ำใสกระจ่างและซึ่งที่มีผลมะเดื่อป่าห้อย ต่ำลงมา
แต่เมื่อสัตว์ตัวใดในฝูงนั้นหลีกห่างไปแล้ว
คนเลี้ยงก็ร้องขู่แล้วขึ้นกระสุนยิงอิฐไป แล้วก็ต้อนฝูงสัตว์อันเชื่องนั้นมาสู่ทุ่ง
ในฝูงสัตว์นั้นมีแม่แกะตัวหนึ่งกับลูกสองตัว ตัวหนึ่งถูกตีจนพิการ
และต้องเดินอาบเลือดตามฝูงของตนไปด้วยความลำบาก
ในระหว่างที่อีกตัวหนึ่งกระโดดโลดเต้นไปข้างหน้า
ฝ่ายตัวที่เป็นแม่ซึ่งห่วงลูกก็ได้แต่รีรอร่ำร้องวิ่งไปทางนี้บ้างทางโน้นบ้าง
เพราะกลัวว่าลูกตัวใดตัวหนึ่งจะหายไป
เมื่อพระมหาบุรุษของเราทอดพระเนตรเห็นดังนั้น
พระองค์จึงอุ้มลูกแกะที่บาดเจ็บไว้ในวงพระหัตถ์แล้วตรัสว่า
แม่ผู้มีขนละมุนละไมอันน่าสงสาร จงนอนใจเถิด เจ้าไปที่ใด
ข้าก็จะอุ้มลูกของเจ้าตามไปให้ เป็นการป้องกันมิให้สัตว์ตัวหนึ่งได้รับความทรมาน
ดีกว่าที่จะนั่งดูทุกข์ทรมานของโลกในถ้ำนี้ในหมู่นักบวชซึ่งพร่ำสวดมนต์ ภาวนา
แต่นี่แน่ พระองค์ตรัสกับคนเลี้ยงแกะนั้น เพื่อนรัก
ทำไมจึงไล่ฝูงสัตว์มาที่ทุ่งต่อเมื่อตะวันตกดินเสียแล้วดังนี้
การไล่สัตว์มาเมื่อเวลาเย็น ๆ แล้วดังนี้ เขาทำกันมาตั้งแต่เมื่อใด
พวกเลี้ยงแกะทูลตอบไปว่า พวกเราได้รับคำสั่งให้ต้อนแพะ 100
ตัวกับแกะ 100 ตัว
ซึ่งสมเด็จพระราชามีพระประสงค์จะทรงทำการบูชายัญถวายแก่เทพเจ้าทั้งหลายคืน วันนี้
ดังนั้นพระองค์จึงตรัสว่า เราจะไปกับท่าน
แล้วพระองค์ก็ทรงพยายามเสด็จตามไปพร้อมด้วยลูกแกะซึ่งทรงอุ้มไว้โดยทรงทน
ตรากตรำฝุ่นและแสงแดดอันร้อนจัด ฝ่ายแกะตัวแม่ก็วิ่งร้องค่อย ๆ ตามอยู่ ณ
ข้างพระบาทของพระองค์
เมื่อพากันมาถึงริมแม่น้ำ สตรีคนหนึ่งซึ่งมีดวงตาดุจนกพิราบ
ใบหน้าอาบไปด้วยน้ำตาและมือประณมมากราบถวายบังคมพระองค์พลางทูลว่า พระคุณ
พระคุณนี้หรือซึ่งได้กรุณาแก่ข้าพเจ้าเมื่อวานนี้ในพุ่มต้นมะเดื่อซึ่ง
ข้าพเจ้าอาศัยอยู่แต่โดดเดี่ยว เพื่อเลี้ยงลูกของข้าพเจ้า แต่ลูกนี้
ขณะที่กำลังเล่นอยู่ในระหว่างต้นไม้ดอกก็พบกับงูตัวหนึ่งซึ่งมารัดรอบแขน
เจ้าเด็กก็หัวเราะและเอามือไปจ่อลิ้นที่แลบออกมาจากปากที่อ้าของเพื่อนที่ใจ จืด
(คืองูตัวนั้น) แต่อนิจจา! ในประเดี๋ยวนั้นเอง เจ้าเด็กก็ซีดและแน่นิ่งไป
ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าทำไมเขาจึงหยุดเล่นและริมฝีปากหลุดจากนมของข้าพเจ้า
จึงมีคนหนึ่งบอกว่า มันถูกยาพิษ อีกคนหนึ่งว่า มันจะตายแล้ว
แต่ข้าพเจ้าผู้ซึ่งไม่อยากให้ลูกที่รักตายจึงถามหายาที่ศักดิ์สิทธิ์ทำให้
ลูกของข้าพเจ้าสามารถลืมตาดูแสงสว่างอีกต่อไป รอยแผลที่งูขบนั่นเล็กนิดเดียว
และสัตว์นั้น
ข้าพเจ้านึกว่าคงไม่อาจเกลียดและทำร้ายลูกอันน่ารักของข้าพเจ้าซึ่งเล่นกับ มัน
และบางคนก็ว่า มีฤาษีรูปหนึ่งที่บนเขา มองดูซิ
กำลังจะผ่านมาเที่ยวที่ครองผ้าเหลืองนั้นแหละ จงถามแก่ฤาษีองค์นั้น
เมื่อว่ามียาอะไรที่สามารถบำบัดความเจ็บปวดที่เป็นแก่ลูกของแกได้
ดังนั้นข้าพเจ้าจึงตัวสั่นมาหาพระคุณซึ่งพระนลาฏเหมือนดังพระเจ้าพระองค์
หนึ่งและในระหว่างข้าพเจ้าร้องไห้ ข้าพเจ้ายกผ้าซึ่งปิดหน้าของลูกข้าพเจ้าออก
แล้ววิงวอนต่อพระคุณให้บอกวิธีซึ่งอาจกระทำให้หายได้สนิทสนมทีเดียว
ฝ่ายพระคุณองค์ผู้เป็นเจ้า
พระคุณก็ไม่ปัดคำวิงวอนของข้าพเจ้าทั้งได้มองดูลูกของข้าพเจ้าด้วยพระเนตร
อันสงสารและแตะด้วยพระหัตถ์อันแสดงว่ามีหวัง
ครั้นเมื่อเอาผ้าปิดหน้าลูกของข้าพเจ้าใหม่แล้ว
พระคุณก็แจ้งแก่ข้าพเจ้าว่า นั่นแหละน้องหญิง
มีของสิ่งหนึ่งที่อาจกระทำให้เจ้าหายได้ คือให้เจ้าหายก่อนและลูกของเจ้าด้วย
สิ่งที่กล่าวนั้นถ้าเจ้าหาได้เจ้าก็จะรักษาได้
เพราะว่าผู้ใดมาหาหมอย่อมนำสิ่งซึ่งมีเกณฑ์กำหนดอยู่แล้วมาให้หมอ
เพราะฉะนั้นขอให้เจ้าจงไปหาพันธุ์มัสตาดดำมาหนึ่งโตละ(โตละ 1 น้ำหนักเท่ากับ 1
รูปีหรือราว 8 กรัม<18/15ของบาทหนึ่ง >)
แต่จงระวังไปหาให้ได้มาเฉพาะบ้านใดซึ่งพ่อแม่ลูกหลานหรือบ่าวไพร่ไม่ตายเลย
ถ้าเจ้าได้เมล็ดมัสตาดดำอย่างที่ว่านี้มาแล้วก็จะสมหวัง
ท่านได้แจ้งอย่างนี้แหละเจ้าประคุณ
พระมหาบุรุษก็ตรัสตอบไปด้วยพระอาการอันยิ้มโดยทรงเมตตาอย่างเหลือล้นว่า ถูกแล้ว
เราได้บอกแก่เจ้าดังนั้นแต่เจ้าหาเมล็ดนั้นได้แล้วหรือ?
พระคุณเจ้าข้า
ข้าพเจ้ากอดรัดอุ้มลูกของข้าพเจ้าซึ่งตัวเย็นลงแล้วนั้นไว้กับทรวงของ
ข้าพเจ้าไปเที่ยวหา ข้าพเจ้าไปถามหาทุก ๆ ลังคาเรือน ในป่าบ้าง ตามชาวเมืองบ้าง
โดยกล่าวว่า ท่านเจ้า ได้จงกรุณาให้เมล็ดมัสตาดดำแก่ข้าพเจ้าหนึ่งโตละเถิด
ดังนั้นบรรดาผู้ซึ่งมีก็นำมาให้แก่ข้าพเจ้า เพราะคนจนย่อมมีใจเมตตาแก่คนจนด้วยกัน
แต่เมื่อข้าพเจ้าถามว่า ก็แต่ในเรือนของท่านนี้ได้เคยมีใครตายบ้างหรือเปล่า
จะเป็นสามี ภรรยา ลูกหลานหรือบ่าวไพร่อะไรก็ตาม เขาจึงตอบแก่ข้าพเจ้าว่า โอ!
พี่สาว แกมาถามอะไรแก่เราเช่นนี้ คนตายนั้นดกดื่นไป แต่ไม่ตายนั้นหายาก
ดังนั้นเมื่อได้ขอบใจเขาอย่างเศร้าโศกแล้ว
ข้าพเจ้าก็คืนเมล็ดมัสตาดให้เขาแล้วก็ไปหาที่อื่นต่อไป
แต่ผู้ที่ไปหาเขาใหม่นั้นต่างก็บอกข้าพเจ้าว่า นี่แน่ะเมล็ดมัสตาด
แต่เรามีทาสของเราตายที่นี่ นี่แน่ะเมล็ดมัสตาด แต่ผัวที่รักของฉันตาย
นี่แน่ะเมล็ดมัสตาด
แต่ผู้ที่เพาะต้นมัสตาดนี้ได้ตายไปเสียแล้วในระหว่างกาลฤดูฝนเก็บเกี่ยวข้าว โธ่
พระคุณเจ้าข้า
ข้าพเจ้าไม่สามารถหาเมล็ดมัสตาดจากบ้านซึ่งไม่มีผู้ใดตายเลยนั้นได้เสียแล้ว
เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงวางลูกของข้าพเจ้าซึ่งไม่อยากกินนมและไม่อยากยิ้ม
แล้วนั้นไว้ที่ต้นองุ่นป่าข้างริมแม่น้ำแล้วข้าพเจ้าก็มาดูพระพักตร์ของพระ คุณ
จูบพระบาทของพระคุณแล้ววิงวอนพระคุณ
ได้โปรดชี้แจงด้วยว่าข้าพเจ้าอาจหาเมล็ดมัสตาดดำนั้นได้ที่ไหนโดยไม่ได้พบ
ไม่ได้ยินข่าวตายดังที่ข้าพเจ้าวิตกและดังที่เขาว่ากันนั้น
นี่แน่ะเจ้า พระศาสดาจารย์ตรัส
ในระหว่างที่เจ้าเที่ยวหาสิ่งซึ่งไม่มีผู้ใดเลยจะหาได้นั้น
เจ้าก็ได้พบโอสถอันขมขื่นซึ่งเราอยากให้แก่เจ้านั้นเหมือนกัน
ผู้ซึ่งเจ้ารักนั้นหลับแล้ว วันนี้เจ้าก็ย่อมได้รู้แล้วว่า
โลกอันกว้างใหญ่ทั้งมวลย่อมร้องไห้เพราะความเศร้าโศกเช่นเดียวกันกับเจ้า
ความทรมานซึ่งดวงใจทุก ๆ คนได้รับนั้นของคน ๆ เดียวย่อมน้อยกว่าของคนอื่น ๆ
จงดูเถิด! เราจะทำโลหิตของเราออกมาจากกายเป็นหยด ๆ
หากว่าการกระทำของเราอาจสามารถยับยั้งการร้องไห้ของเจ้าได้
และหากว่าการกระทำของเรานั้นสามารถเผยความลับแห่งเคราะห์กรรมซึ่งพาให้
มนุษย์เจ้าของสัตว์เหล่านั้นข้าทุ่งเขียวชอุ่มนี้ไปสู่ที่บูชายัญกับฝูง
สัตว์ที่พูดไม่ได้เหล่านี้ซึ่งเขานำไปบูชายัญนั้น เรากำลังค้นหาความลับอันนี้แหละ
ส่วนเจ้านั้นจงฝังลูกของเจ้าเสียเถิด
เมื่อคนเลี้ยงแกะกับพระสิทธัตถะบรรลุถึงในพระนครพร้อมกัน ณ
กาลเมื่อดวงอาทิตย์เปล่งแสงสีทองสุดท้ายไปสู่ลำน้ำโสนะ
และฉายเงาเหนือถนนและที่ทวารซึ่งมีทหารของพระราชารักษาการณ์อยู่
แต่เมื่อทหารเหล่านั้นเห็นพระศาสดาจารย์ของเราอุ้มลูกแกะ ทหารเหล่านั้นก็ถอยห่าง
ปวงชนซึ่งชุมนุมกันอยู่ที่ตลาดก็เรียงรายรอรถของตนเพื่อมองดูพระพักตร์อัน ทรงสง่า ณ
ร้านขายของ ผู้ซื้อและผู้ขายก็หยุดต่อล้อต่อเถียงในการซื้อขายกัน
ช่างเหล็กซึ่งยกค้อนขึ้นเพื่อตีเหล็กก็หยุดตี ช่างทอผ้าปล่อยฟืมของตน
พวกเสมียนปล่อยม้วนกระดาษของตน ผู้แลกเงินลืมนับจำนวนเบี้ย
โคขาวซึ่งถวายให้พระศิวะก็ถลามากินข้าวซึ่งไม่มีใครเฝ้า น้ำนมหกไหลออกจากหม้อทองแดง
เพราะเจ้าของมัวเพลินไปชมดูพระดำเนินของพระศาสดาของเราซึ่งแม้จะมีพระอาการ
สง่าน่าเคารพก็ยังละมุนละม่อมน่ารัก
ฝ่ายหมู่สตรีซึ่งชุมนุมกันอยู่หน้าประตูก็ถามซึ่งกันและกันว่า
บุรุษซึ่งอุ้มสัตว์ที่จะบูชายัญมาโดยอาการอันเต็มไปด้วยความปรานียิ่งและทำ
ให้เกิดความสงบสุขตามวิถีทางทั่วไปนั่นเป็นใครหนอ? เป็นบุรุษชั้นไหน?
ทำไมดวงตาจึงงามชม้อยยิ่งนักดังนั้น? บางทีจะเป็นรูปเนรมิต(สากระ
ร่างซึ่งไม่มีตัวตน รูปเนรมิต) หรือเทวราช(ผู้เป็นใหญ่เหนือเทพดาทั้งหลาย)กระมัง?
บางคนก็ว่า นั่นคือนักบุญซึ่งอาศัยอยู่กับหมู่ฤาษีที่เบื้องเขา
ฝ่ายพระมหาบุรุษซึ่งกำลังใฝ่ฝันอยู่ในความพิจารณาทรงนึกว่า อนิจจา!
แกะ(หมายความว่าพวกราษฎรเหล่านั้น)ของเราเหล่านี้ไม่มีคนเลี้ยง
เขาเดินอยู่ในที่มืดโดยปราศจากผู้นำทางแล้วก็ร่ำร้องในขณะหลับตา ค่อย ๆ
เข้าไปใกล้พร้าแห่งความตายดุจดังสัตว์พูดไม่ได้ซึ่งเป็นพี่น้องร่วมโลกของ
เขาเหล่านี้
ครั้นแล้วจึงมีผู้ไปทูลพระราชาว่า
มีฤาษีผู้ทรงบุญรูปหนึ่งพาฝูงสัตว์ซึ่งพระองค์จะทรงกระทำบูชายัญนั้นมา
ขณะนั้นพระราชาประทับอยู่ ณ ที่สำหรับกระทำพิธี
พวกพราหมณ์แต่งกายสีขาวกำลังสวดมนต์ พลางโหมเพลิงเหนือแท่นซึ่งอยู่กลางท้องพระโรง
เปลวไฟแห่งกองฟืนอันหอมกำลังสะบัดและแลบเลียเครื่องบูชาที่เป็นไขมัน
เครื่องหอมและเชื้อโสม (คือต้นเอื้องเถา
เอายางหรือน้ำจากลำต้นมาปนกับข้าวชนิดหนึ่งและเนยใส ทำเป็นเหล้าสำหรับถวายพระเจ้า)
ซึ่งเป็นที่พอพระทัยของพระอินทร์โดยรอบแห่งกองอัคคี
ลำธารสีแดงเข้มอันหนาส่งกลิ่นและไหลช้า ๆ
หายไปในทรายแต่แล้วก็มีไหลมาใหม่อีกไม่หยุดหย่อนนั้น
คือโลหิตของสัตว์อันน่าอนาถที่ใช้บูชายัญ ในจำพวกสัตว์เคราะห์ร้ายเหล่านั้น
แม่แพะตัวหนึ่งถูกมัดเขาด้วยหญ้ามุญช์(ต้นหญ้าชนิดหนึ่งมีดกดื่นในประเทศ
อินเดียใช้ทำเป็นเชือก) ให้ศีรษะตวัดมาข้างหลัง วางนอนอยู่
นักบวชรูปหนึ่งถือมีดจ่อลงที่คอพลางกล่าวพึมพำว่า โอ! ทวยเทพเจ้าผู้ศักดาทั้งหลาย
ณ บัดนี้ตูข้าจะเริ่มทำการบูชายัญ(ยชญ เป็นคำสํสกฤต ตรงกับบาลี ยญญ)
อันมากหลายซึ่งพระเจ้าพิมพิสารถวายแก่พระองค์
ขอพระองค์ทรงพระสำราญพระทัยที่ได้เห็นโลหิตไหลหลั่ง
และจงทรงปลื้มด้วยรสแห่งเนื้อหอมมันซึ่งย่างอยู่กลางเปลวอัคคีอันคุร้อนนี้ เถิด
ขอจงบันดาลให้บาปทั้งมวลของพระราชาตกไปอยู่ที่แม่แพะตัวนี้
แล้วให้อัคคีกำจัดบาปนั้นพร้อมกับที่เผาผลาญแม่แพะนี้จงสิ้นเชิง
ข้าพเจ้าจะลงมือประหารแล้ว
แต่พระมหาบุรุษค่อย ๆ ตรัสว่า
มหาบพิตรรอย่าปล่อยให้ฆ่าสัตว์นี้เลย
ตรัสพลางเสด็จไปแก้สัตว์ตัวเคราะห์ร้ายนั้นออกโดยไม่มีใครห้ามปรามเพราะพระ
อาการกิริยาที่ทรงกระทำนั้นมีสง่าเป็นเชิงบังคับ
ครั้นเมื่อพระองค์ตรัสขออนุญาตได้แล้วจึงทรงวิสัชนาถึงชีวิตใคร ๆ ก็อาจทำลายได้
แต่ว่าไม่มีใครเลยอาจนำมาให้ได้เรื่องชีวิตซึ่งทุกรูปทุกนามย่อมรัก
และต้องต่อสู้เพื่อป้องกันชีวิตของตน ชีวิตซึ่งเป็นของประเสริฐ
มีค่าและเป็นประโยชน์สำหรับบุคคลทุกรูปทุกนามแม้จะเป็นผู้มักน้อยปานใดก็ดี นั้นแหละ
ชีวิตเป็นลาภอันประเสริฐสำหรับสัตว์โลกทั้งปวงที่มีเมตตา
เพราะความเมตตาเสริมให้โลกเป็นที่ร่มเย็นต่อผู้ที่อ่อนแอ
และเป็นเกียรติศักดิ์สำหรับผู้ที่มีกำลัง
พระองค์ตรัสแทนฝูงสัตว์ซึ่งมีปากอันพูดไม่ได้ด้วยพระวาจาอันน่าเคารพ
เพื่อช่วยโปรดสัตว์เหล่านั้นให้พ้นอันตราย พระองค์ทรงแสดงให้เห็นปรากฏว่า
มนุษย์ซึ่งวิงวอนให้พระเจ้าโปรดเมตตาตนเองนั้น
ไม่มีความเมตตาสำหรับสัตว์ทั้งหลายซึ่งอยู่ใต้อำนาจความเป็นเจ้าเป็นใหญ่ของมนุษย์
พระองค์ยังตรัสอีกว่า
สิ่งใดที่มีชีวิตย่อมเกี่ยวข้องเป็นญาติกันทั้งสิ้น และว่าบรรดาสัตว์ซึ่งเราฆ่านั้น
ได้อ่อนน้อมให้ประโยชน์แก่เรา คือน้ำนมและขนของมัน
และมอบหมายความไว้วางใจให้อยู่ในมือของผู้ซึ่งพิฆาตฆ่ามัน
อนึ่งพระองค์ได้ตรัสถึงสิ่งซึ่งพระคัมภีร์ได้สั่งสอนไว้โดยเที่ยงธรรมว่า
เมื่อมนุษย์ตายไปแล้ว บ้างก็ไปได้กำเนิดเป็นนกเป็นสัตว์จตุบาท และนก
หรือจตุบาทกลับมาเกิดเป็นมนุษย์
ประกายไฟที่ลอยไปในอากาศจะกลายมาเป็นเพลิงอันสว่างไสว
ก็แลการบูชายัญนั้นอาจทำให้การเวียนเกิดเวียนตายของวิญญาณต้องหยุดชะงัก
พระองค์ตรัสเพิ่มเติม
ไม่มีใครเลยที่อาจจะทำให้ดวงจิตของตนบริสุทธิ์ได้โดยอาศัยโลหิต หาก
เทพเจ้าทั้งหลายประเสริฐจริง โลหิตก็ไม่อาจทำให้เทพเจ้าเหล่านั้นสนุกสบายได้
หากเทพเจ้าไม่ดี โลหิตนี้ก็คงไม่ทำให้ดีขึ้นได้
การเอาบาปจนแม้แต่หนักสักเท่ากับผมเส้นหนึ่งของผู้ทำชั่วและทำผิดซึ่งต้อง
รับผิดชอบได้แต่ด้วยตนเองไปใส่เหนือศีรษะของสัตว์ผู้หาความผิดมิได้นั้น
ย่อมหาประโยชน์อะไรมิได้เลย เพราะต่างคนต่างต้องรับบาปบุญของตนด้วยตน เอง
ตามส่วนมากหรือส่วนน้อยไม่เปลี่ยนแปลงของโลกซึ่งเป็นผู้แจกจ่ายความดีให้แก่
ผู้ที่ทำดี ความชั่วให้แก่ผู้ที่ทำชั่วตามขนาดเท่าที่คนหนึ่งพึงรับจากกิริยา วาจา
และความคิดของตนซึ่งเป็นการถ้วนถี่ ถูกต้อง ไม่แปรปรวนและแน่นอน
และซึ่งเป็นอันว่าอะไรทั้งปวงซึ่งเป็นไปในเบื้องหน้า
ล้วนแต่เป็นผลซึ่งเนื่องมาจากสิ่งที่ล่วงมาแล้วแต่หนหลังทั้งสิ้น
พระองค์ตรัสดังนี้ ด้วยพระวาจาอันแสดงเมตตาจิตอย่างยิ่ง
และด้วยพระอาการอันมีสง่าราศีเกิดจากความสังเวชและความยุติธรรมจนเหล่านัก
บวชนั้นทำลายเครื่องตกแต่งของตนเสียด้วยมือที่กำลังแปดเปื้อนไปด้วยเลือดแดง
และจนพระราชาเสด็จเข้ามาใกล้แล้วและประณมหัตถ์วันทนาการ
ถึงกระนั้นพระศาสดาจารย์ของเราก็ตรัสต่อไปเป็นคำสั่งสอนว่า
โลกเรานี้ก็ถึงซึ่งสันติสุขเพียงใด
หากธรรมชาติที่มีชีวิตทั้งปวงอยู่ร่วมกันด้วยความโอบอ้อมอารี
และหล่อเลี้ยงตนเองแต่ด้วยสิ่งซึ่งบริสุทธิ์โดยไม่ให้มีการถึงเลือดออก
ด้วยพันธุ์พืชสีเหลืองเป็นทอง ผลไม้สีงาม ๆ
หญ้าที่มีรสโอชาซึ่งงอกขึ้นสำหรับสัตวโลกทั้งปวง
น้ำอันสดใสก็พอที่จะหล่อเลี้ยงและแก้ความกระหายของโลกได้ด้วยอำนาจแห่งพระ
โอวาทอันประเสริฐ
กระทำให้บังเกิดมีความเลื่อมใสขึ้นในเหล่านักบวชจนถึงกับพากันทำลายโต๊ะบุชา
ซึ่งมีไฟกำลังคุ และโยนเหล็กสำหรับทำการบุชายัญไปเสียให้ห่าง
ครั้นรุ่งขึ้นก็มีเจ้าพนักงานผู้ป่าวร้องประกาศพระราชดำรัสฉบับหนึ่งนำออก
โฆษณาทั่วพระราชธานี และจารึกประโยคข้อความไว้บนศิลาว่า
ด้วยพระราชามีพระราชประสงค์ดังนี้:-
ตั้งแต่เดิมมาจนกระทั่งบัดนี้
ต่างคนต่างพากันพิฆาตฆ่าสัตว์เพื่อทำการบูชายัญ หรือสำหรับเลี้ยงชีพของตนเอง
ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ขออย่าผู้ใดทำโลหิตให้ออกจากกายของสิ่งซึ่งมีชีวิต
และอย่าให้ใช้เนื้อเป็นอาหาร
เพราะบัดนี้เราเห็นแจ้งแล้วว่าชีวิตย่อมเป็นอย่างเดียวกันทั้งสิ้น
และความเมตตา(ในเบื้องหน้า) จะมีแก่ผู้ซึ่งเมตตา
นี่แหละคือพระราชประสงค์ที่ทรงบัญญัติขึ้น
ซึ่งตั้งแต่บัดนั้นสัตว์ที่มีชีวิตทั้งปวง คือมนุษย์
สัตว์เดรัจฉานซึ่งรับใช้มนุษย์และนกทั้งปวง ณ
สองฟากแม่น้ำพระคงคาซึ่งพระมหาบุรุษเราเสด็จทรงสั่งสอนด้วยจิตเมตตาอัน บริสุทธิ์
และพระโอวาทอันอ่อนหวานของพระองค์ก็ได้ประสพความสันติสุขทั่วกัน
ทั้งนี้ก็เพราะว่าพระทัยของพระศาสดาทรงมีเมตตายิ่งแก่สิ่งทั้งปวงซึ่งมี
กระแสชีวิตอันไม่ถาวร และตกอยู่ในอำนาจแห่งความร่าเริง
และความลำบากอย่างหนึ่งอย่างเดียวกันกับเราทั้งหลาย
อนึ่งในพระคัมภีร์ยังมีจารึกไว้อีกว่า เมื่อกาลก่อนโน้น
คราเมื่อพระพุทธเจ้าทรงกำเนิดเป็นพราหมณ์สำนักอยู่ ณ ยอดผานามว่ามุนดา
ใกล้กับชนบทดาลิดด์ ความแห้งแล้งอุบัติขึ้นทั่วทั้งเมือง
บรรดาต้นข้าวก็ตายเป็นต้นฟ่างก่อนที่มีความสูงพอที่ไก่นาจะอาศัยเป็นที่ร่ม เย็นได้
ณ ที่ลาดกลางป่า ดวงอาทิตย์ดูดเอาน้ำจากหนองไปสิ้นเชิง
บรรดาหญ้าและพื้นที่เขียวชอุ่มแต่เดิมมาก็เหี่ยวแห้ง
และสารพัดสัตว์ป่าทั้งหลายก็ซัดเซพเนจรเพื่อหาอาหารเลี้ยงตนไปทุกทิศานุทิศ
ในกาลครั้งนั้น
พระศาสดาจารย์ของเราทอดพระเนตรเห็นเสือตัวเมียตัวหนึ่งนอนเหยียดหิวโหย
ทรมานอยู่เหนือก้อนศิลากลางแจ้ง ข้างเคียงหน้าผาอันร้อนจัด
อำนาจแห่งความหิวกระทำให้ดวงตาของเสือตัวนั้นเป็นแววเขียว
ลิ้นอันแห้งก็ยื่นออกมาข้างนอกปากอันหอบเหนื่อยราวหนึ่งคืบและคางแฟบ
หนังเหี่ยวแห้งติดกับซี่โครง เฉกเช่นหลังคาจากที่ถูกน้ำฝนผุพังยุบไปจนถึงขื่อ
กับมีลูก 2 ตัว
ซึ่งโดยความหิวอันกระวนกระวายก็รบเร้าและดูดนมอันเหี่ยวแห้งปราศจากน้ำนม
ฝ่ายแม่เสือซึ่งผอมนั้นก็ลูบเลียลูกของมันซึ่งร้อนและยื่นสีข้างให้
และโดยความรักซึ่งแรงกล้ากว่าความแร้นแค้นกลับข่มกลืนเสียงคำรามคลั่งดุจฟ้า
ผ่าด้วยความเจ็บปวดไว้เสียได้ กลายเป็นเสียงครางกระหึ่มลั่นเหมือนดังฟ้าร้อง
พลางเอาปากซึ่งกำลังอดอยากจดลงกับพื้นทราย
เมื่อทอดพระเนตรเห็นทุกขเวทนาอันสุดแสนดังนั้นก็ทรงรู้สึกสงสารและเมตตา
อย่างพระพุทธเจ้าแท้ พระองค์จึงทรงนึกว่า
มีวีอย่างเดียวที่จะช่วยแม่สัตว์ร้ายอาศัยป่าตัวนี้ได้ เมื่อถึงเวลาสายัณห์แล้ว
สัตว์แม่ลูกเหล่านี้จะต้องตายเพราะไม่มีอะไรจะกินอย่างแน่นอน
คงจะไม่มีดวงใจของผู้ซึ่งมีชีวิตคนใดมีความเมตตาแก่สัตว์ซึ่งมอมไปด้วยเลือด
ของสัตว์ที่ถูกมันกัดฆ่า และซึ่งผอมลงก็เพราะมันไม่ได้ดูดดื่มรสของโลหิตนั้นเอง
เอาเถิด! ถ้าเรายอมเป็นอาหารของมันก็ไม่ใช่ตัวคนอื่นที่ต้องทรมานนอกจากตัวเราเองใน
การที่ตามใจตน ในวิถีที่แก่กล้าไปด้วยความเมตตาแล้วดังนี้
เมื่อทรงรำพึงพังนั้นแล้ว
พระมหาบุรุษ(ซึ่งเมื่อเวลานั้นเป็นฤาษี) จึงค่อย ๆ สละรองพระบาท ไม้เท้า
สายธุรำ(ตรงกับภาษาสันสกฤต ยชฺโญปวิตร คือเส้นด้ายทำด้วยฝ้ายอย่างดี 3
เกลียวพันกันเป็นเส้นเชือก สำหรับบุคคลชั้นสูงใส่การทำสายธุรำ
ทำให้เด็กใส่เมื่อมีอายุได้ 8 ขวบ ต้องทำกันมีพิธีใหญ่โต
แล้วเด็กนั้นจึงได้ชื่อว่าเป็นพราหมณ์(Dvija) คือทำให้เด็กเป็นผู้บริสุทธิ์ขึ้น)
ผ้าโพกศีรษะกับเสื้อ และเสด็จออกจากพุ่มไม้ ตรงไปที่พื้นทรายพลางตรัสว่า
แน่นางพยัคฆี นี่แน่! อาหารสำหรับเจ้า
ในบัดเดี๋ยวนั้น
เจ้าสัตว์ร่อแร่จวนสิ้นใจก็ออกเสียงคำรามแหลม เผ่นไปห่างจากลูกของมัน
ถาโถมไปตะครุบผู้สมัครรับอันตรายโดยเจตนาแล้วก็ฉีกกินเนื้อของพระองค์ด้วย
เล็บเหลืองของมันซึ่งแม้นเหมือนกฤชอันงอที่อาบไปด้วยเลือด!
เสียงลมหายใจอันเร่าร้อนของนางสัตว์ร้ายตัวนั้นได้ดังประสานกับเสียงหายใจ
วาระที่สุดของพระองค์ผู้ทรงมีความเมตตาอันแก่กล้าพ้นประมาณ
นี่แหละคือพระมหากรุณาธิคุณอันหนึ่งของพระองค์
ซึ่งพระองค์มีมาแล้วตั้งแต่นานแสนนานก่อนวันนี้
อันเป็นกาลซึ่งโดยพระเมตตาอันเต็มไปด้วยความสงสาร
พระองค์จึงได้ทรงสั่งสอนให้เลิกการบูชายัญอันเหี้ยมโหดที่เคยทำถวายแด่ทวย
เทพผู้เป็นเจ้าได้
ฝ่ายพระเจ้าพิมพิสาร
เมื่อทรงทราบพระบรมราชตระกูลและการเสาะแสวงหาความตรัสรู้ของพระมหาบุรุษของ เรา
พระองค์ก็ทรงอาราธนาให้ประทับอยู่ในราชธานีนั้น โดยพร่ำทูลแก่พระองค์ว่าดังนี้
ท่านซึ่งเป็นเจ้า ท่านมาทรมานด้วยความอดอยากเช่นนี้มิได้ดอก
พระหัตถ์ของท่านมีไว้สำหรับถือพระขรรค์หาใช่สำหรับถือบาตรแสวงทานไม่
จงอยู่กับข้าพเจ้าผู้ไร้บุตรเพื่อสืบราชสมบัตินี้เถิด
แล้วจงเผยแผ่ความเป็นปราชญ์อยู่ในอาณาจักรของข้าพเจ้า จนถึงวัยมรณะของข้าพเจ้า
ท่านจะได้อยู่ในวังของข้าพเจ้าและข้าพเจ้าจะหาสตรีที่สวยมาให้เป็นพระชายา
แต่พระสิทธัตถะก็คงตรัสยืนคำเป็นอย่างเดียวอยู่เสมอว่าดังนี้
มหาบพิตรผู้ทรงเกียรติคุณยิ่ง บรรดาสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นอาตมาเคยมีมาแล้ว
แต่อาตมาได้สละเสียเพื่อแสวงหาความจริงซึ่งอาตมากำลังหาและจะหาต่อไปเสมอโดย
ไม่หยุดหย่อน จนแม้แต่พระราชวังสากระ (วังเนรมิตที่สวยและสุขยิ่ง)
เปิดประตูรับรองอาตมาและปวงเทวีทั้งหลายวิงวอนให้อาตมาเข้าไปก็ดี
อาตมาต้องการสถาปนาวิทยาณาจักรแห่งธรรม
อาตมาต้องการไปที่คยา (ตำบลที่ได้ตรัสรู้พระโพธิญาณ) และไพรพฤกษ์ร่มรื่นซึ่งหวังว่า
ความสว่างความสว่างคงจะให้ปรากฏแก่อาตมาเพราะความสว่างเช่นนี้ย่อมไม่ปรากฏ ณ ที่นี่
ซึ่งมีเหล่าฤาษีผู้รู้ศาสตร์ (ไตรเพทเพทางคศานตร์)
และมีผู้บำเพ็ญตบะด้วยความทรมานทั้งปวงจนกระทั่งกายทุพลภาพลง
อันกายนี้เป็นของจำเป็นที่วิญญาณพึงประสงค์
และถึงอย่างไรก็ตามมีความสว่างอันหนึ่งซึ่งอาจบรรลุถึงได้
แล้วก็จะเห็นความจริงและโดยแน่นอนทีเดียว โอ! มหาบพิตรผู้มีไมตรีจิต
ถ้าอาตมาได้พบความสว่างและความจริงนั้นแล้ว
อาตมาก็จะกลับมาสนองคุณในการที่มหาบพิตรมีเจตนาดีแก่อาตมาดังนี้
ครั้นแล้วพระเจ้าพิมพิสารก็ดำเนินช้า ๆ
ไปสามก้าวรอบพระองค์แล้วน้อมกายเคารพที่พระบาท
พลางอวยพรให้พระองค์ได้บรรลุถึงซึ่งผลสำเร็จ เมื่อเสร็จแล้ว
พระองค์ก็ถวายพระพรลาเสด็จออกไปสู่อุรวิลฺวา (อุรุเวล)
แต่พระวิญญาณของพระองค์ยังหาได้สำเร็จถึงซึ่งความตรัสรู้ไม่
ทั้งพระพักตร์ก็ซูบซีดและทรงมีพระวรกายอ่อนแอลงเพราะเหตุแห่งความบำเพ็ญ
เพียรเป็นเวลาถึง 6 ปี
ถึงกระนั้นพระองค์ก็เสด็จแวะตามสำนักของอาฬารดาบสและอุทรดาบส (อุททกดาบส)
กับที่ดาบสทั้ง 5 ซึ่งชี้แจงเรื่องราว