สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ การเมือง เศรษฐศาสตร์ >>
ชุมชนทางการเมืองในอดีต
พัฒนาการสู่ความเป็นรัฐสมัยใหม่
กำเนิดของรัฐ
องค์ประกอบของรัฐสมัยใหม่
การรับรองรัฐ
รูปของรัฐ (Form of State)
ชาตินิยมหรือความเป็นรัฐชาติ (Nationalism and Nation State)
ชุมชนทางการเมืองในอดีต
1. ชุมชนบุพกาล ไม่มีระเบียบการปกครอง
เป็นการดำรงชีวิตเพื่อความอยู่รอด
และรวมตัวกันเป็นชุมชนเพียงเพื่อเอื้อประโยชน์ในเรื่องของอาหาร
2. ชนเผ่า (Tribe) หรือ กลุ่มเครือญาติ (Clan)
จัดเป็นรัฐที่พัฒนาน้อยที่สุดมักจะเน้นขนบธรรมเนียมประเพณีมาก
การแต่งกายก็จะเป็นลักษณะเครื่องแบบที่คล้ายๆ กัน
และจะบ่งบอกสถานภาพของผู้แต่งกายนั้นๆ ได้ ปกครองโดยหัวหน้า หรือผู้อาวุโส
การยึดติดอยู่กับดินแดนอาณาเขตที่แน่นอนมีน้อย มักจะเร่ร่อนที่อยู่เป็นครั้งคราว
3. แคว้น (Province / Principality) แบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ คือ
- นครรัฐ (City State) ตัวอย่างที่สำคัญ คือ นครรัฐของกรีซ
ซึ่งมีความยึดมั่นในเสรีภาพและมีความนิยมชมชอบในความเป็นมนุษย์เป็นที่ยิ่ง
ชาวกรีกโบราณไม่ยอมอยู่ภายใต้อำนาจของผู้เผด็จการหรือพระในศาสนาใดๆ
โลกทัศน์ของชาวกรีกจะเป็นแบบมีเหตุมีผลไม่งมงายติดอยู่กับความเชื่อหรือศาสนาจนเกินไป
ชาวกรีกโบราณถือว่าความอยากรู้อยากเห็นนั้นเป็นสิ่งที่สูงส่ง ดังนั้น
การแสวงหาความรู้จึงเป็นสิ่งสำคัญ และทำให้เกิดมรดกแก่โลกทั้งทางด้านความคิด
ปรัชญา และที่สำคัญมากสำหรับวิชารัฐศาสตร์ ก็คือ แนวความคิดประชาธิปไตย
- รัฐฟิวดัล (Feudal State) มีลักษณะที่สำคัญ คือ
การยึดพื้นที่เป็นหลักสำคัญโดยพวกขุนนาง (Lord)
บังคับให้ผู้คนเป็นทาสติดที่ดิน(Serf)
ทำงานรับใช้และเกณฑ์เป็นทหารในยามศึกสงครามด้วย
โดยขุนนางจะให้การคุ้มครองเป็นผลตอบแทน
- รัฐเจ้า (Principality) เป็นรัฐที่เกิดขึ้นในสมัยยุคกลาง โดยมีเจ้า (Prince) เป็นผู้ปกครอง ยังไม่มีคำว่า รัฐ (State) เพราะ ยังไม่มีอำนาจสูงสุดเด็ดขาดในการปกครอง ยังเป็นการปกครองแบบจารีตดั้งเดิม และมีการรวมกันใช้อำนาจระหว่างรัฐกับองค์กรทางสังคมต่างๆ เช่น ศาสนจักร สภาขุนนาง และสมาคมต่างๆ เป็นต้น
4. อาณาจักร (Kingdom) คือ รัฐที่มีพระเจ้าแผ่นดิน หรือ กษัตริย์ (King) ปกครอง โดยแบ่งชนชั้นเป็นผู้ปกครอง กับ ผู้อยู่ใต้ปกครอง ซึ่งก็คือ ประชาชน ในยุคกลางได้มีความพยายามที่จะแยกอาณาจักรออกจากศาสนจักร และสร้างศูนย์รวมอำนาจอยู่ที่กษัตริย์แทนที่จะเป็น พวกพระ พวกขุนนาง หรือ เจ้าผู้ครองแว่นแคว้นต่างๆ
5. จักรวรรดิ (Empire) แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ
- จักรภพของประเทศตะวันออก (Oriental Empire) คือ
เป็นรัฐในรูปแบบรัฐเผด็จการที่มีการปกครองแบบรวมอำนาจอยู่ที่ศูนย์กลางของชนชั้นปกครองมีอำนาจเด็ดขาด
ในขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่มีชีวิตเหมือนข้าทาสไม่ค่อยมีสิทธิมีเสียงเท่าไรนัก
- จักรวรรดิโรมัน (The Roman Empire) เป็นจักรวรรดิที่มีความเป็นนิติรัฐ ในแง่ที่ว่ากฎหมายของโรมันให้ความเท่าเทียมกันแก่บรรดาชาวโรมันทั้งปวง ทั้งยังมีความพยายามที่จะให้สิทธิในการเป็นพลเมือง (Citizenship) แก่บุคคลต่างชาติที่มีความสามารถ หรือทำโยชน์ให้แก่ประเทศ ทั้งนี้ทุกคนต้องรู้กฎหมาย คือ รู้ทั้งสิทธิและหน้าที่ของตน กฎหมายของโรมันจะถูกจารึกไว้บนแผ่นไม้หรือโลหะแล้วนำไปตั้งไว้ตามสถานที่สาธารณะต่างๆ เพื่อที่คนทุกคนจะได้อ่านและเข้าใจในสิทธิและหน้าที่ของตน สำหรับจักรวรรดิโรมันได้มีการปกครองมาแล้วหลายแบบ ทั้งแบบกงสุล (Consul) การปกครองโดยสภา (Senate) และต่อมาก็เป็นจักรพรรดิ (Emperor)
การเมืองในระยะแรก
- มีประชากรจำนวนหนึ่ง
- มีผลผลิตมากพอที่จะเหลือ (Surplus)
- มีการแบ่งงานกันทำ (Division of
Labour) คนบางกลุ่มไม่ต้องทำการผลิต
- มีการแบ่งชนชั้นทางสังคม (Social Stratification) เป็นชนชั้นปกครอง
ผู้อยู่ใต้ปกครอง
- มีความเชื่อบางอย่างเป็นพื้นฐานของการยอมรับอำนาจ